เฉลิมลาภ ทองอาจ
รุ่งอรุณแห่งปรัชญาพิพัฒนาการ
ศาสตราจารย์จอห์น ดุย
(Jonn Dewey) แห่งภาควิชาปรัชญา
มหาวิทยาลัยชิคาโก (The University of
Chicago) เป็นนักปรัชญาคนสำคัญ
ที่เฝ้ามองสถานการณ์ด้านการศึกษาในช่วง ค.ศ. 1890
ขณะนั้นได้เกิดวิกฤตการณ์ที่เป็นปัญหาเกี่ยวกับการศึกษาและนักเรียนหลายเรื่อง
อาทิ หลักสูตรดั้งเดิมประสบความล้มเหลว
เพราะไม่อาจสร้างความสนใจและแรงจูงใจแก่นักเรียนได้
อีกทั้งยังไม่ตอบสนองต่อความต้องการของสังคมอุตสาหกรรมใหม่
อัตราการออกจากโรงเรียนของนักเรียนทั้งในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาเพิ่มขึ้น
ปัญหาอาชญกรรมของวัยรุ่นและปัญหา
การอ่านเขียนไม่ได้สูงขึ้น (Tozer, Violas และ Senese, 1993: 140)
ในฐานะที่ จอห์น ดุย (Jonn Dewey)
เป็นนักปรัชญากลุ่มพิพัฒนาการนิยม (progressivism)
ซึ่งผลักดันและนำเสนอแนวคิดที่สำคัญว่า
การจัดการศึกษาหรือการเรียนรู้ที่มิได้พัฒนาความเป็นมนุษย์ให้งอกงามขึ้น
หรือการศึกษาแบบประเพณีนิยมที่มุ่งเน้นการฝึกหัดอย่างเคร่งครัด
และให้นักเรียนเรียนรู้ด้วยการท่องจำนั้น
คือความล้มเหลวอย่างยิ่ง ข้อเสนอของ จอห์น ดุย
(Jonn Dewey)
รวมถึงการแสวงหาวิธีการแก้ปัญหาของเขา
นำไปสู่การสร้างโรงเรียนสาธิตหรือโรงเรียนห้องปฏิบัติการแห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก
(The University of Chicago Laboratory Schools) ในปี
ค.ศ. 1896
หลังจากที่ได้พัฒนาปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการอยู่ถึง 8 ปี
(Day, 2006: online) โรงเรียนสาธิตแห่งนี้
มีพันธกิจที่สำคัญตามที่ จอห์น ดุย (Jonn Dewey)
กำหนดไว้คือ เพื่อค้นพบระบบการบริหาร
การพิจารณาและเลือกสาระการเรียนรู้ วิธีการเรียนรู้
วิธีการสอนและการฝึกหัดระเบียบวินัยที่มีประสิทธิภาพ
และวิธีการนำโรงเรียนไปสู่ความเป็นชุมชนแห่งการร่วมมือ
ขณะเดียวกันก็ต้องพัฒนาศักยภาพและความสามารถตามความต้องการของนักเรียนเป็นรายบุคคลควบคู่กันไปด้วย
พันธกิจดังกล่าวนี้
ถือเป็นหัวใจสำคัญของปรัชญาพิพัฒนาการนิยม ซึ่งคำว่า
“พิพัฒนาการ” (progressive) นี้
ได้นำมาใช้เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของการจัดการศึกษาจากหลักสูตรแบบประเพณีนิยมขณะนั้น
ที่มุ่งเน้นการเตรียมเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยและถูกจำแนกแบ่งชั้นจากระบบเศรษฐกิจ
กับการจัดศึกษาแบบใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น
นักนวัตกรรมการศึกษาอีกท่านหนึ่ง
ที่มีชื่อเสียงมากในฐานะผู้ก่อตั้งโรงเรียนสาธิตซึ่งเป็นโรงเรียนตามปรัชญาพิพัฒนาการนิยมคือ
ฟรานซิส ปาร์เกอร์ (Francis Parker)
บุคคลผู้นี้เป็นผู้นำปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการมาปฏิบัติในโรงเรียน
ระหว่างปี ค.ศ. 1875 ถึง ค.ศ. 1880
เขาเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน ณ เมืองควินซี (Quincy)
มลรัฐแมสซาชูเสตส์
(Massachusetts)
หลังจากที่ศึกษาด้านแนวโน้มการศึกษาในเยอรมันนี
เขาปฏิเสธการเรียนรู้แบบท่องจำ
และเชื่อว่าความรู้ที่ปราศจากความเข้าใจเป็นความรู้ที่ไม่มีคุณค่า
นอกจากนี้
เขายังเห็นว่าโรงเรียนจะต้องเป็นสถานที่แห่งการยอมรับและสนับสนุนความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียน
ระบบการศึกษาของ ฟรานซิส ปาร์เกอร์ (Francis
Parker)
ที่เรียกว่าระบบควินซีของปาร์เกอร์ (Parker’s Quincy
System) นั้น
ได้รับความนิยมในฐานะตัวอย่างการจัดการศึกษาตามปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการในช่วงต้นศตวรรษที่
20
และนักการศึกษาเรียกการศึกษาลักษณะนี้ว่าการจัดการเรียนรู้ที่นักเรียนเป็นศูนย์กลาง
(child-centered) หรือการเรียนรู้โดยใช้ประสบการณ์เป็นฐาน
(experience-based learning) (Schugurensky, 2002:
online)
ฟรานซิส ปาร์เกอร์ (Francis Parker)
นำหน่วยการเรียนรู้ (learning units) ซึ่งมีลักษณะเป็น
“แนวคิดหลัก” (theme) และเชื่อมโยงกับความรู้อื่นๆ
มาใช้ในการออกแบบหลักสูตรสถานศึกษา
และนำผลงานวรรณกรรมของนักเรียน วรรณคดีและวรรณกรรม
ตลอดจนสื่อต่างๆ ของครู
มาใช้แทนตำราการฝึกอ่านและเขียนสะกดคำ ปี ค.ศ. 1883
เขาย้ายจากมลรัฐแมสซาชูเสตส์
(Massachusetts)
เพื่อเป็นผู้อำนวยโรงเรียนฝึกหัดครูตำบลคุกเคาตี (Cook County
Normal School) ณ เมืองชิคาโก (Chicago)
โรงเรียนแห่งนี้ตั้งขึ้นเพื่อเป็นสถาบันฝึกหัดครูระดับประถมศึกษาตามแนวคิดของเขา
(University of Chicago Library, Special Collections Research
Center, 2006: online) จากนั้นในปี ค.ศ. 1894
หนังสือเกี่ยวกับทฤษฎีการสอนเด็กของเขาที่ชื่อ
“การพูดคุย บนการสอนเด็ก” (Talks on
Pedagogics) ได้ตีพิมพ์เผยแพร่
และมีอิทธิพลอย่างมากต่อความคิดเกี่ยวกับการจัดการศึกษาของนักปรัชญาการศึกษา
อาทิ ฟรอเบล (Froebel) เปสตาลอซซี (Pestalozzi)
และแฮร์บาร์ต (Herbart) และในปีเดียวกันนี้เอง
จอห์น ดุย (Jonn Dewey)
ได้ย้ายจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน (University of Michigan)
เพื่อมาเป็นประธานสาขาปรัชญา จิตวิทยาและการศึกษา ณ
มหาวิทยาลัยชิคาโก (The University of Chicago)
และได้ส่งบุตรเข้าศึกษาในโรงเรียนของ ฟรานซิส
ปาร์เกอร์ (Francis Parker) ด้วย
ต่อมาในปี ค.ศ. 1899 เอมมอน เบลน
(Emmon Blaine) ได้ร่วมงานกับ ฟรานซิส
ปาร์เกอร์ (Francis Parker)
เพื่อก่อตั้งโรงเรียนสาธิตประถมศึกษาแห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก (The
University of Chicago)
ซึ่งมีพันธกิจในการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับประถมศึกษา
โดยได้รับคำเชิญจากศาสตราจารย์วิลเลียม ฮาร์เปอร์
