เรื่องสั้นกตัญญู
โดย....ทวีศรี จันทร์เอี่ยม
ตั้งแต่พ่อเริ่มป่วยแม่ก็จะทำงานหนักมากขึ้น แม้จะไม่ใช่เป็นผู้นำในการหารายได้เข้ามาจุนเจือครอบครัว แต่แม่ก็มีส่วนผลักดันทั้งพ่อและลูก ๆ ทุกคนให้มีความเข้มแข็ง อดทน ให้กำลังใจคนในครอบครัวได้ในทุกสถานการณ์ แม้แต่ในขณะนี้ขณะที่พ่อมีอาการทรุดหนักลงเรื่อยๆ แม่ก็ไม่เคยย่อท้อ เฝ้าดูอาการของพ่ออย่างใกล้ชิดตลอดเวลา จนลูก ๆ วิตกไปตาม ๆ กันว่า กลัวแม่จะล้มป่วยไปอีกคนหนึ่ง
“แม่ไม่เป็นไรหรอก ยังแข็งแรงดีอยู่” เป็นคำยืนยันที่แม่ให้กับพวกเราและก็ดูเหมือนว่าแม่จะทำได้อย่างที่ว่าจริง ๆจากการที่พ่อป่วยและแม่กลายเป็นคนเข้มแข็ง เป็นผู้นำของครอบครัวแทนพ่อได้ ทำให้ฉันเรียนรู้ได้อีกอย่างหนึ่งว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้น สามารถเปลี่ยนแปลงบทบาทของคนเราได้ สำคัญอยู่ที่ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปในทางบวกหรือทางลบเท่านั้นเอง โชคดีที่แม่รับบทบาทแทนพ่อได้เป็นอย่างดี ไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่รู้ว่าครอบครัวของเราจะเป็นอย่างไร ขณะนั้นฉันกับน้องชายยังเรียนไม่จบ พี่ๆคนอื่นเรียนจบและมีงานทำกันหมดแล้ว ทุกคนจึงหันมาช่วยแม่ดูแลพ่อ แม้พี่บางคนจะทำงานอยู่ที่ต่างจังหวัด ก็จะลาพักมาผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเฝ้าดูแลอาการของพ่อไม่เคยขาด หมอบอกว่าอาการของพ่อไม่ดีขึ้นและยังจะเพียบหนักไปเรื่อย ๆ แม่และพวกเรารับรู้และก็ใจหาย ยังไม่อยากให้เวลานั้นมาถึง มันเร็วเกินไปแม่คงจะเดาความรู้สึกของพวกเราออก จึงพูดปลอบใจ
“ทำใจดี ๆ ไว้ลูก พ่อไม่เป็นอะไรมากหรอก”
“ไม่เป็นอะไรได้ยังไง” ฉันแอบเถียงในใจ เพราะรู้อยู่แก่ใจว่า แม่เองก็ใจไม่ดีเหมือนกัน ก็เห็น ๆ อยู่ว่ามีสายอะไรต่อมิอะไร ระโยงระยางเต็มตัวพ่อไปหมด ลมหายใจเริ่มแผ่วลง อาการรับรู้จางหายไปจากแววตาทีละน้อย ๆ แม่หันมากอดลูก ๆ คนนั้นทีคนนี้ทีเหมือนจะบอกว่า
“เข้มแข็งไว้ลูก เข้มแข็งไว้ลูก”
และแล้วเวลาที่ทุกคนไม่อยากให้มาถึง ก็มาถึงจนได้ พ่อจากไปอย่างสงบเมื่อเวลาประมาณตีสี่ของวันที่ 4 มกราคม 2520 แม่มึนงงไปชั่วขณะ แต่พอเรียกสติกลับคืนมาได้ก็สั่งให้พี่ๆ จัดการทุกอย่างที่โรงพยาบาลให้เรียบร้อย ก่อนจะเคลื่อนศพพ่อไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่บ้าน ระหว่างที่นำร่างไร้วิญญาณของพ่อกลับไปที่บ้านพวกเราร้องไห้กันไม่หยุด ได้ยินแต่เสียงของแม่ปลอบไปตลอดทาง
“อย่าร้องไห้ไปเลยลูก พ่อเขาไปสบายแล้วหักใจซะบ้าง โบราณเขาถือนะว่าถ้าร้องไห้มาก ๆ น้ำตาของพวกเราจะเป็นแม่น้ำใหญ่ขวางกั้นไม่ให้ดวงวิญญาณของพ่อไปสู่สวรรค์นะ …”แม่พูดไปเสียงก็สั่นเครือไป ฉันสงสารแม่จับใจ ใครจะรู้บ้างว่าขณะที่แม่กำลังปลอบพวกเราอยู่นั้นหัวใจของแม่ก็กำลังร้องไห้เช่นกัน
งานฌาปนกิจศพพ่อเป็นไปด้วยความเรียบร้อยสมเกียรติ แม้พ่อจะไม่ใช่ผู้มียศฐาบรรดาศักดิ์สูงส่งอะไร แต่ในฐานะข้าราชการบำนาญที่รับใช้แผ่นดินมาด้วยความซื่อสัตย์ตลอดชีวิต และด้วยคุณความดีของพ่อและแม่นั่นเอง เพื่อนบ้านที่รู้จักคุ้นเคยตลอดจนลูกศิษย์ลูกหา ต่างก็มาช่วยงานกันอย่างเต็มที่โดยมิได้ออกปากขอร้องเลย ทุกคนมาด้วยความเต็มใจ ทุกคนต่างก็ให้กำลังใจแม่และพวกเราให้ต่อสู่ต่อไป และชื่นชมแม่ว่าเป็นผู้หญิงแกร่งหัวใจเหล็ก เลี้ยงลูกได้ดีไม่มีเกเรสักคน
เมื่อส่งร่างและวิญญาณของพ่อตามประเพณีแล้ว ความเศร้าโศกเริ่มจางหายไปจากหัวใจของพวกเราทีละน้อย ทุกคนรู้ว่า หลังจากนี้ไปยังมีภารกิจหน้าที่ของชีวิตที่จะต้องปฏิบัติต่อไปอีกยาวนาน ก่อนที่แต่ละคนจะแยกย้ายกันไปทำงานตามปรกติ แม่ก็เรียกพวกเรามานั่งรวมกัน เหมือนกับที่พ่อเคยทำเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ หากมีเรื่องสำคัญที่จะต้องพูดคุยกันโดยพร้อมเพรียง ตอนนั้นพ่อเป็นคนว่าการทุกอย่าง แม่เป็นเพียงผู้อยู่เบื้องหลัง แต่ตอนนี้แม่ทำหน้าที่แทนพ่อโดยไม่ผิดเพี้ยน เมื่อไม่มีพ่อ แม่ก็เข้มแข็ง เด็ดขาดได้เหมือนกัน จนพวกเราทึ่งไปตาม ๆ กัน คงเป็นเพราะแม่ซึมซับบทบาทของพ่อไว้อย่างเต็มเปี่ยมนั่นเอง
แม่บอกพวกเราว่า ถึงหากพ่อจะจากพวกเราไปแล้วก็ยังมีแม่ที่คอยดูแลลูก ๆและครอบครัวอยู่ ขอให้ทุกคนเข้ม-แข็ง อดทน ปฏิบัติตนอยู่ในขอบข่ายของความดี
“ลูก ๆ โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว จะทำอะไรขอให้คิดหน้าคิดหลังให้ดี คิดถึงคนรอบข้างให้มากๆ มีอะไรก็ขอให้ปรึกษาหารือกันระหว่างพี่ ๆ น้อง ๆ ถึงอย่างไรแม่ก็ยังเป็นห่วงลูก ๆ เสมอ” แล้วแม่ก็หันมาทางฉันและน้องชาย
“สำหรับน้องสองคนที่ยังเรียนไม่จบ ขอให้พี่ ๆ ช่วยกันดูแลและส่งเสียตามที่พ่อได้มอบหมายไว้ อีกไม่นานก็คงสำเร็จตามที่พ่อหวังไว้นะ”
ฉันกับน้องชายคลานเข้าไปกราบที่ตักแม่ แล้วหันมามองตากันเหมือนกับจะให้สัญญาว่า “เราต้องทำให้สำเร็จ”
และ ณ วันนี้เราก็เชื่อมั่นว่าแม่ก็ภาคภูมิใจในความสำเร็จนั้นเช่นกัน
###########
ไม่มีความเห็น