ถือว่าเป็นตลาดนัดความรู้ที่มีขนาดใหญ่มาก (size L) มีคนในตลาดร่วมร้อยกว่าชีวิต เมื่อเดินเข้ามาในตลาดครั้งนี้ ได้ความรู้สึกของความน่าสนใจในตัวสินค้า
อย่างไรหรือ?
ที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง คือ พ่อค้า-แม่ค้าที่มาร่วมในตลาดนัดความรู้ครั้งนี้นั้น มาจากทั่วสารทิศ เท่าที่ทราบ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (มหาชน) หรือที่เราเรียกกันติดปากสั้นๆว่า พอช. เชื้อเชิญ "พื้นที่รูปธรรม" ที่มีผลงานเด่นด้านการแก้ไขปัญหาหนี้สินในชุมชนตนเอง โดยตนเองนั้น มีจำนวนมากถึง 32 พื้นที่ (รวม 25 จังหวัด) และแต่ละพื้นที่ก็ส่งผู้แทนมา เท่าที่เห็นไม่น้อยกว่า 4 คนต่อพื้นที่ (ประมาณการจากที่สังเกต) และทราบว่าก่อนที่จะเกิดเวทีครั้งนี้ขึ้นมานั้น ก่อนหน้านี้ในบางพื้นที่ มีการจัดตลาดนัดในพื้นที่ตนเองไปบ้างแล้ว และครั้งนี้จึงถือว่าเป็นเวทีที่ตกผลึกมาระดับหนึ่งแล้ว
ในตลาดนัดมีการจัดแสดงป้ายนิทรรศการเล็กๆของบางพื้นที่ ซึ่งได้เตรียมมาด้วย แสดงไว้ด้านหลังห้องประชุม จากเท่าที่ไปชมมาเห็นว่ามี "ความรู้ปฏิบัติ" ว่าด้วยการจัดการองค์กรการเงินชุมชุนน่าสนใจจำนวนมาก เป็นความรู้เล็กๆที่แฝงตัวอยู่เต็มตลาดไปหมด เป็นเทคนิคกลยุทธ์ที่คิดขึ้นมาโดยชุมชนเอง ยกตัวอย่างเช่น 5 ครอบครัว 1 กลุ่มย่อย, โครงการ 1 วัน 1 บาท(สำหรับสร้างวินัยการออมให้กับเด็กๆ) โครงการ 1 หนี้ 1 ครอบครัว เหล่านี้เป็นต้น
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่าเวทีนี้ได้ตกผลึกมาแล้วระดับหนึ่ง ตรงนี้แหละที่เป็นเสน่ห์ ของตลาดนัดความรู้ครั้งนี้ การตกผลึกในความหมายตรงนี้ คือ การที่ประเด็นของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ถูกค้นหาและทำให้เล็กลง กรณีของกลุ่มเครือข่ายองค์กรชุมชนเขาตกผลึกออกมาเป็น 7 ประเด็น ซึ่งในตลาดนัดครั้งนี้เขาเรียกมันว่า "บันได 7 ขั้นสู่ความสำเร็จของกระบวนการแก้หนี้"
ขั้นที่ 1 การจุดประกายความคิด...จุดเปลี่ยนของกลุ่มคนและชุมชน
ขั้นที่ 2 การสำรวจข้อมูลครัวเรือนและหนี้สิน/ จัดระบบหนี้/ วิเคราะห์ข้อมูลนำไปใช้
ขั้นที่ 3 การจัดระบบกลุ่มย่อยระดับครอบครัว
ขั้นที่ 4 การจัดการกลุ่มใหญ่ระดับชุมชน
ขั้นที่ 5 การจัดการระบบการออม/ สินเชื่อ/ สวัสดิการ
ขั้นที่ 6 การทำบัญชีครัวเรือน/ แผนพัฒนาครอบครัวและกลุ่ม
ขั้นที่ 7 การสร้างอาชีพและรายได้
การแลกเปลี่ยนซื้อ-ขายสินค้า (ความรู้) ระหว่างองค์กรชุมชนในตลาดครั้งนี้ จึงดูเหมือนว่าถูกจัดวางไว้เป็นอย่างดี รู้ว่าหากต้องการความรู้อะไร ประเภทใด จะต้องไปหาที่ไหน มีใครขายความรู้เหล่านั้นบ้าง ส่วนตัวผมเองตัดสินใจเลือกอยู่นาน ว่าจะไปชอปปิ้ง ที่กลุ่มไหนดี เพราะแต่ละกลุ่มน่าสนใจไปเสียทั้งหมด ครั้นจะวนไปวนมา ก็คงจะไม่ดีแน่เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมามันจะไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน สุดท้ายเลยต้องเข้าไปร่วมกลุ่ม ซึ่งแลกเปลี่ยนความรู้ในเรื่อง การสร้างอาชีพและรายได้ เนื่องจากเห็นว่ากลุ่มนี้มีคนน้อยที่สุดเท่าที่สำรวจดูคร่าวๆ (ประมาณ 17 คน) และอย่างน้อยที่สุดจะมีช่วงนำเสนอผลงานของทุกกลุ่มในช่วงท้าย เลยหวังลึกๆว่าคงพอจะได้เห็นภาพความรู้ของกลุ่มอื่นๆได้จากช่วงนี้แหละ ถึงแม้จะไม่ได้เข้าร่วมก็ตาม
การแบ่งกลุ่มย่อยนั้น ถูกกำหนดไว้เพียง 6 กลุ่ม แต่ยังยึดประเด็นบันได 7 ขั้น เป็นหลักอยู่เช่นเดิม เพียงแต่รวมบันไดขั้นที่ 1 และ 2 เข้าด้วยกัน เป็นเรื่องการจุดประกายและการสำรวจข้อมูล ส่วนบันไดขั้นที่ 3 และ 4 รวมเข้าเป็นกลุ่มการจัดการกลุ่มย่อยและกลุ่มใหญ่ ส่วนบันไดขั้นที่เหลือยังคงแยกเป็นประเด็นเดี่ยวดังเดิม ส่วนกลุ่มสุดท้ายเพิ่มประเด็นการเชื่อมโยงเครือข่ายองค์กรชุมชน รวมทั้งหมดเป็น 6 กลุ่มย่อย
ตอนที่นำเสนอผลงานกลุ่ม ทุกกลุ่มแสดงลีลาการนำเสนอได้อย่างมีสีสรร เนื้อหาสาระเพียบจริงๆ ลองมาดูเนื้อหาที่ได้นะครับ
กลุ่มหนึ่ง การจุดประกายความคิด และการสำรวจข้อมูล
พลังภายใน - เป็นเรื่องความรู้ภายในของกลุ่มเอง กลุ่มต้องเชื่อมั่นและศรัทธาความรู้ของตัวเองก่อนเป็นพื้นฐาน (ภูมิปัญญาเดิมที่มีในชุมชน)
พลังภายนอก - ผลกระทบจากนโยบายของรัฐ หรือผลทางการเมือง การสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ หรือนโยบายช่วยเหลือชุมชนต่างๆ
ข้อสังเกตของกลุ่มเห็นว่า วิกฤติจะเป็นตัวกระตุ้นให้ชุมชนต้องลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง วิกฤติที่ว่าเช่น ภาวะหนี้สินที่หนักหนาสาหัส หรือปัญหาในครอบครัวบางอย่าง เป็นต้น
ดังนั้นแนวทางแก้ไขกลุ่มเสนอว่า ต้องมีการทำ บัญชีครัวเรือน สำรวจปัญหาครอบครัว ตั้งกลุ่มย่อยดูแลกันเอง เริ่มจากทุนเดิมที่มี รักษาวิถีชีวิตที่ไม่ฟุ่มเฟือย เกาะกลุ่มให้แน่นเพิ่มพลังต่อรอง อย่างน้อยสามารถเจรจากับองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นของตนได้ เลือกหรือกำหนดนโยบายที่เหมาะกับการปฏิบัติในชุมชน
กลุ่มสอง การจัดการกลุ่มใหญ่ และกลุ่มย่อย
รูปแบบการจัดการกลุ่มย่อย (ครัวเรือน) สมาชิกเลือกกลุ่มเองโดยสมัครใจ มีกรรมการกลุ่มย่อย หรือหากมีฐานเดิมอยู่แล้ว เช่น กรรมการกลุ่มอะไรก็ตามในพื้นที่ก่อนหน้านี้ ให้นำมาพิจารณาด้วย หรือจัดกลุ่มโดยการแบ่งโซนตามสภาพพื้นที่
จำนวนสมาชิก 5 ครอบครัวต่อ 1 กลุ่มย่อย (มีครอบครัวญาติพี่น้องไม่เกิน 2 ครอบครัวต่อกลุ่ม)
ขั้นตอนจัดการ - หาเพื่อนที่รู้ใจ สำรวจภาวะหนี้สินของตนและแลกเปลี่ยนกับเพื่อนในกลุ่ม ออมสัจจะออมทรัพย์ สร้างวินัยการออมร่วมกัน หัวหน้ากลุ่มเก็บเงินออมและสินเชื่อ พร้อมทั้งกระจายข่าวให้สมาชิกกลุ่ม ร่วมเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทำบัญชีครัวเรือนและร่วมกันวิเคราะห์ สร้างกติการ่วม ร่วมพิจารณาการขอกู้และคำประกัน
จุดแข็งระบบกลุ่มย่อย - เพิ่มความสามัคคีต่อเพื่อนบ้าน รู้จักนิสัยเพื่อนมากขึ้น ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ลด ละ เลิก เกิดการออมเพื่ออนาคต รู้จักวิเคราะห์รายได้ - รายจ่าย พัฒนาระบบความคิด/ ระบบการเงิน/ ระบบพัฒนาคน ได้ฟื้นฟูวิถีชีวิตชุมชนที่เต็มไปด้วยความอารีแบ่งปัน เป็นต้นแบบให้กับเยาวชนรุ่นหลัง
จุดอ่อน - ระบบบริหารไม่โปร่งใส ถ้าสมาชิกกลุ่มฮั้วกัน
กลุ่มสาม การจัดระบบการออม/ สินเชื่อ/ สวัสดิการ
เข้าใจเป้าหมายการออมชัดเจน - ปลดหนี้ เป็นเงินทุนหมุนเวียน เป็นสวัสดิการชุมชน กองทุนเพื่อการประกอบอาชีพ ปลูกฝังนิสัยการออม การออม 2 ขา (หมายถึง ขาหนึ่ง ออมเพื่ออนาคต ขาสอง ออมเพื่อเป็นสวัสดิการ)
ที่มาของเงินออม - ลดรายจ่ายจากเดิม
รูปแบบการออม - มีค่อนข้างหลากหลาย รายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน ตามกำลังความสามารถ หรือ แยกตามขา (ดังที่กล่าว)
กองทุนสวัสดิการชุมชน - เพื่อใช้ในเรื่องจำเป็น เกิด แก่ เจ็บ ตาย เพื่อสาธารณะประโยชน์ เพื่อช่วยเหลือคนยากจนหรือด้อยโอกาส กองทุนก็จะมีทั้ง กองทุนภายในและภายนอกชุมชน
ที่สำคัญต้องให้ความสำคัญกับการ สร้างวินัยในการออมทั้งเด็กและผู้ใหญ่ สร้างนิสัยจดบันทึก ให้เด็กได้เรียนรู้ว่าออมไปเพื่ออะไร
กลุ่มสี่ การทำบัญชีครัวเรือน/แผนพัฒนาครอบครัวและกลุ่ม
ฐานคิด - เป็นเครื่องมือให้รู้จัก/ สำรวจตนเองทั้งในระดับครอบครัวและชุมชน
กระบวนการ/วิธีการ - ตั้งเป้าในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน ระดับครอบครัวจดทุกอย่างที่รับจ่าย สรุป วิเคราะห์สภาพที่เป็น ตั้งเป้าการลด ละ เลิก ระดับชุมชนสรุปภาพรวมสภาพหนี้สินให้เห็นเพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน
ปัญหาทางปฏิบัติ - การจัดแยกหมวดหมู่รายการรายจ่าย รายรับ การวิเคราะห์หรือประมวลภาพให้เห็นปัญหาหรือสภาพที่จะต้องแก้ไข การบันทึกเพียงเพื่อส่งรายงานหน่วยงานอื่น เช่น ธนาคาร แหล่งทุนภายนอก
สิ่งที่เกิดขึ้น - เท่าทันสถานการณ์ รู้สภาพตัวเอง นำไปสู่การปรับพฤติกรรมลด ละ เลิก หนี้สินลดลง เกิดความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนบ้านที่แนบแน่นขึ้น ในระดับชุมชนเห็นภาพใหญ่ของชุมชน สร้างกิจกรรมที่หลากหลายขึ้น ส่งเสริมวิถีชีวิตแบบพอเพียง เชื่อมโยงระดับชุมชน
กลุ่มห้า สร้างอาชีพ สร้างรายได้
สภาพปัญหา - ภาคีไม่เข้าใจเรื่องการทำแผนแม่บท สภาพการปลูกพืชเชิงเดี่ยว ราคาผลผลิตตกต่ำ ต้นทุนการผลิตสูง รายได้ไม่พอรายจ่าย
การปรับเปลี่ยน - บัญชีครัวเรือนเป็นกระจกเงาให้เห็นสภาพตนเองมากขึ้น คิดจากการเรียนรู้ปัญหาร่วมกันระหว่างเพื่อน คิดค้นสิ่งที่เหมาะสมกับพื้นที่ (สร้างความรู้ขึ้นใช้เอง) เช่น พันธุ์ข้าว ปุ๋ยอินทรีย์ พัฒนาอาชีพและคุณภาพผลผลิต เช่น ความรู้การเก็บมังคุด เป็นต้น
อาชีพ - คิดค้นสร้างอาชีพเสริมจากวัตถุดิบ (ทุนทางปัญญา) ที่มีในพื้นที่ ใช้หลักเกษตรหลากหลาย ปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูก สร้างกระบวนการกลุ่มเพื่อต่อรองทางการตลาด เพื่อใช้แผนชุมชนต่อรองกับ อบต.
ฐานคิด - เกษตรผสมผสาน ปลูกทุกอย่างที่กินเอง กินทุกอย่างที่ปลูกเอง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค การออม ปรับเปลี่ยนวิถีการผลิต คำนึงถึงคุณภาพชีวิต/ ผลผลิต สภาพแวดล้อมที่ดี รักษาดิน รักษาสัตว์ที่เป็นประโยชน์ต่อการรักษาสมดุลธรรมชาติ
กลุ่มหก วางแผนสร้างเครือข่าย
ประสบการณ์ และกิจกรรมของมวลสมาชิก - การทำบัญชีครัวเรือน การออมให้สัมพันธ์กับการแก้หนี้ การมองหนี้ทั้งระบบ การออมเพื่อสวสดิการ สร้างกองทุนชุมชน ใช้ทุนในชุมชนริเริ่มหนุนเสริม
ข้อสังเกต - ทำอย่างไรให้มองเห็นปัญหาร่วม ขยายผลโดยเริ่มจากชุมชนที่สนใจ งบประมาณจากชุมชนเป็นจุดเริ่มต้น ใช้ระบบการทำแผนแม่บทชุมชน สร้างงานในชุมชน
รูปแบบการขยายผล - จากตัวบุคคล สู่ ครอบครัว จากครอบครัว สู่ ชุมชน จากชุมชน สู่ ตำบล เครือข่าย หรือภาคีอื่นๆ
คำถามที่ทิ้งท้ายให้เวทีใหญ่ตลาดนัดความรู้ช่วยกันคิด และทำให้เป็นจริงขึ้นมา
1. การสร้างความเชื่อมโยงของกระบวนการภายในได้อย่างไร?
2. สร้างพื้นที่เรียนรู้ จุดประกายความคิดได้อย่างไร?
ข้อเสนอจากเวที่
- "เปิดท้ายขายของ" เป็นตลาดนัดในพื้นที่ที่สามารถทำได้ง่าย (คงจะหมายตลาดนัดความรู้กลุ่มเล็กๆ จัดขึ้นมาในรูปแบบง่ายๆ)
- ทำ Road Map
- เวทีประชาคม เรียนรู้สภาพที่เป็น หาความต้องการที่แท้จริง กำหนดกิจกรรมที่เหมาะ
- ผู้นำในพื้นที่รวมตัวกัน ช่วยเหลือสมาชิก เพิ่มพลังต่อรองทางนโยบาย
- และ........................................
(ทีมงาน พอช. สามารถเพิ่มเติมข้อคิดเห็นจากเวทีใหญ่เพิ่มได้นะครับ)