บทบาท หน้าที่ และพฤติกรรมการมีส่วนร่วมกิจกรรมทางการเมืองของบัณฑิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา


ส่วนหลักธรรมที่บัณฑิตใช้ในการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ได้แก่ หลักทศพิธราชธรรม, พรหมวิหาร 4, ศีล, สังคหวัตถุ 4, อิทธิบาท 4 เป็นต้น ซึ่งใน 5 ลำดับแรกนั้นก็สอดคล้องกับการสอบถามผู้บังคับบัญชา จะเห็นได้ว่า บัณฑิตมีพฤติกรรมทางการเมืองที่ดี ซึ่งประกอบด้วยคุณธรรมและจริยธรรม 2 ลักษณะควบคู่กันได้แก่ ประพฤติเป็นธรรม คือ มีความเที่ยงธรรม และยุติธรรม เช่น ประพฤติตามหลักของทศพิธราชธรรม อคติ พละ เป็นต้น และมีการประพฤติตามธรรม คือ การประพฤติตามธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน เช่น การปฏิบัติตามหลักพรหมวิหาร 4 อิทธิบาท 4 สังคหวัตถุ 4 เป็นต้น

บทบาท หน้าที่ และพฤติกรรมการมีส่วนร่วมกิจกรรมทางการเมืองของบัณฑิตมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา

 

พฤติกรรมทางการเมืองของบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษา วิชาเอกการเมืองการปกครอง สาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตพะเยา จากผลการวิจัยพบว่า บัณฑิตทั้งบรรพชิตเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองในด้าน การเป็นวิทยากร การอบรมสัมมนา การเทศนาทางการเมือง เป็นต้น และกิจกรรมที่เข้าร่วมบ่อยได้แก่ การเข้าร่วมประชุม การเป็นวิทยากร การอบรมสัมมนา การให้คำปรึกษา เป็นต้น ในส่วนของบัณฑิตที่เป็นฆราวาสเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองในด้าน การไปใช้สิทธิเลือกตั้ง การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง เป็นต้น ส่วนกิจกรรมที่เข้าร่วมบ่อยที่สุด ก็คือ การไปใช้สิทธิในการเลือกตั้ง ซึ่งการเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองของบัณฑิตทั้งสองฝ่าย สอดคล้องกับการสอบถามจากผู้บังคับบัญชา และจากการเข้าร่วมกิจกรรมของบัณฑิตที่แตกต่างกัน เป็นเพราะว่า บัณฑิตที่เป็นบรรพชิต ไม่มีสิทธิในการเลือกตั้ง จึงมีบทบาทในการเป็นวิทยากร การอบรมสัมมนา และการเทศนาทางการเมือง ซึ่งก็ถือว่าเป็นบทบาทที่เหมาะสมกับสมณะเพศ  ส่วนการนำความรู้ด้านการเมืองการปกครองไปใช้ในกิจกรรมทางการเมือง พบว่า บัณฑิตนำความรู้ไปใช้ในระดับปานกลาง รองลงมาได้แก่นำไปใช้ในระดับมาก ซึ่งก็สอดคล้องกับการสอบถามจากผู้บังคับบัญชา อาจเป็นเพราะว่า บัณฑิตส่วนใหญ่เป็นบรรพชิต จึงไม่ค่อยมีโอกาสในการใช้ความรู้ด้านการเมืองการปกครองได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากการที่ไม่เปิดโอกาสให้พระสงฆ์มีบทบาททางการเมือง  โดยเฉพาะในกฎหมายการเลือกตั้ง มาตรา 106 วงเล็บ 2 กำหนดว่า ภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง

จากการสอบถามพฤติกรรมทางการเมืองของบัณฑิตที่เป็นเป็นบรรพชิต ถ้ามีสิทธิในการเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมือง ปรากฏว่าพระสงฆ์ต้องการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการไปใช้สิทธิในการเลือกตั้งทุกครั้ง การเข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคการเมือง  การเข้าร่วมรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง  การให้คำปรึกษาหารือทางการเมือง   ส่วนบัณฑิตที่เป็นฆราวาส ก็มีส่วนร่วมทางการเมืองและสอดคล้องกับความคิดเห็นของผู้บังคับบัญชา จะเห็นได้ว่า บัณฑิตมีสำนึกในการเข้าร่วมกิจกรรมทางการเมือง โดยเฉพาะเหตุผลที่ว่า เป็นสิทธิและหน้าที่ และสิทธิในการเลือกตั้ง ความต้องการเข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ รวมทั้งการนำความรู้ด้านการเมืองที่ได้ศึกษามาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติได้อย่างแท้จริง ส่วนบทบาทที่บัณฑิตที่เป็นฆราวาสไม่ต้องการเข้าไปมีส่วนร่วมก็คือ การไม่เข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มการเมือง การติดต่อกับเจ้าหน้าที่ทางการเมือง ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่ทราบการสมัครเป็นสมาชิก ยังไม่มีโอกาส ไม่มีความพร้อม และการไม่มีโอกาสติดต่อหรือรู้จักกับเจ้าหน้าที่ทางการเมือง

จากพฤติกรรมทางการเมืองของบัณฑิต ได้สอดคล้องกับแนวคิดของ ณรงค์  สินสวัสดิ์ (2539 : คำนำ) ที่ว่า พฤติกรรมทางการเมืองของบุคคล เช่น การเข้าไปมีส่วนร่วมในทางการเมืองในระดับต่าง ๆ การไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง การช่วยพรรคการเมืองหาเสียง การลงสมัครรับเลือกตั้ง การเดินขบวนหรือการแสดงออกซึ่งการคัดค้านรัฐบาล การเลือกพรรคการเมืองที่เห็นว่าดีที่สุด การเลือกอุดมการณ์ทางการเมืองที่เห็นว่าดีที่สุด รวมไปถึงพฤติกรรมของผู้นำทางการเมือง เป็นต้น รวมทั้งสอดคล้องกับแนวคิดของสิทธิพันธ์ พุทธหุน (2538 : 156-161) ที่กล่าวถึงรูปแบบการเข้ามีส่วนร่วมทางการเมือง 4 แบบคือ การใช้สิทธิเลือกตั้ง กิจกรรมการรณรงค์หาเสียง กิจกรรมของชุมชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางสังคมและการเมือง และการติดต่อเป็นการเฉพาะกับเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือข้าราชการเพื่อแก้ไขปัญหา และก็สอดคล้องกับแนวคิดของ Almond กับ Powell ซึ่งได้จำแนกรูปแบบการเข้ามีส่วนร่วมทางการเมือง ออกเป็น 2 รูปแบบคือ Conventional Forms ได้แก่ การออกเสียงเลือกตั้ง การพูดจาปรึกษาเรื่องการเมือง กิจกรรมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง การจัดตั้งและการเข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มต่างๆ การติดต่อส่วนตัวกับเจ้าหน้าที่ทางการเมืองและการบริหาร และ Unconventional Forms ได้แก่ การยื่นข้อเสนอเรียกร้อง การเดินขบวน การเข้าประจัญหน้ากัน การละเมิดกฎระเบียบของสังคม การใช้ความรุนแรง และสงครามกองโจรและการปฏิวัติ  ในกรณีของบัณฑิตในรูปแบบของ Unconventional Forms ก็คือ การยื่นเสนอข้อเรียกร้อง หรือการร่วมลงนามยื่นเสนอข้อเรียกร้องในกรณีที่มีการทุจริตในการเลือกตั้ง หรือการที่มีนักการเมืองทุจริต ฉ้อราษฎร์บังหลวง ด้วยเหตุผลที่ว่า ช่วยป้องกันการทุจริตหรือคนไม่ดีเข้าไปบริหารประเทศ เป็นหน้าที่ของประชาชนและเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดของประชาชนตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญหรือการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และจากงานวิจัยของ มงคล  บุญเรือง (2545) ก็สอดคล้องกับพฤติกรรมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของบัณฑิต นั่นคือ การที่ประชาชนในเขตเทศบาลเมืองพะเยามีส่วนร่วมในการเลือกตั้ง ตามลำดับดังนี้คือ การไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายกเทศมนตรี และสมาชิกสภาพเทศบาล การปรึกษากับครอบครัวและกลุ่มเพื่อน และผู้ที่เคารพนับถือ เป็นต้น

       ส่วนคุณธรรมจริยธรรมทางการเมืองของบัณฑิต ที่สำเร็จการศึกษาวิชาเอกการเมืองการปกครอง ได้แก่ การจงรักภักดีในสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนคุณธรรมจริยธรรมทางการเมืองในด้านอื่น ๆ อยู่ในระดับมาก ซึ่งก็สอดคล้องกับการสอบถามผู้บังคับบัญชา และจากการศึกษาของ พัทยา  สายหู และคณะ (2530) ในเรื่องจริยธรรมในประเทศไทย โดยเฉพาะการศึกษาจริยธรรมด้านการเมืองการปกครอง ได้แก่ การเคารพในสิทธิหน้าที่ตนเองและผู้อื่น การเคารพและปฏิบัติตามกฎหมาย ความกระตือรือร้นที่จะมีส่วนร่วมในการปกครอง การจงรักภักดีในสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ความรักชาติและการมีส่วนร่วมในการป้องกันประเทศ การรูปแบบแก้ปัญหาขัดแย้งอย่างสันติวิธี ความรับผิดชอบต่อชาติต่อท้องถิ่น และความซื่อสัตย์สุจริต  จะเห็นได้ว่าบัณฑิตมีสำนึกในด้านคุณธรรมจริยธรรมทางการเมืองการปกครองครบทั้งหมด หากมองตามหลักทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์ก ตั้งแต่ขั้นที่ 4 คือ หลักการทำตามหน้าที่ เป็นขั้นของการปฏิบัติตามหน้าที่เป็นสำคัญ เป็นการกระทำเพื่อหน้าที่ที่ตนเองรับผิดชอบ ในขั้นที่ 5 คือ หลักการทำตามคำมั่นสัญญา เป็นขั้นของการกระทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม การมีเหตุมีผลและเคารพตนเอง และขั้นสุดท้ายคือ หลักการทำตามอุดมคติสากล เป็นขึ้นของการกระทำเพื่อชีวิต ยึดมั่นในอุดมคติ ถือว่าเป็นผู้ใหญ่โดยสมบูรณ์เป็นจริยธรรมขั้นสูงสุด

          ส่วนหลักธรรมที่บัณฑิตใช้ในการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ได้แก่ หลักทศพิธราชธรรม, พรหมวิหาร 4, ศีล, สังคหวัตถุ 4, อิทธิบาท 4 เป็นต้น ซึ่งใน 5 ลำดับแรกนั้นก็สอดคล้องกับการสอบถามผู้บังคับบัญชา  จะเห็นได้ว่า บัณฑิตมีพฤติกรรมทางการเมืองที่ดี ซึ่งประกอบด้วยคุณธรรมและจริยธรรม 2 ลักษณะควบคู่กันได้แก่ ประพฤติเป็นธรรม คือ มีความเที่ยงธรรม และยุติธรรม เช่น ประพฤติตามหลักของทศพิธราชธรรม อคติ พละ เป็นต้น และมีการประพฤติตามธรรม คือ การประพฤติตามธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน เช่น การปฏิบัติตามหลักพรหมวิหาร 4  อิทธิบาท 4 สังคหวัตถุ 4 เป็นต้น

         ข้อเสนอแนะ 1. ด้านพฤติกรรมทางการเมือง  พฤติกรรมทางการเมืองที่สำคัญก็คือ การมีส่วนร่วมทางการเมือง ซึ่งมีหลายด้าน เช่น การไปใช้สิทธิในการเลือกตั้ง กิจกรรมการรณรงค์หาเสียง กิจกรรมของชุมชนหรือองค์กรเพื่อแก้ไขปัญหาสังคมและการเมือง การติดต่อเป็นการเฉพาะ รวมทั้งการใช้กำลังรุนแรง เป็นต้น จากผลการวิจัยจะเห็นได้ว่า การมีส่วนร่วมของบัณฑิต โดยเฉพาะบัณฑิตที่เป็นฆราวาสมีเพียงบางด้าน ได้แก่ การไปใช้สิทธิในการเลือกตั้ง การเข้าร่วมรณรงค์หาเสียง การให้คำปรึกษาหรือให้ความรู้ความเข้าด้านการเมือง เป็นต้น แต่มีบางด้านที่บัณฑิตไม่ได้เข้าร่วม เช่น การไม่เข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่มการเมือง และการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ทางการเมือง ซึ่งในการให้การศึกษาของมหาวิทยาลัย ควรมุ่งเน้นให้นิสิตได้ตระหนักถึงบทบาทในด้านนี้ให้มากขึ้น เพราะเป็นการส่งเสริมให้บัณฑิตได้เข้ามามีส่วนร่วมและมีส่วนในการรับผิดชอบต่อการบริหารบ้านเมืองหรือชุมชนของตนเอง รวมทั้งเป็นการส่งเสริมการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแก่นิสิตไปด้วย

                   2. นอกจากข้อเสนอแนะในข้อหนึ่งแล้ว ทางมหาวิทยาลัยควรปลูกฝังให้นิสิตได้ให้ความรู้ความเข้าใจทางการเมืองที่ถูกต้องแก่ประชาชน โดยเฉพาะให้นิสิตได้เข้าไปมีส่วนในการกระตุ้นให้ประชาชนให้เข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น

                   3. ด้านคุณธรรมและจริยธรรมทางการเมือง  ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญ ถึงแม้ว่าผลการวิจัยได้แสดงให้เห็นว่าบัณฑิตมีคุณธรรมทางการเมืองอยู่ในระดับมากถึงมากที่สุด ก็ต้องมีการส่งเสริมหรือปลูกฝังให้มีคุณธรรมและจริยธรรมทางการเมืองแก่นิสิตในรุ่นต่อ ๆ มา เพื่อให้เป็นแบบอย่างแก่ประชาชนทั่วไป ในฐานะที่ศึกษาด้านการเมืองการปกครองและมีความรู้ความเข้าใจในทางพระพุทธศาสนาควบคู่ไปด้วย  นอกจากนั้นยังต้องมุ่งเน้นให้นิสิตได้ส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมทางการเมืองให้กับประชาชนอีกทอดหนึ่งด้วย

 

            ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป หากมีการทำวิจัยครั้งต่อไป ควรจะมีการศึกษาเปรียบเทียบพฤติกรรม คุณธรรมและจริยธรรมทางการเมือง ของบัณฑิตที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กับมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ที่เป็นฆราวาส เพื่อนำผลที่ได้จากการศึกษาเปรียบเทียบยืนยันข้อเท็จจริงจากการศึกษา แต่ทั้งนี้จะต้องศึกษาอย่างเป็นกลางมากที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสถาบันที่ศึกษาทั้งสองฝ่าย     

 

หมายเลขบันทึก: 445352เขียนเมื่อ 22 มิถุนายน 2011 15:05 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 18:38 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท