ยอด “คุณเอื้อ”
คณะกรรมการได้ตัดสินให้ อ. จิระพันธุ์ พิมพ์พันธุ์ ผอ. รร. จิระศาสตร์ อยุธยา เป็นยอดคุณเอื้อแห่งเดือน สค. ๔๘ ในรางวัลจตุรภาคี จึงขอนำเอาบทความเกี่ยวกับ อ. จิระพันธุ์ และ รร. จิระศาสตร์ ที่ลงตีพิมพ์ในนิตยสาร “สานปฏิรูป” มาลงไว้ ใครอยากอ่านอย่างได้อรรถรสโปรดซื้อนิตยสารมาอ่านได้นะครับ หรือจะบอกรับก็ได้ที่ [email protected], [email protected] ราคาเพียงเล่มละ ๔๐ บาท คุณภาพคับแก้ว
วิถีสู่ “ดวงดาว” ของชาวจิระศาสตร์วิทยา
โดย วิวัฒน์ คติธรรมนิตย์
หากจะวัดความสำเร็จของโรงเรียนหนึ่งๆ จากรางวัลและการยกย่องแล้ว จิระศาสตร์วิทยาย่อมไม่น้อยหน้าโรงเรียนใด ด้วยเคยคว้ารางวัลพระราชทานมาแล้วทั้ง 3 ระดับ (อนุบาล ประถม มัธยม) มีผู้บริหารและครูจำนวนมากได้รับรางวัลยกย่องจากหน่วยงานต่างๆ มีนักเรียนที่ได้รับรางวัลมากมายในแต่ละปี
ในวันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคมที่ผ่านมา ผู้เขียนมีโอกาสไปร่วมงาน “ตลาดนัดความรู้” ที่จิระศาสตร์วิทยา โรงเรียนเอกชนประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น ได้รับฟังเจ้าภาพเอ่ยด้วยความภาคภูมิใจว่า ตนเองมีรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่ประสบผลสำเร็จในนาม JIRASART MODEL เป็นตัวแบบการจัดการเรียนการสอนที่ขับเคลื่อนโรงเรียนไปสู่ความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง
คำประกาศต่อคณะครูและแขกที่เข้าร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในตลาดนัดนี้ มี Port folio จำนวนเกือบร้อยแฟ้มเรียงรายเป็นประจักษ์พยานให้ศึกษาเรียนรู้ และเป็นคำเชื้อเชิญให้ “สานปฏิรูป” สนใจศึกษาถึงวิถีการจัดการความรู้ของจิระศาสตร์วิทยาว่า ทำอย่างไรจึงหนุนเสริมให้ครูนับร้อยชีวิตผลิบานผลงานออกมาสู่ประชาคมการศึกษาได้เช่นนั้น
สารพันกิจกรรมการเรียนรู้
“ผู้ปกครองที่เพิ่งนำลูกเข้าเรียนที่จิระศาสตร์มักจะสงสัยว่าทำไมโรงเรียนเราจึงมีกิจกรรมให้เด็กทำมากมายนัก จะเรียนได้ครบตามหลักสูตรกระทรวงหรือ” ดร.สุทธาทิพ ไชยรัตนะ ผู้บริหารสำนักวิชาการและกิจการนักเรียน โรงเรียนจิระศาสตร์วิทยา กล่าวถึงข้อกังวลของผู้ปกครองส่วนหนึ่งต่อการที่โรงเรียนได้จัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้ศึกษาด้วยตนเองตลอดเวลา ทั้งในสถานที่ นอกสถานที่ โดยมีบริบท “อยุธยามรดกโลก” เป็นแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย ทั้งพิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยา โบราณสถานจำนวนนับร้อยแห่ง พิพิธภัณฑ์เรือไทย และรวมถึงสวนพฤกษศาสตร์ ที่โรงเรียนจัดทำขึ้นเพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ทางธรรมชาติโดยเฉพาะ
เช่นเดียวกับโรงเรียนทั่วไป ในแต่ละภาคการศึกษา โรงเรียนจิระศาสตร์วิทยาจะประชุมครูเพื่อร่วมกันจัดทำหลักสูตร วางแผนการเรียนรู้ในแต่ละสาระวิชา ดร.ชนาทิพ ย้อนระลึกถึงเมื่อ 7-8 ปีก่อน ก่อนที่จะมีการออกกฎหมายปฏิรูปการศึกษาว่า โรงเรียนมีเป้าหมายที่จะบูรณาการสาระการเรียนรู้ต่างๆ เข้าด้วยกันให้มากที่สุด เพื่อให้เด็กเรียนรู้แบบเป็นองค์รวม
“ช่วงแรกมีปัญหาอุปสรรคหลายอย่าง ครูยังทำงานไม่เป็นเนื้อเดียวกัน แม้จะมีการผสมผสานกับสาระอื่นๆ แต่การวัดประเมินผลยังเป็นเฉพาะวิชา ต่อมาโรงเรียนพยายามปรับการทำงานให้มีการบูรณาการเข้าด้วยกัน โดยจัดหลักสูตรเป็นช่วงชั้น จัดการประชุมครูเป็นช่วงชั้นรวมกัน หาทางบูรณาการข้ามสาระ มีการทำงานเป็นทีม ไปจนถึงคิดค้นการวัดประเมินผล โดยให้เด็กทำงานหนึ่งชิ้นแล้วบูรณาการในสาระต่างๆ เป็นชิ้นงานเดียวกัน มีการวัดประเมินผลร่วมกัน ทำให้ลดภาระงานของเด็ก ครูก็ลดการสอนที่ซ้ำซ้อนไม่ต่อเนื่อง”
อาจารย์จุรี วรไชยยนต์ อาจารย์ประจำช่วงชั้นที่ 1 อธิบายเสริมว่า คุณครูจะต้องสำรวจก่อนว่าสาระความรู้ที่เด็กจะได้จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ คืออะไร อยู่ในสาระและมาตรฐานของหลักสูตรระดับใดบ้าง ครูแต่ละช่วงชั้นจะต้องร่วมกันวางแผนการสอนให้เหมาะสม ไม่ซ้ำซ้อนกัน อย่างเช่น การไปสวนพฤกษศาสตร์ คุณครูแต่ละะท่านจะต้องสร้างผังความคิดรวบยอดก่อนว่าเด็กจะได้เรียนรู้แนวคิดหลักในสาระอะไรบ้าง และจะสามารถบูรณาการสาระการเรียนรู้ของคุณครูท่านอื่นเข้ามาได้ตรงไหนอย่างไร ครูจะต้องสร้างใบงานให้เด็ก เพื่อวางแนวให้เด็กได้เรียนรู้ตามจุดประสงค์ งานที่มอบหมายให้เด็กจะต้องหลากหลาย สะท้อนศักยภาพของเด็กแต่ละคน จากการไปเรียนรู้ที่สวนพฤษศาสตร์เพียงแหล่งเดียว เด็กจะสามารถเรียนรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ ศิลปะ ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ ไปจนถึงเรื่องของจริยธรรม ความเมตตากรุณา และภูมิปัญญาท้องถิ่นได้ อีกทั้งยังสามารถเรียนจนครบจุดประสงค์ของหลักสูตรในแต่ละช่วงชั้นได้โดยไม่ซ้ำซ้อนกัน
ดร.ปฐมพงศ์ ศุภเลิศ ผู้บริหารสำนักนโยบายและแผน โรงเรียนจิระศาสตร์วิทยา กล่าวถึงกระบวนการในการพัฒนาการเรียนการสอนว่า ในช่วงปิดภาคเรียนจะมีการประชุมสัมนาบุคลากร ส่งครูไปอบรมเพิ่มเติม แล้วกลับมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน จากนั้นจะเริ่มทบทวนหลักสูตร ให้ครูเตรียมกิจกรรมการเรียนรู้ โดยเน้นให้ผู้เรียนได้สร้างองค์ความรู้จากการประสบการณ์ตรงและจากการปฏิบัติจริงให้มากที่สุด โรงเรียนจึงพยายามกระตุ้นส่งเสริมให้ครูจัดกิจกรรมต่างๆ โดยอาศัยแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย ทั้งแหล่งโบราณคดี ประวัติศาสตร์ แหล่งธรรมชาติ ภูมิปัญญาชาวบ้าน และแหล่งวิทยาการสมัยใหม่ อาทิ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ และอินเทอร์เน็ต เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีโครงการร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ มากมาย เพื่อเพิ่มศักยภาพครูและนักเรียน อาทิ โครงการห้องเรียนสีเขียว โครงการศูนย์อัจฉริยภาพเด็ก โครงการโรงเรียนสีขาว โครงการการศึกษาเชิงสร้างสรรค์ โครงการการศึกษาเชิงศิลปวัฒนธรรม เป็นต้น โดยให้ครูมีอิสระในการจัดกิจกรรม ทั้งนี้ฝ่ายบริหารจะเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้มากที่สุด
“การบริหารจัดการในยุคปัจจุบันนี้ผู้บริหารเป็นเสมือนผู้ประสาน ดูแล อำนวยความสะดวก ให้ผู้ร่วมงานในองค์การ/หน่วยงานได้มีส่วนร่วมในการดำเนินงานที่เป็นพันธกิจขององค์กรให้ประสบผลสำเร็จ โดยใช้กระบวนการบริหารแบบมีส่วนร่วม กล่าวคือให้ทุกคน ‘ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมแก้ปัญหา ร่วมพัฒนา และร่วมอาสาเป็นเจ้าภาพ’ ” ดร.ปฐมพงศ์ ศุภเลิศ กล่าวถึงแนวทางการบริหารที่โรงเรียนนำมาใช้ และเผยว่าเคล็ดลับสำคัญคือ การทำงานเป็นกลุ่มกิจกรรมขนาดเล็ก หรือสตาร์ (Star - Small Team Activity Relationship)
‘สตาร์’ เฟ้นหาดาวจรัสแสง
กลุ่มสตาร์นับเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ในระดับย่อยที่สุดที่อาจารย์จิระพันธุ์ พิมพ์พันธุ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนจิระศาสตร์วิทยาได้คิดค้นขึ้น โดยให้ครูในแต่ละสายชั้นรวมกลุ่มกันเองเป็นกลุ่มขนาดเล็ก มีเป้าหมายเพื่อเปิดโอกาสให้บุคลากรรวมกลุ่มช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แก้ไขปัญหาหรือพัฒนางานด้านการเรียนการสอนร่วมกัน เพื่อสร้างกระบวนการทำงานเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดภาะความเป็นผู้นำ
กลุ่มสตาร์หรือกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์เอื้ออาทร จึงเป็นรูปแบบหนึ่งของการบริหารงานแบบมีส่วนร่วมโดยมีแนวดำเนินการดังนี้คือ ให้สมาชิกที่สนใจในการปัญหาหรือต้องการพัฒนางานที่เหมือนๆ กันหรือคล้ายคลึงกัน เข้าร่วมกลุ่มกันประมาณ 5-6 คน กลุ่มจะเลือกประธาน รองประธานและเลขานุการ ที่เหลือเป็นสมาชิก ในแต่ละวันจะหาโอกาสพบปะพูดคุยกันหรือประชุมร่วมกันอย่างไม่เป็นทางการเพื่อระดมสมองกำหนดประเด็นปัญหาหรือแนวทางการพัฒนางาน พร้อมทั้งช่วยกันเสนอแนะแนวทางในการแก้ปัญหา/พัฒนางานโดยใช้แผนภูมิก้างปลา กำหนดให้หัวปลาเป็นปัญหา ก้างปลาเป็นสาเหตุของปัญหา และหางปลาเป็นผลการแก้ไขปัญหา/การพัฒนางาน เช่น แก้ไขปัญหาเด็กอ่านไม่คล่อง ครูในช่วงชั้นเดียวกันจะร่วมกันหาทางแก้ไขปัญหา แล้วนำผลการดำเนินการมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน หาแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดของแต่ละคน แล้วนำไปขยายผลในการประชุมประจำเดือนของโรงเรียน
อาจารย์อัมพา มงคลยศ สมาชิกกลุ่มสตาร์ระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 ยกตัวอย่างการทำงานของกลุ่มสตาร์ว่า กลุ่มสตาร์มักจะอาศัยการพบปะแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในบรรยากาศสบายๆ เป็นกันเอง เพื่อช่วยกันดูว่าเด็กในสายชั้นของตนมีปัญหาการเรียนและพฤติกรรมอย่างไรบ้าง เช่น หากมีปัญหาเรียนอ่อนอาจจะต้องใช้วิธีสอนเสริม บางกลุ่มอาจสนใจการเสริมสร้างคุณลักษณะนิสัยให้กับเด็ก เช่นในด้านกิริยามารยาท อาจจัดทำเป็นโครงการ “สัปดาห์วาจาไพเราะ” มีการเชิญครูที่มีความรู้ความชำนาญมาให้ความรู้และสาธิตให้นักเรียนได้ประพฤติปฏิบัติตามเป็นกิจกรรมย่อยๆ อาทิ ไหว้สวย พูดจาไพเราะ มีการยกย่องให้รางวัลกับเด็กที่ประพฤติถูกต้องตามเกณฑ์ เป็นต้น
ในการดำเนินงานนั้น กลุ่มจะเลือกแนวทางในการแก้ไขปัญหาตามระดับความสำคัญ และร่วมมือกันแก้ปัญหาจนสำเร็จลุล่วง การดำเนินงานของกลุ่มสตาร์จึงเปรียบเสมือนการวิจัยและพัฒนา ช่วยให้โรงเรียนได้ค้นพบแนวทางการแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียนที่หลากหลาย สอดคล้องกับสภาพของเด็กแต่ละคน จากนั้นในแต่ละเดือนกลุ่มสตาร์ทั้งหมดจะร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียนรู้ว่าได้ใช้เทคนิควิธีการอย่างไรในการพัฒนาเด็กในเวทีการประชุมของโรงเรียน คุณครูในสายชั้นอื่นที่มีสภาพคล้ายกันก็อาจจะนำเอาวิธีการเหล่านั้นไปประยุกต์ใช้กับนักเรียนของตน
กลยุทธสำคัญที่ฝ่ายบริหาร ซึ่งเปรียบเสมือน “คุณอำนวย” ในภาษาการจัดการความรู้ของ สคส. ใช้ในการผลักดันกลุ่มสตาร์ หรือ “คุณกิจ” ให้ทำงานจัดการความรู้อย่างมีพลวัตคือ กำหนดให้มีการหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันเป็นประธานและเลขานุการกลุ่ม เพื่อเปิดโอกาสให้ครูทั้งรุ่นเก่ารุ่นใหม่สามารถแสดงบทบาทความเป็นผู้นำได้เท่าเทียมกัน เป็นการเสริมสร้างให้ครูทุกคนกล้าที่จะแสดงออก มีเวทีที่จะคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ได้รับการยอมรับว่าเป็นสมาชิกที่มีคุณค่า ได้ทำประโยชน์ให้โรงเรียน เป็นการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ร่วมกัน โดยฝ่ายบริหารจะอำนวยความสะดวกทั้งในเรื่องเวลาการทำงานของกลุ่ม และทรัพยากรที่จะต้องใช้ดำเนินงานพัฒนาผู้เรียนในกิจกรรมต่างๆ ที่กลุ่มคิดค้นขึ้นมา และเมื่อสิ้นภาคการศึกษา ฝ่ายบริหารจะร่วมกับกลุ่มสตาร์ สกัด “ขุมความรู้” โดยรวบรวมสังเคราะห์แนวปฏิบัติที่เป็นเลิศซึ่งเกิดจากการวิจัยและพัฒนาของกลุ่มสตาร์เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติในภาคเรียนต่อไป
นั่นหมายถึงว่า ครูทุกคนในกลุ่มสตาร์สามารถที่จะเป็น “ดาวจรัสแสง” ได้ หากแสดงความสามารถให้เป็นที่ยอมรับในกลุ่มและระหว่างกลุ่ม
คนมีศักดิ์ศรี…คนมีพลัง
อาจกล่าวได้ว่า “สตาร์” เป็นกลุ่มแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในระดับเล็กที่สุดในโรงเรียนจิระศาสตร์วิทยา จัดตั้งขึ้นมาเพื่อให้มีความคล่องตัวในการดำเนินงานพัฒนาโรงเรียน โดยมีคณะกรรมการสายชั้น คณะกรรมการฝ่ายวิชาการ คณะกรรมการสภาครู และคณะกรรมการครอบครัวสัมพันธ์เอื้ออาทร เป็นคณะกรรมการในระดับสูงขึ้น ทำงานตามบทบาทหน้าที่ และมีการประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันเป็นประจำ
อาจารย์จิระพันธุ์ พิมพ์พันธุ์ อธิบายถึงแนวคิดในการสร้างกลุ่ม “ครอบครัวสัมพันธ์เอื้ออาทร” ว่า “ถ้าไม่สามัคคีกันจะไปไม่รอด ดิฉันจึงให้มีการรวมกลุ่มครู คนรถ คนงาน คละกัน กลุ่มละ 24 คน ถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน มีการตั้งชื่อครอบครัว สร้างอุดมการณ์ และเอกลักษณ์ของแต่ละกลุ่ม ประชุมกันเดือนละครั้ง กิจกรรมเหล่านี้จะช่วยสร้างความรักความสามัคคีระหว่างบุคลากรที่ทำงานต่างกันได้ เกิดการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เอื้ออาทรซึ่งกันและกัน โรงเรียนต้องการขุมพลังสมองของทุกคน ถ้ายิ่งได้ขุมพลังสมองมากเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น ดิฉันเชื่อว่าทุกคนสามารถคิดริเริ่มช่วยจิระศาสตร์วิทยาได้ คนรถคนงานบางคนอยากจะช่วยสอนนักเรียนด้วย” และว่า กลุ่มในลักษณะนี้ได้สร้างความภาคภูมิใจให้กับคนรถ คนงาน ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยในโรงเรียน เป็นการแสดงถึงการยอมรับว่าเขาเป็นคนเหมือนกัน แม้จะไม่มีโอกาสเรียนสูงๆ แต่เมื่อเข้ากลุ่ม “ครอบครัวสัมพันธ์เอื้ออาทร” แล้วอาจมีสถานภาพเป็นประธานกลุ่ม ที่คุณครูและผู้บริหารต้องเคารพความคิดเห็น สามารถเป็นฝ่ายริเริ่มกิจกรรมต่างๆ ได้ เช่น ค่ายคุณธรรมในวันเข้าพรรษา จัดกีฬาสีประจำเทอม จัดการแสดงลิเกและการแสดงอื่นๆ ในวันปีใหม่ หรือเมื่อปิดเทอมก็มีการจัดไปทัศนศึกษาดูงานด้วยกัน นอกจากนี้ในการประชุมประจำทุกเดือนจะมีการอวยพรวันเกิด มีของขวัญให้ทุกคนที่เกิดในเดือนนั้น กิจกรรมกลุ่มนี้เองที่อาจารย์จิระพันธุ์เชื่อมั่นว่า “ทำให้โรงเรียนจิระศาสตร์วิทยาซึ่งมีคนสามร้อยกว่าคน แต่ไม่เคยมีการทะเลาะให้เห็น”
นอกเหนือจากกลุ่มครอบครัวสัมพันธ์เอื้ออาทรแล้ว โรงเรียนจิระศาสตร์วิทยายังเป็นโรงเรียนหนึ่งที่มีสภาครูมาตั้งแต่ปี 2518 และปัจจุบันยังคงดำเนินการอยู่ สภาครูมีบทบาทหน้าที่สำคัญในการบริหารงานร่วมกับคณะผู้บริหาร เป็นการกระจายอำนวจการบริหารงานโรงเรียน ให้ครูมีส่วนร่วมในการบริหารงาน โดยเป็นผู้แทนครูและบุคลากรโรงเรียนจิระศาสตร์วิทยาในการบริหารงานร่วมกับผู้บริหาร ร่วมกำหนดกฎ ระเบียบปฏิบัติของบุคลากร พิจารณาความดีความชอบของครูและบุคลากรรวมกับคณะผู้บริหาร พิจารณาจัดสวัสดิการครูและบุคลากรร่วมกับคณะผู้บริหาร และพิจารณาแก้ไขปัญหาครูและบุคลากรร่วมกับคณะบริหาร เป็นต้น
การเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคลากรในโรงเรียนผ่านกลุ่มและกิจกรรมเหล่านี้ ล้วนตั้งอยู่บนฐานคิดของอาจารย์จิระพันธุ์และผู้บริหารที่ว่า ครูและบุคลากรทุกฝ่ายในโรงเรียนล้วนมีศักดิ์ศรีความเป็นคน มีคุณค่า และมีศักยภาพในการเรียนรู้สูง หากมีการจัดกระบวนการที่เหมาะสมในการกระตุ้นให้ครูและบุคลากรใช้ศักยภาพที่ตนเองมีอยู่ในการทำประโยชน์ให้กับโรงเรียน อาจารย์จิระพันธุ์จึงใช้กลยุทธวิธีการที่แยบคายในการบ่มเพาะความรักสามัคคีในหมู่คณะจิระศาสตร์วิทยา ผ่านกิจกรรมอันหลากหลาย ทั้งด้านวิชาการ ด้านวัฒนธรรมประเพณี และด้านการบริหารงานที่มีการกระจายอำนาจ ใช้หลักประชาธิปไตยในการปกครอง ให้ความเสมอภาคและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทำให้ครูและบุคลากรของโรงเรียนทุกคนมีความภาคภูมิใจที่เป็นส่วนหนึ่งของจิระศาสตร์วิทยา
ในช่วงที่ผ่านมา หากเครื่องมือ “จัดการความรู้” ของชาวจิระศาสตร์วิทยาที่สำคัญคือการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และการสะกัดขุมความรู้ออกไปใช้ในการปฏิบัติแล้ว ในวันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน ที่ผ่านมา จากการจัด “ตลาดนัดความรู้ครั้งที่ 2” สถาบันส่งเสริมการจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.) ได้เสริมพลังในการจัดการความรู้ให้กับชาวจิระศาสตร์และสมาชิกที่เข้าร่วมตลาดนัดความรู้ด้วย “ธารปัญญา” และ “บล็อก” ซึ่งเป็นเครื่องมือที่กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในแวดวงนักจัดการความรู้
ในวันนี้ แม้ว่าจิระศาสตร์วิทยาจะยังคงเป็นโรงเรียนที่มีกิจกรรมมากมายละลานตาในสายตาของผู้ปกครอง แต่กำลังจะเป็นกิจกรรมที่ผ่าน “การจัดการความรู้” ด้วยเครื่องมือที่ใหม่ๆ มีเป้าหมายและทิศทางที่ชัดเจนยิ่งขึ้น จึงขอเชิญประชาคมการศึกษาจับตาดูความเคลื่อนไหวของจิระศาสตร์วิทยาและมวลมิตรใน “ตลาดนัดความรู้” ครั้งต่อๆ ไป
เรื่องของตลาดนัดความรู้ รร. จิระศาสตร์วิทยา ดูได้ที่ http://gotoknow.org/jirasart และผมเคยบันทึกประสบการการไปร่วมตลาดนัดความรู้ที่ รร. จิระศาสตร์ฯไว้ที่ http://gotoknow.org/archive/2005/08/01/09/50/48/e1818 ที่น่าประทับใจคือบันทึกการไปสังเกตการณ์การเรียนรู้แบบบูรณาการที่สวนพฤกษศาสตร์ของ รร. จิระศาสตร์ฯ อ่านได้ที่นี่ http://gotoknow.org/archive/2005/09/08/08/57/43/e3606วิจารณ์ พานิช