(William Harper) อธิการบดีมหาวิทยาลัยในขณะนั้น
ซึ่งกำลังสนใจที่การจัดการศึกษาด้านครุศึกษาในมหาวิทยาลัย
และต่อมาได้พัฒนามาเป็นคณะศึกษาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชิคาโก
(School of Education, University of Chicago) ในที่สุด
(Dewey, 1902: online) โรงเรียนสาธิตของ จอห์น ดุย (Jonn
Dewey)
และโรงเรียนสาธิตของ ฟรานซิส ปาร์เกอร์ (Francis
Parker) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยแห่งนี้
จึงกลายมาเป็นต้นแบบของโรงเรียนสาธิตทั่วโลกนับแต่ต้นศตวรรษที่
20
จอห์น ดุย (Jonn Dewey)
เริ่มผลักดันปรัชญาพิพัฒนาการนิยมเข้าสู่แนวคิดการศึกษากระแสหลักของสหรัฐอเมริการ่วมกับนักการศึกษาคนอื่นๆ
อาทิ ชาร์ลส์ อีเลียต (Charles Eliot) และ อับบราฮัม
เฟลกเนอร์ (Abraham Flexner) ณ
เมืองโคลัมเบีย (Columbia) และในปี ค.ศ.
1917 จึงมีการก่อตั้งโรงเรียนลินคอลน์ (Lincoln School)
แห่งคณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย (Columbia
University)
เพื่อให้เป็นห้องปฏิบัติการด้านการจัดการศึกษาที่พ้นจากกรอบของหลักสูตรประถมและมัธยมศึกษาขณะนั้น
โรงเรียนสาธิตแห่งนี้ยกเลิกสาระการเรียนรู้หรือเนื้อหาที่ล้าสมัย
และใช้สาระการเรียนรู้ที่ประยุกต์เข้ากับความต้องการของการใช้ชีวิตในยุคสมัยใหม่
4 กลุ่ม คือ วิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรม
สุนทรียศาสตร์และหน้าที่พลเมือง
ครูจะต้องประยุกต์สาระการเรียนรู้ดังกล่าวให้สัมพันธ์กับชีวิตในโลกปัจจุบัน
(contemporary world)
ดังนั้นนักเรียนของโรงเรียนแห่งนี้จึงต้องเรียนรู้วิชาการผ่านจากประสบการณ์ในแหล่งเรียนรู้ต่างๆ
ในชุมชน อาทิ ตลาด โบสถ์ สถานีขนส่ง
เป็นต้น (Heffron, 2009: online)
ด้วยเหตุผลข้างต้น หลักสูตรของโรงเรียนแห่งนี้
จึงได้รับการออกแบบให้มีลักษณะเป็นหน่วยการเรียนรู้การปฏิบัติงาน
(units of work)
ซึ่งเปลี่ยนโครงสร้างสาระการเรียนรู้แบบดั้งเดิมให้มีลักษณะสอดคล้องกับประสบการณ์และพัฒนาการของนักเรียน
ตัวอย่างเช่น
นักเรียนเกรดหนึ่งและเกรดสองจะต้องศึกษาเกี่ยวกับชีวิตในชุมชนหรือสังคมที่เรียกว่า
“การศึกษาชีวิตในเมือง” (a study of
city life)
ด้วยการทำโครงงานการออกแบบและสร้างเมืองของตนเอง
นักเรียนเกรดสามจะต้องทำโครงงานที่ก้าวหน้าขึ้นด้วยการศึกษาเกี่ยวกับชีวิตประจำวันริมแม่น้ำฮัดสัน
(Hudson River)
หน่วยการเรียนรู้นี้เป็นหน่วยการเรียนรู้ที่มีชื่อเสียงมากของโรงเรียน
เนื่องจากเป็นหน่วยการเรียนรู้ที่นักเรียนจะได้ศึกษาประวัติศาสตร์
ภูมิศาสตร์ การอ่าน การเขียน คณิตศาสตร์
วิทยาศาสตร์ ศิลปะและวรรณกรรมไปพร้อมกัน
หน่วยการเรียนรู้แต่ละหน่วยจะมีความยืดหยุ่นมากเพียงพอที่จะทำให้นักเรียนทำกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ
ได้ตามความสนใจและความต้องการ
มีการเชื่อมโยงลักษณะสำคัญของอารยธรรมปัจจุบัน (contemporary
civilization)
และส่งเสริมให้นักเรียนทำกิจกรรมในเชิงร่วมมือ
ตลอดจนให้โอกาสนักเรียนแต่ละคนทำวิจัยหรือสำรวจข้อมูลที่สนใจต่างๆ
ด้วยตนเอง (Kliebard, 2004: 142)
ปี ค.ศ. 1919 สแตนวูด คอบบ์ (Stanwood Cobb)
และคณะได้ก่อตั้งสมาคมการศึกษาพิพัฒนาการ (Progressive
Education Association)
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่และผลักดันแนวคิดการจัดการเรียนรู้ที่นักเรียนเป็นศูนย์กลางนี้สู่ระบบการศึกษา
แม้ว่าสมาคมนี้จะยุติบทบาทลงในปี ค.ศ. 1955
แต่ก็ได้นำเสนอผลการวิจัยที่มีชื่อเสียงมาก คือ
การประเมินผลโปรแกรมการศึกษาพิพัฒนาการ
ซึ่งเป็นโครงการที่ใช้เวลาวิจัยถึง 8 ปี (the
eight-year study)
โดยเปรียบเทียบนักเรียนที่ศึกษาในโปรแกรมการศึกษาพิพัฒนาการมากกว่า
1,500 คนกับนักเรียนที่ศึกษาในโรงเรียนทั่วไป
ในสถาบันอุดมศึกษากว่า 300 แห่ง
ผลการศึกษาพบว่า เมื่อเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา
นักเรียนที่ศึกษาในโปรแกรมพิพัฒนาการมีผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
ศักยภาพและความสามารถในทุกด้านสูงกว่านักเรียนในโรงเรียนทั่วไป
(Schugurensky, 2002: online)
ช่วงกลางของศตวรรษที่ 19
โรงเรียนของรัฐบาลได้นำหลักสูตรหรือโปรแกรมการเรียน
การสอนแบบพิพัฒนาการมาใช้มากขึ้น แม้ว่า จอห์น ดุย
(Jonn Dewey)
จะมีความเชื่อว่าการจัดการศึกษาแบบพิพัฒนาการนั้น
ยังไม่อาจนำไปสู่การปฏิรูปพื้นฐานของการศึกษากระแสหลักได้
อย่างไรก็ตามอิทธิพลจากแนวคิดของในเรื่องการศึกษาของเยาวชนตามปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการ
ได้ก่อให้เกิดนักคิดและนักการศึกษาจำนวนมาก
ที่พยายามประยุกต์หลักการของปรัชญาไปแปรเป็นการปฏิบัติในสถานศึกษา
สนธยาแห่งปรัชญาพิพัฒนาการ
เนื่องจากปรัชญาพิพัฒนาการนั้นถือกำเนิดบนพื้นฐานของความคิดของนักปรัชญา
สถานะเช่นนี้จึงกลายเป็นจุดอ่อนของตัวปรัชญาเอง
เพราะปรัชญาต้องการอาศัย “การตีความ” และ
“การประยุกต์”
ดังนั้นนักการศึกษาจำนวนมากที่นำปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการไปปฏิบัติ
จึงสร้างแนวปฏิบัติในการจัดการศึกษาที่แตกต่างกันออกไป
และทำให้การประเมินผลการจัดการศึกษาตามปรัชญานี้กลายเป็นเรื่องยากอย่างยิ่ง
นอกจากนี้
ยังเกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการศึกษาทั้งในด้านหลักสูตรและรูปแบบการจัดการเรียนรู้ว่าไม่อาจพัฒนาความสามารถในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งปี ค.ศ. 1955
ถือเป็นปีที่เกิดการถกเถียงและวิจารณ์การจัด
การเรียนรู้ตามปรัชญาพิพัฒนาการอย่างรุนแรง
นักการศึกษาหลายคนได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับโปรแกรมการสอนอ่านที่เน้นแต่การอ่านจากบริบทในสังคม
หรือแนวคิดที่ให้เสรีกับนักเรียนมากเกินไป
เป็นต้น กระแสโจมตีดังกล่าว
ทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อสหภาพโซเวียตสามารถส่งดาวเทียมสปุทนิก
(Sputnik) ขึ้นไปโคจรในอวกาศได้ในปี ค.ศ. 1957
อันเป็นเสมือนการประกาศชัยชนะเหนือสหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามเย็น
เป็นเหตุให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาจะต้องเร่งการแข่งขันในด้านความรู้
และหันกลับไปสู่การศึกษาที่เน้นให้เนื้อหาด้านวิชาการอีกครั้ง
โดยได้รับอิทธิพลของนักจิตวิทยากลุ่มพุทธิปัญญานิยม
(cognitive psychology) ขณะนั้น อาทิ
เจอโรม บรูเนอร์ (Jerome Bruner) และเจอร์โรลด์
แซคคาเรียส (Jerrold Zacharias) เป็นต้น
นอกจากปัจจัยในด้านการเมืองแล้ว
ปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการยังได้รับผลกระทบจาก
สภาวะเศรษฐกิจถดถอยและมาตรการทางภาษีในปี ค.ศ. 1970
ตลอดจนการเผยแพร่รายงาน “ประเทศกำลังเสี่ยง” (A Nation At
Risk) ในปี ค.ศ. 1983
อันนำไปสู่การพิจารณาทบทวนมาตรฐานการเรียนรู้ด้านคุณภาพของผู้เรียน
และการปรับปรุงผลการเรียนรู้โดยการใช้แบบสอบมาตรฐานซึ่งล้วนแต่ขัดแย้งกับแนวคิดของ
จอห์น ดุย (Jonn Dewey) และ
ฟรานซิส ปาร์เกอร์ (Francis Parker)
ทั้งสิ้น (Zilversmit, 2005: online)
แม้ปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการจะไม่อาจฝ่ากระแสการเมืองและการแข่งขันในช่วงสงครามเย็นได้
ผนวกกับการเผยแพร่ศาสตร์จิตวิทยาด้านสติปัญญาการรู้คิด
(cognitive psychology)
แต่ก็เป็นเรื่องน่าสนใจยิ่งที่นักจิตวิทยาด้านสติปัญญาการรู้คิดโดยเฉพาะ
เจอโรม บรูเนอร์ (Jerome Bruner)
ได้สร้างงานวิจัยหรือพัฒนาองค์ความรู้ขึ้นจากแนวคิดจิตวิทยาพัฒนาการของ
จีน พิเอเจต์ (Jean Piaget)
ซึ่งมีความสัมพันธ์กับแนวคิดการเรียนรู้จากประสบการณ์ของ จอห์น
ดุย (Jonn Dewey)
และพัฒนามาเป็นแนวคิดใหม่ในการจัดการศึกษาที่เรียกว่า
“โครงสร้างนิยม” (constructivism) ซึ่งมีหลักการว่า
นักเรียนต้องเป็นผู้มีปฏิสัมพันธ์และมีส่วนร่วมในการสร้างความหมายจากสิ่งต่างๆ
ด้วยตนเอง
ดังนั้นในการจัดการเรียนรู้จึงต้องให้นักเรียนเป็นผู้มีปฏิสัมพันธ์
(active) มากกว่าให้นักเรียนเป็นผู้รับ (receptive)
(Hutcheon, 2008: online)
ด้วยเหตุนี้
ปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการจึงดูเสมือนว่าจะยังไม่หายไปจากการจัดการศึกษาเสียทีเดียว
กระทั่งเมื่อปลายศตวรรษที่ 20
แนวคิดการจัดการเรียนรู้ตามปรัชญาพิพัฒนาการได้รับความสนใจอีกครั้ง
เมื่อปัญหาเรื่องการเมืองระหว่างประเทศคลี่คลายลง
และปัจเจกชนในสังคมกำลังพยายามแสวงหา “ความรู้ที่แท้จริง”
สำหรับคนรุ่นใหม่และสังคมใหม่อีกครั้ง
หลักการจัดการศึกษาที่ยังดำรงอยู่
จากการศึกษาในเชิงประวัติข้างต้น
ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า
