บทสรุปหนึ่งปีไกลบ้าน : สามสิ่งที่เปลี่ยนโลกทัศน์ของข้าพเจ้า


สามสิ่งในรอบหนึ่งปีที่เปลี่ยนโลกทัศน์ข้าพเจ้าไปตลอดกาล : Shuttle bus, Amazon และ Facebook

ชีวิตประจำวันในต่างแดนของข้าพเจ้า วนเวียนอยู่กับสามสิ่งใหญ่ๆ คือ
Shuttle bus ( School bus)  เดินทางระหว่างที่พัก กับโรงพยาบาลและที่เรียน
Amazon ห้างตราใบห่อสารพัดนึก เพียงหนึ่งคลิก ซื้อได้ตั้งแต่จักรยาน ถึง กระติ๊บข้าวเหนียว (จริงๆนะเออ)
Facebook  แหล่งพบปะสมาคมคนคอเดียวกัน ตั้งแต่ดารา ไปถึงการบ้านการเมือง หน้าของตัวเองก็มี แต่ปล่อยให้หยากไย่ขึ้น

การขึ้น Shuttle bus นำพาให้ข้าพเจ้าได้เห็นหลายอย่างที่แฝงนัยยะชวนคิด..

เมื่อรถถึงที่หมาย คนในรถทยอยกันลงจากรถ สิ่งที่ได้เห็นคือ..ไม่ว่าจะเป็น นักศึกษาแพทย์  หรือ Professor "ทุกคน" จะปฎิบัติเหมือนกัน คือ กล่าวขอบคุณคนขับรถ แล้วคนขับรถก็จะอวยพร...เป็นภาพที่เห็นทุกวัน วันละสองสามเวลา แต่ข้าพเจ้ารู้สึกงดงามเหลือเกิน...คิดไปว่า เมื่อกลับไปเมืองไทยแล้ว ข้าพเจ้าควรกล่าวขอบคุณ คนขับรถโดยสาร พนักงานทำความสะอาด หรือใครก็ตามที่ช่วยให้เราดำเนินชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวกสบาย..แต่ละคนมีหน้าที่ ล้วนมีศักดิ์ศรี และควรค่าต่อการให้ความสำคัญ

 Shuttle bus พาผ่านทั้งสถานที่สวยงาม และพื้นที่เสื่อมโทรมอันเต็มไปด้วยคนไร้บ้าน (Homeless) แบบที่ไม่สามารถเห็นจาก Tour bus ..บางคนสโลสเล เดินตัดหน้ารถอย่างน่าหวาดเสียว​..บางคนนอนขดกอดสุนัขเพื่อรับความอบอุ่น..คนใจบุญคนหนึ่ง เอารองเท้าแตะราคาถูกที่ซื้อจากร้าน one dollar ยื่นให้หญิงคนหนึ่งที่เท้าเปล่า ข้าพเจ้ายังจำสีหน้าของหญิงคนนั้นได้ติดตา..

Amazon ร้านขายหนังสือ ที่สอนให้ "อย่ายึดติด"หนังสือ

ช่วงปีที่ผ่านมา การเรียนวิจัยทำให้ข้าพเจ้าต้องซื้อหนังสือตำราราคาแพงหลายเล่ม (แล้วจะรู้ว่า ตำราดีๆ บ้านเราขายถูกเหลือเกิน)  ซึ่งเกินงบที่คณะให้ แต่เดชะบุญ ที่ Amazon มีโครงการ "trade back" ขายคืนมือสองได้ราคาดีพอสมควร  ดังนั้นจึงเป็นการบังคับให้พยายาม "สกัด" ก่อนจะขายคืนตัวหนังสือคืนไป มาตัวเปล่า ก็กลับตัวเปล่า..หนังสือช่วยชี้แนะ แต่อย่าไปยึดติด ดูง่ายๆ หนังสือตำรา edition ใหม่ราคาพอซื้อกล้องดิจิตอลได้ แต่พอกลายเป็น edition เก่า ราคาเท่าม้วนกระดาษทิชชู่...ดังนั้น สู้เราเปิดใจเรียนรู้จาก "คนรอบข้าง" และ "สิ่งรอบตัว" จะดีกว่าไหม

Facebook  นัยยะของการมีแต่ "like" (ทำไมไม่มี "dislike")

ข้าพเจ้าเป็นไดโนเสาร์ที่เพิ่งทำความรู้จักกับ Facebook มาไม่กี่เดือนนี้เอง คำว่า "Social media" ทำให้คนที่ "Social phobia" อย่างข้าพเจ้า กล้าๆ กลัวๆ ที่จะใช้มัน แต่เมื่อได้ลองใช้ ก็พบว่า สเน่ห์ของ Facebook อยู่ที่ "มีแต่ like"..หากใครคนหนึ่งทะลึ่งเข้ามาโพสข้อความที่เราไม่เห็นด้วย ทางเลือกคือ ทำเป็นมองไม่เห็นแล้วปล่อยมันผ่านไป หรือ..แสดงตัว ออกความเห็นไป  แต่ไม่สามารถกด dislike แล้วชิ่งหนี..ทำไมจึงเป็นเสน่ห์ เพราะข้าพเจ้ารู้สึกว่า วัฒนธรรมการทำงานของเรา  เมื่อมีความเห็นแตกต่างแล้วเกิดความรู้สึก "ลบแบบฝังลืก" คือ แสดงความไม่ชอบไ่ม่เห็นด้วย แต่ไม่ยอมอภิปรายกันต่อด้วยเหตุผล ติอย่างเดียว ไม่ให้คำแนะนำ ก็เปรียบเสมือนการกด dislike แล้วก็หนี..
Facebook ได้สอนวิชาสังคมศาสตร์ ที่ข้าพเจ้าแสนจะอ่อนหัด ด้วย feedback เชิงบวก  การโพสต์ข้อความอย่างไรให้คนชอบ like ไหลมาเทมา หรือ โพสต์อย่างไรให้คนหมั่นไส้ (วิธีง่ายๆ ให้คนไม่ชอบหน้าใน 10 วินาที คือ เขียนทำนองว่า.."คิดเสียมั่งว่า"..ที่จริงคนเขียนเองควรคิดก่อนโพสต์นะคะ)

เมื่อกลับไปดูวีดีโอที่ทำไว้ตั้งแต่ตอนมาใหม่ๆ ก็นึกขัน ตอนนั้น ข้าพเจ้าดูเหมือนคนอัดอั้นตันใจอะไรมา อยากเปลี่ยนนู้นเปลี่ยนนี่ ตอนนี้ ข้าพเจ้าได้บทเรียนว่า เราต้องเปลี่ยนมุมมองตัวเราก่อนจะคิดเปลี่ยนโลกภายนอก..ความสุขคือการอิสระจากการไล่ตามเงาตัวเอง แล้วมองเห็นความงามของผู้อื่น..

 

****************************
เพิ่มเติม 25 ก.ค. : การเลือกหนังสือใน Amazon สามารถสร้างความรื่นรมย์
เช่นเดียวกับ "window shopping" ในห้างสรรพสินค้า -- ที่สนุกคือการอ่าน
Buyer's review ช่วยให้เรียนรู้วัฒนธรรมการวิจารณ์  การแสดงความเห็น 

หมายเลขบันทึก: 446859เขียนเมื่อ 1 กรกฎาคม 2011 12:54 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:47 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

เป็นเกร็ดชีวิตเล็กๆน้อยๆ แต่ให้ภาพสะท้อนชีวิตรอบข้างที่ได้ทั้งวิธีมองและความบันดาลใจดีๆจากชีวิตประจำวันง่ายๆ มากเลยนะครับ

ขอบคุณเรื่องเล่าจากแดนไกล.........ทำให้ได้รู้สึกว่าเวลาที่เราไม่อยากฟังอะไรหรือ

ไม่อยากอ่านเรื่องแบบไหนในFBแต่มันก็เข้ามาผ่านตาให้เห็น

เราก็ไม่จำเป็นต้องเอาความรู้สึกเห็นต่างของเราไปสร้างความวุ่นวายให้สมองเรา

แค่รู้ว่าเขามีมุมมองเรื่องเหล่านั้นอย่างไร..ก็พอ

เรียนคุณวิรัตน์ ขอบคุณและดีใจคะที่ชอบบทความนี้ เมื่อก่อนมองไม่เห็นอะไรเพราะมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับความคิดข้างใน  แต่เพียงละวางแล้วมองออกไปข้างนอกก็พบว่าได้เรียนรู้มากมายจากสิ่งรอบตัวคะ  

๑ คุณ orphan : ชอบที่คุณบอกว่า "แค่รู้ว่าเขามีมุมมองเหล่านั้นอย่างไร ก็พอ" คะ จะนำไปใช้บ้าง

ที่จริงสิ่งที่โพสต์ก็คือตัวอักษร ถ้าเราไม่ปรุงแต่ง มันก็เป็นแค่ตัวอักษรคะ

มีเรื่องเล่าอีกนิดว่า

เมื่อlสองสัปดาห์ก่อน ไปซื้อของที่ China town ขณะรอรถเมล์

เจออาม่าคนหนึ่งหอบของพะรุงพะรัง เข้ามาส่งภาษาจีน

ซึ่งฟังไม่รู้เรื่องหรอกคะ แต่สุดท้ายก็เข้าใจว่า "ช่วยยกขึ้นรถเมล์หน่อย" ก็เลยช่วย..

ด้วยเจตนาดี แต่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ แกก็ซื้อตั๋วรถราคาคนชรา 75 c. ส่งให้

ปรากฎว่า คนขับด่าแกใหญ่เลยคะ แต่แกก็ยิ้ม.อารมณ์ดีตลอดทาง ส่วนเราหน้าชาตลอดทาง

...เพราะคนขับแกด่า..เป็นภาษาอังกฤษ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท