บทความจาก รศ. ดร. ดำรง ลีนานุรักษ์
ดำรง ลีนานุรักษ์
มหาวิทยาลัยแม่โจ้
ความชื่นชมและดีใจของคนไทยที่มีต่อเด็กนักเรียนสามคนจากโรงเรียนสุราษฎร์พิทยา
ที่ไปได้รางวัลเกียรติยศด้านนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาวชนที่นครลอสแองเจลลิส
สหรัฐอเมริกาเมื่อเร็วๆนี้ ด้วยผลงาน
“พลาสติกจากเกล็ดปลาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” คงจะเริ่มจางคลายลง
แล้วเหลือเป็นสัญญาหนึ่งที่มีแต่รูปธรรมของตัวพลาสติกเกล็ดปลาที่เด็กทำเป็นเรื่องเล่าขานต่อไป
เหตุการณ์ความสำเร็จที่โดดเด่นของนักเรียนจากรร.บ้านนอกที่เกิดครั้งนี้ ไม่ควรให้เป็นเสมือนดอกไม้ไฟสวยๆในท้องฟ้าที่ฮือฮากันแล้วก็จบไป
บทความนี้ต้องการที่จะสื่อถึงเหตุปัจจัยที่น่าจะเป็นส่วนหลักๆที่หนุนเนื่องให้เด็กเหล่านี้ก้าวถึงจุดนี้ได้ และภายใต้เหตุปัจจัยเหล่านั้น เราผู้ใหญ่ทั้งหลายลองน้อมเอาเข้ามาวิเคราะห์วิจัยดูเพื่อการเรียนรู้ ผู้ใหญ่เราอาจจะได้เรียนรู้อะไรดีๆจากเด็กก็ได้นะครับ
๑
เรื่องการจัดการศึกษา
เราจะพบว่าโรงเรียนสุราษฎร์พิทยาเป็นโรงเรียนปรกติสังกัดสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ถ้าใครอยากทำความรู้จักโรงเรียนบ้านนอกที่ปั้นเด็กนักวิทยาศาสตร์รุ่นเยาว์ได้คุณภาพระดับแข่งชนะระดับโลกดูได้ที่หน้าเว็บของโรงเรียนได้ที่
http://www.srp.ac.th/2550/history.php
ความชื่นชมอันดับแรกคือหน้าเว็บที่สื่อสารข้อมูลสารสนเทศของโรงเรียนได้อย่างเป็นระบบและมีความเป็นมืออาชีพของนักจัดการการศึกษาที่ได้มาตรฐานไม่แพ้หน้าเว็บของวิทยาลัยหรือแม้บางมหาวิทยาลัยเลย
ข้อมูลในหน้าเว็บได้ชี้ให้เห็นเจตนารมณ์ที่มุ่งมั่นในการพัฒนาครูผู้สอน ระบบการเรียนการสอน และการผนวกให้กิจกรรมการเข้าวัดผสมผสานกลมกลืนไปกับระบบการศึกษา ทั้งหมดรวม๙ประการที่ต้องยกหัวแม่มือให้ว่ายอดมาก ในรายละเอียดคงต้องให้อ่านกันเองในหน้าเว็บดังกล่าว แต่ต้องกล่าวเน้นคือกิจกรรมทั้ง๙ไม่ใช่กิจกรรมตามน้ำตามการมอบหมายชองส่วนกลาง เครดิตของการสร้างและผลักดันให้เกิดของกิจกรรมเหล่านี้คงต้องยกให้ คณะผู้บริหารและคณะกรรมการโรงเรียน (มีพระภิกษุ๒รูปเป็นกรรมการโรงเรียน)และคณาจารย์ทั้งหลาย
เชื่อว่าความสำเร็จของเด็กทั้งสาม
ส่วนหลักอันหนึ่งเป็นเพราะความมุ่งมั่นเอาใจใส่ของคณะครูที่ปรึกษาและที่เกี่ยวข้อง
ภายใต้บรรยากาศของการบริหารการศึกษาที่เอื้อให้ทำได้
ส่วนนี้ในเรื่องการศึกษาตามหลักของพระพุทธศาสนาเรียก กัลยาณมิตตา
หรือความเป็นกัลยาณมิตร
ซึ่งหมายถึงบุคคลผู้เพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติที่จะสั่งสอน แนะนำ ชี้แจง
ชักจูง ช่วยบอกช่องทาง
หรือเป็นตัวอย่างให้ผู้อื่นดำเนินไปในมรรคาแห่งการฝึกฝนอบรมอย่างถูกต้อง(พุทธธรรม
พระพรหมคุณาภรณ์ ป.อ.ปยุตโต)
กัลยาณมิตรนี้เป็นเพียงส่วนปัจจัยภายนอก(ของผู้เรียน)ที่เรียกว่าปรโตโฆษะหรือเสียงเพรียกจากภายนอก
จากผู้เป็นกัลยาณมิตร
ตัวผู้เขียนเองได้เคยกล่าวในหลายครั้งเมื่อพูดถึงความเป็นครู
อาจารย์ที่สอนหนังสือ หรือเมื่อสอนอบรมเกษตรกรเรื่องวิชาชีพว่า
คนเป็นครูต้องมีจิตวิญญาณของพระโพธิสัตว์เป็นพื้น
นั่นคือมีความเมตตาและกรุณาเป็นใหญ่และเด่น
เราจึงจะมีจิตที่น้อมโน้มลงไปช่วยเขาได้
การขาดจิตวิญญาณของพระโพธิสัตว์ ก็จะทำให้จิตวิญาณครูพร่องไป
จึงถือได้ว่าเด็กทั้งสามได้ถูกบ่มเพาะมาภายใต้สภาวะที่เกื้อหนุนของครูทั้งหลายที่เป็นกัลยาณมิตร
ที่เชื่อได้ว่าเข้าใจในความเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีได้
สร้างให้เกิดขึ้นได้ในมนุษย์
ในเว็บของโรงเรียนดังกล่าวข้างบนถ้าท่านคลิ๊กไปที่หัวข้อข้อมูลโรงเรียน
ที่หน้าเว็บนี้ท่านจะพบว่าตราสัญลักษ์ของโรงเรียนคือรูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร
ล้อมรอบด้วยเส้นวงกลมสองเส้นคู่ขนาน
ที่ถูกอธิบายจากทางโรงเรียนว่าเปรียบเสมือนชีวิตและการศึกษา
ที่ต้องเป็นคู่กันไปโดยมีสายใยเชื่อมโยงไปสู่ศาสนา
ที่ให้คุณธรรมและจริยธรรมแก่ชีวิต ด้านล่างมีข้อความ "สุทฺธิ ปญฺญา
เมตฺตา ขนฺติ" และชื่อโรงเรียน "สุราษฎร์พิทยา"
๒
การพ่มเพาะจริยธรรม
ที่หัวข้อรู้จักสุราษฎร์พิทยาในหน้าเว็บข้างบน
ที่ได้กล่าวไว้แล้วว่าทางโรงเรียนได้ระบุถึง๙กิจกรรมเด่น
กิจกรรมที่๙กล่าวว่า
“เดิมโรงเรียนได้มีนโยบายส่งเสริมการพัฒนาด้านคุณธรรมจริยธรรม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำนักเรียนทุกคนมีโอกาสนำปิ่นโตไปวัดตลอดพรรษาทุกปี
มาเป็นเวลาสืบเนื่องยาวนานเป็น ๑๐ ปี และในปีการศึกษา ๒๕๔๕-๒๕๔๗
ได้ดำเนินการที่เรียกว่า โรงเรียนวิถีธรรม เพื่อ
สื่อหมายรวมถึงทุกศาสนา และได้มาเปลี่ยนชื่อเป็น “โรงเรียนวิถีพุทธ”
เพื่อความสอดคล้องกับนโยบายของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในปีการศึกษา
๒๕๔๘-๒๕๔๙
และได้รับคัดเลือกเป็นโรงเรียนต้นแบบวิถีพุทธของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุราษฎร์ธานี
เขต ๑”
นี่นับได้ว่าเป็นรากเป็นเชื้อของการบ่มเพาะจริยธรรมของโรงเรียน
พระท่านว่าบุคคลที่สอนง่าย เข้าใจอะไรง่าย
หรือมีศักยภาพที่จะเรียนรู้ได้ดี จะมีจิตใจที่อ่อนนุ่ม
ดังที่ท่านว่ามีจิตที่นุ่มนวลควรแก่การงาน
บุคคลที่จะมีจิตใจที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ได้
เขาต้องผ่านถูกสอนและอบรมให้มีศีลเป็นเบื้องต้น
เป็นผู้รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน มีสัมมาคารวะเป็นพื้น
ซึ่งในทางพระพุทธศาสนานี่เป็นการสอนให้เด็กฝึกทางกายและวาจา(กิริยา
มารยาท)
ที่นำไปสู่การฝึกใจหรือการฝึกจิตในขั้นที่สูงขึ้นต่อไปถ้าเด็กมีโอกาสและมีศรัทธา
ในการให้คำสัมภาษณ์ของเด็กทั้งสามที่พบในหนังสือพิมพ์มติชน
ได้สื่อให้เห็นคุณธรรมหรือจริยธรรมที่มีอยู่ในตัวเด็ก
ที่ได้จากการบ่มเพาะและขัดเกลาภายใต้หลัก “วิถีธรรม” ของโรงเรียน
เช่น
นายพรวสุ
พงษ์ธีระวรรณ ได้กล่าวว่า
.....การได้รับรางวัลครั้งนี้มาจากการทุ่มเทค้นคว้าวิจัยเป็นปีๆ.........
น.ส.อารดา
สังขนิตย์ กล่าวว่า
เคล็ดลับของพวกเราคือเวลาทำงานอย่าคิดว่าถึงจุดที่ว่าพอแล้ว
พยายามพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ
อย่าคิดว่าเป็นน้ำเต็มแก้วจะได้เติมเข้าไปตลอดเวลา..........
น.ส.ธัญพิชชา
พงศ์ชัยไพบูลย์ กล่าวว่า กว่าพวกเราจะได้มาถึงจุดนี้ได้
อยากบอกเพื่อนๆ อย่าอยู่แต่ในห้องเรียนอย่างเดียว
อย่าเรียนแต่กวดวิชาเพียงเท่านั้น ให้ออกมาทำกิจกรรมบ้าง
จะเสริมการเรียนรู้การทำงานเป็นทีม
ในอนาคตอยากเป็นครูสอนและอยากจะให้เยาวชนหันมาสนใจวิทยาศาสตร์มากขึ้น
ใครฟังแล้วรู้สึกอย่างไรก็คงผันแปรไปได้มากมายในความเป็นปัจเจก
แต่สำหรับผู้เขียนได้ความรู้จากเด็กทั้งสามในเหตุการณ์นี้ที่จะไปปรับตัวเองในการสอนเรื่องการแทรกจริยธรรม
หรือธรรมในบริบทการสอนของตัวเองได้มาก
จากคำให้สัมภาษณ์สั้นๆนี้ได้บอกให้เรารู้ว่าเด็กเหล่านี้ได้มีคุณสมบัติหรือคุณธรรมในระดับจิตใจดังต่อไปนี้
• หนึ่ง คุณสมบัติของความใฝ่รู้สู้งานยาก
การมีความสุขกับงานที่ทำหรือรักงานที่ทำ
• มีความเพียร พยายามไม่ย่อท้อ
หรือยอมจำนนกับอุปสรรค
• มีจิตใจที่มั่นคงไม่วอกแวก
ตั้งมั่นอยู่กับงานไม่ถูกความสนุกสนานของสิ่งเร้าอี่นที่เด็กๆในวัยนี้ชอบกันมาดึงให้เขวไป
• ได้หมั่นคิดวิเคราะห์วิจัยถึงสิ่งที่พลาดที่ผิด
แล้วทดลองหรือวิจัยใหม่ คือชอบวิจัยค้นคว้า
อันเป็นคุณสมบัติที่ดีที่ควรมีในตัวหรือจิตใจของนักวิจัย
ทั้งสี่ข้อนี้ตามที่เรียงกันมาก็คือคำอธิบายของ ฉันทะ วิริยะ
จิตตะ และวิมังสา
ซึ่งก็คือองค์ธรรมทั้งสี่ของอิทธิบาทสี่นั่นเอง
ซึ่งเป็นธรรมมะ หรือคุณสมบัติของจิตที่จะทำให้งานสำเร็จ (หมายเหตุ:
ท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ว่าความจริงตามศัพท์เดิมคือวีริยะแต่ได้เพี้ยนไปเป็นวิริยะตามคำภาษาไทย)
นี่สะท้อนให้เห็นว่า จะโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม เด็กเหล่านี้ได้ถูกหล่อหลอมมาให้มีอิทธิบาทสี่อยู่ในจิตใจของเขา ดังนั้น ความสำเร็จที่เกิดขึ้นจึงเป็นผลจากปัจจัยภายในที่มีอยู่ของอิทธิบาทสี่นั่นเอง
การเกิดขึ้นของอิทธิบาทสี่ในตัวหรือจะเรียกให้ถูกต้องว่า
มีในจิตใจของเด็กนี้
จะไม่สามารถมีขึ้นมาได้จากการสอนของครูที่ให้ความรู้ความเข้าใจเพียงด้านเดียว
เพราะการสอนของครูคือส่วนของปรโตโฆษะ หรือเสียงเพรียกจากภายนอก
อันเป็นองค์ประกอบจากภายนอกเท่านั้น
การเรียนรู้ในขั้นเบื้องต้นที่เรียกว่าขั้นสัญญา หรือจำได้หมายรู้
เช่นว่าอิทธิบาทสี่คืออะไร แบบที่เราท่านรู้ๆกันอยู่
เมื่อถามว่าอิทธิบาทสี่คืออะไร ก็จะตอบได้ว่า ฉันทะ วิริยะ จิตตะ
วิมังสา อาจจะจำคำแปลได้แม่นยำเสียอีก
แต่ตัวความรู้นี้ยังไม่มีหรือเกิดขึ้นในจิตใจ
และไม่ส่งผลให้องค์ธรรมเหล่านี้(ที่เป็นแค่สัญญา)กลายเป็นแรงขับภายในที่มีผลต่อหรือเปลี่ยนพฤติกรรมหรือการกระทำของเรา
การเรียนรู้ในทางพระพุทธศาสนาที่อยู่ในระดับที่เข้าใจในระดับจิตใจ
และเกิดเป็นผลที่เรียกว่ารู้แจ้งเป็นความรู้ที่โพล่งขึ้นมาแบบ
อ๋อ....รู้แล้ว ต้องอาศัยความมีโยนิโสมนสิการ
นั่นคือการใช้ความคิดเห็นถูกวิธี ความรู้จักคิด คิดเป็น คือ
ทำในใจโดยแยบคาย มองสิ่งทั้งหลายด้วยความคิดพิจารณา
รู้จักสืบสาวหาเหตุผล แยกแยะสิ่งนั้นๆ หรือปัญหานั้นๆออก
ให้เห็นตามสภาวะและตามความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย (ดูพุทธธรรม)
โยนิโสมนสิการ
เป็นองค์ประกอบภายในที่สำคัญของการเรียนรู้ที่เรานักจัดการศึกษาที่ส่วนใหญ่ได้เรียนทฤษฎีการเรียนการสอนจากตะวันตกมามักมองข้ามไป
หรือมีพูดถึงอยู่แต่ก็เพียงแตะๆไม่เข้าใจแก่นแกนของมัน
ทำให้กลไกภายในของตัวเด็กในการคิด วิเคราะห์ ตีความ
และสังเคราะห์ในขั้นตอนการเรียนรู้ไม่ได้ถูกยกมาให้เด่นในขบวนการเรียนการสอนของไทยเรา
ทั้งๆที่เรามีภูมิปัญญาพุทธ
ที่สอนเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งทั้งเชิงทฤษฎีและปฏิบัติ
ทั้งๆที่เป้าหมายหนึ่งของการจัดการศึกษาที่บ้านเราและทางตะวันตกต้องการ
คือการมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุมีผลที่เกิดมีขึ้นในตัวผู้เรียน
ในกรณีของโรงเรียนสุราษฎร์พิทยานี้แม้ผู้เขียนเพียงจับโยงข้อมูลจากหน้าเว็บและความสำเร็จของเด็กสามคนมาหนุนกัน อย่างน้อยก็เป็นกรณีศึกษาในการวิเคราะห์ถึงเหตุปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จของเด็ก ที่ไม่ใช่เรื่องฟลุ๊ค หรือโชคดี อีกทั้งสัญญาณที่ส่อออกมาถึงอิทธิบาทสี่ที่มีในเด็กไม่ใช่เรื่องกล่าวเลื่อนลอยไร้ที่มา
ตีพิมพ์ในหน้า๗ มติชนรายวัน วันจันทร์ที่๓๐ พ.ค. ๒๕๕๔
ไม่มีความเห็น