โรงเรียนสาธิตเกิดขึ้นเพื่อเป็นคำตอบของปัญหาการจัดการเรียนรู้ในสังคมสหรัฐอเมริกา
ซึ่งได้รับอิทธิพลของปรัชญากลุ่ม
อุดมคตินิยม (idealism)
ผนวกกับอิทธิพลของจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยม
(behaviorism)
เพื่อแสดงออกถึง
“ความไม่เห็นด้วย” หรือ “มุมมองที่ต่างไป”
จากการศึกษากระแสหลัก
ความไม่เห็นด้วยนี้
มีจุดเริ่มจากความเชื่อใน “ปรัชญาการศึกษา”
จากประเด็นนี้ทำให้เกิดคำถามที่สำคัญต่อไปว่าโรงเรียนสาธิตในประเทศไทย
ยังคงดำเนินการจัดการศึกษาตามตามแนวคิดปรัชญา พิพัฒนาการ
อันเป็นปรัชญา ณ แรกเริ่มจัดตั้งหรือไม่
หรือหากมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว ปัจจัยใดที่ทำให้เปลี่ยน
เปลี่ยนเพื่ออะไร และเปลี่ยนแล้วดีกว่าเดิมหรือไม่
เพราะอะไร
ถึงแม้ว่าความนิยมในปรัชญาพิพัฒนาการจะมีแนวโน้มขึ้นลง
แต่หลักการจัดการศึกษาของ จอห์น ดุย (Jonn
Dewey) และ
ฟรานซิส ปาร์เกอร์ (Francis Parker)
ซึ่งใช้ในการจัดระบบการศึกษาในโรงเรียนห้องปฏิบัติการแห่งมหาวิทยาลัยชิคาโก
(The University of Chicago Laboratory Schools)
ทั้งในด้านการบริหาร หลักสูตรและการสอนนั้น
ยังคงดำรงอยู่และมีอิทธิพลต่อนักการศึกษาและผู้จัดการศึกษาในทุกๆ
ระดับ ซึ่งสามารถประมวลสรุปได้ดังนี้ (Harms และ
DePencier, 1996: online)
1. การพิจารณาการเรียนรู้ของนักเรียนนั้น
ต้องมุ่งพิจารณาที่กระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนมากว่าการพิจารณาเนื้อหาหรือสาระการเรียนรู้
เพราะการศึกษาเป็นกระบวนการทางสังคม (social
process)
ที่ต้องอาศัยการมีปฏิสัมพันธ์และการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ในลักษณะกลุ่มย่อย
(small group)
2.
การจัดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพเกิดจากการใช้โครงการเป็นฐาน
ผู้เรียนจะต้องใช้การลงมือปฏิบัติ เช่น
จัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ผ่านการเล่น
การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ธรรมชาติจากการสำรวจธรรมชาติ
เป็นต้น
3. เป้าหมายของการจัดการศึกษา
ไม่ควรมุ่งเน้นเฉพาะความเป็นเลิศในทางวิชาการแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
แต่จะต้องให้ความสำคัญกับความสามารถในการแก้ปัญหาต่างๆ
(problem solving)
4.
การจัดการศึกษาจะต้องมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความรับผิดชอบ
ทั้งในระดับสังคมภายในโรงเรียนและสังคมส่วนรวม
5. กระบวนการเรียนรู้ที่จัดภายในโรงเรียน
ต้องเชื่อมโยงกับประสบการณ์หรือชีวิตประจำวันของนักเรียน
6. การเรียนรู้ในเชิงวิชาการนั้น
ไม่ควรจัดหลักสูตรแต่เฉพาะวิชาหลักหรือ
วิชาแกน แต่ยังจะต้องคำนึงถึงวิชาด้านความเป็นมนุษย์
เช่น ศิลปะ กีฬา
ดนตรีและกิจกรรมที่หลากหลายเพิ่มเติมจากในหลักสูตร
7.
ผู้จัดการศึกษาจะต้องส่งเสริมให้ครูศึกษาเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
และใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาวิชาชีพ
สนับสนุนให้ครูมีอิสระและเสรีภาพ
และมีศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย
หลักการจัดการเรียนรู้ข้างต้น มีแนวคิดสำคัญคือ
การจัดการศึกษาจะต้องอยู่บนพื้นฐานของหลักการสำคัญว่ามนุษย์จะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นๆ
ในสังคม
และมนุษย์จะเรียนรู้ได้ดีเมื่อทำกิจกรรมการเรียนรู้ในสถานการณ์จริง
จากแนวคิดดังกล่าว
นักปรัชญาพิพัฒนาการจึงเห็นคุณค่าของทฤษฎีการเรียนรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์
และเชื่อว่านักเรียนจะเรียนรู้ได้ดีหากปฏิบัติตนดังเช่นนักวิทยาศาสตร์
ซึ่งสามารถปฏิบัติได้ตามรูปแบบกระบวนการเรียนรู้ในการแก้ปัญหาของ
จอห์น ดุย (Jonn Dewey)
ได้แก่ 1) รับทราบและตระหนักในปัญหา (become aware
of the problem) 2)
พิจารณาและวินิจฉัยปัญหา (define the problem)
3) สร้างสมมติฐานเพื่อแก้ไขปัญหา (propose hypotheses to solve it) 4)
ประเมินผลที่อาจเกิดขึ้นจากสมมติฐานด้วยประสบการณ์เดิมของบุคค
(evaluate the consequences of the hypotheses from one's past
experience) และ
5) ทดสอบวิธีการแก้ปัญหาที่อาจเป็นไปได้ (test the
likeliest solution) (Paszkowska, 2003:
online)
รูปแบบกระบวนการเรียนรู้ข้างต้น
ส่งผลให้การจัดการศึกษาเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
เนื่องจากครูตามปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการจะไม่จัดการเรียนรู้แต่เพียงการอ่านให้ฟังหรือใช้วิธีฝึกหัด
แต่จะเป็นผู้จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของนักเรียนให้มากที่สุด
โดยมีวัตถุประสงค์ให้นักเรียนเกิดประสบการณ์ตรง
แนวคิดในการจัดการศึกษาตามปรัชญาพิพัฒนาการเช่นนี้
ทำให้เกิดอัตลักษณ์ที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่า
“การเรียนรู้จากการปฏิบัติ” (learning by
doing)
จอห์น ดุย (Jonn Dewey)
มีแนวคิดเกี่ยวกับการจัดการศึกษาว่าจะต้องมีอยู่บนพื้นฐานของปรัชญาประชาธิปไตยและธรรมชาติของเด็ก
ในประเด็นแรกเขาเชื่อว่าปรัชญาประชาธิปไตยเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการนำไปสู่การศึกษาที่แท้จริง
เพราะการจัดการศึกษาบนพื้นฐานของปรัชญานี้
นักเรียนสามารถแสดงความคิดเห็นและความสนใจของตนเองได้อย่างอิสระมากกว่าปรัชญาการเมืองอื่นๆ
ดังนั้นโรงเรียนจะต้องเป็น
“ห้องปฏิบัติการสำหรับประชาธิปไตย” (laboratory for
democracy)
เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ให้นักเรียนเกิดความเข้าใจ
ชื่นชมและปฏิบัติตนตามครรลองของปรัชญา ด้วยเหตุนี้
นักเรียนจึงต้องเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ
ซึ่งทุกขั้นตอนจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานปรัชญาประชาธิปไตย
ส่วนในประเด็นธรรมชาติของเด็ก (the nature of
the child) นั้น
เขามีความเชื่อว่าเด็กทุกคนมีความกระตือรือร้นในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับสังคม
มีธรรมชาติแห่งการสร้างหรือประดิษฐ์คิดค้นสิ่งต่างๆ
มีความสามารถในการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์
และมีความสนใจใคร่รู้และต้องการค้นพบสิ่งต่างๆ รอบตน
จากแนวคิดเกี่ยวกับปรัชญาประชาธิปไตยและธรรมชาติของเด็กข้างต้น
จอห์น ดุย (Jonn Dewey)
จึงเสนอว่าห้องเรียนที่แท้จริง
ควรเป็นสถานที่ที่นักเรียนได้ทำกิจกรรมการเรียนรู้และกิจกรรมทางสังคมด้วยกัน
และนักเรียนสามารถตัดสินใจในประเด็นปัญหาหรือสถานการณ์ต่างๆ
ด้วยตนเอง
กิจกรรมการเรียนรู้เหล่านี้ควรเป็นกิจกรรมที่นักเรียนและครูช่วยกันพิจารณาและเลือก
แต่จะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานความสนใจของนักเรียนเป็นสำคัญ
เพราะนักเรียนจะพร้อมและมุ่งแสวงหาความหมายจากกิจกรรมการเรียนรู้เหล่านั้นด้วยตนเอง
แม้ว่าจะต้องเผชิญอุปสรรคหรือปัญหาในระหว่างกระบวนการเรียนรู้
สิ่งที่สำคัญคือประสบการณ์ที่เพิ่มพูนจากการทำกิจกรรมจะนำไปสู่ความสนใจใหม่
และนำนักเรียนเข้าสู่วงจรแห่งการเรียนรู้ (cycle of
learning) ด้วยตนเองในที่สุด (Tozer, Violas และ Senese, 1993:
141-143)
แนวคิดและข้อเสนอดังที่ได้กล่าวมา
สามารถสรุปหลักการจัดการศึกษาตามปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการโดยทั่วไปได้
ดังนี้
1. หลักสูตรต้องมีลักษณะบูรณาการ
และมีลักษณะเป็นหน่วยการเรียนรู้ที่เป็น
แนวคิดหรือหัวข้อเรื่อง (thematic units)
ซึ่งมีความหลากหลาย
สอดคล้องกับความสนใจและความต้องการของนักเรียน
ตลอดจนสัมพันธ์กับสภาพและปัญหาของสังคมปัจจุบัน
2. การจัดการเรียนรู้ต้องเป็นกิจกรรมให้นักเรียนได้เรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติ
มุ่งฝึกทักษะการแก้ปัญหา (problem solving)
การคิดอย่างมีวิจารณญาณ (critical
thinking)
โดยนักเรียนจะต้องทำงานเป็นกลุ่ม (Group work)
ตามแนวคิดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (cooperative learning)
เพื่อพัฒนาทักษะด้านสังคม
ส่งเสริมให้นักเรียนมีการเรียนรู้ตลอดชีวิต
ตามแนวคิดชีวิตคือการศึกษา
ใช้หลักปรัชญาประชาธิปไตยเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ในทุกขั้นตอนและประเมินผลโดยวัดจากคุณภาพของโครงการหรือผลงานของนักเรียน
3.
มีเป้าหมายเพื่อสร้างค่านิยมและคุณลักษณะด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและวัฒนธรรมประชาธิปไตย
บูรณาการโครงการหรือกิจกรรมการให้บริการทางสังคมสู่สถานศึกษาและกำหนดเป้าหมายของการเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหาในสังคมเป็นสำคัญ
พัฒนาการของปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงด้านทฤษฎี
การสอนเด็ก
(pedagogy) ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19
และยังคงปรากฏในหลายรูปแบบกระทั่งปัจจุบัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากมีการออกกฏหมาย
“อย่าให้มีเด็กหลงเหลือ” (No Child Left
Behind) ซึ่งเป็นกฏหมายการศึกษาที่สำคัญของสหรัฐอเมริกา
การจัดการศึกษาตามปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการจึงกลายเป็นการศึกษาทางเลือกใหม่ของสหรัฐอเมริกาที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างยิ่ง
_____________________
การนำส่วนหนึ่งส่วนใดของบทความไปเผยแพร่ ควรทำตามหลักวิชาการ
จรรยาบรรณ และความเป็นมนุษย์