เรียนห้องชั้นนำ ต้องทำตัวให้สมาร์ท


การย้ายห้องเรียนของลูกสาวก็นำมาซึ่งการปรับตัวค่อนข้างมาก

 เนื่องจากการบอกเล่าของเค้า บรรยากาศในการเรียนนั่นแน่ะ เป็นอะไรที่มีความแตกต่างจากการเรียนที่เราเคยเรียนกันมามากมาย

ด้วยที่นี่เป็นที่รวม ของนักเรียนชั้นนำ นักเรียนที่ถูกคัดเลือกมาแล้ว

พวกเขามีลักษณะเฉพาะคือถ้าสมมุติว่าเป็นต้นไม้ที่ปลูกอยู่ด้วยกัน ต้นไม้พวกนี้จะไม่ค่อยมีกิ่งก้านอะไรมาก มีกิ่งมีใบน้อย ลำต้นแข็งแรงและโตขึ้นไปตรงๆ เลย เหมือนเส้นตรงที่วิ่งออกจากศูนย์กลางของทรงกลม ยังไงยังงั้น..

 คือแบบว่าเปรียบเทียบอาจจะไม่ค่อยเข้าใจนะ คืออย่างนี้ครับพวกเค้าเป็นคนเก่ง

 เค้าจะเร่งตัวเองอย่างเต็มที่ในทุกๆ เรื่อง และไม่ค่อยจะมีเวลาในการดูแลเพื่อนๆ กันหรอก

เวลาที่เหลือน้อยนิดนั่นแหละจึงจะให้เพื่อนๆ ได้ การช่วยเหลือกันก็มีน้อย ทุกคนต้องพยายามตะเกียกตะกายเอาเอง

 เมื่อเป็นเช่นนี้ คุณพ่อคุณแม่และครอบครัวต้องเข้ามาช่วยนะ ถ้าไม่ช่วยเค้าก็คงจะต้องลำบากมากๆ เพราะตนเองตามเพื่อนไม่ทันเลย ทำให้เวลาอยู่ในห้องกลายเป็นบุคคลผู้ไม่ค่อยรู้อะไรเลย

สาเหตุก็เนื่องมาจากการเตรียมตัวที่ไม่ค่อยพร้อม ไม่มีผู้ช่วยคอยช่วย เมื่อสถานการณ์แบบนี้เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีกก็จะทำให้ผู้เรียนรู้สึกว่าตนเองเป็นคนไม่เก่ง กลายเป็นคนไม่มั่นใจในตนเองไป

ทั้ง ๆที่จริงๆ แล้ว ที่เพื่อนๆ เก่งน่ะเพราะเค้าได้อ่านมาหนึ่งรอบแล้ว มีคนช่วยสอนให้ก่อนหนึ่งรอบแล้ว การมาเรียนที่ห้องจึงเป็นแค่การฟัง การรับรู้อีกครั้งเท่านั้นเอง !

เมื่อครอบครัวเรามั่นใจและรู้ว่าเป็นแบบนี้ ก็ต้องมาดูล่ะว่าในสัปดาห์หนึ่งนี่เพื่อนเค้าทำอะไรกันบ้าง เราทำอะไรกันบ้าง

 เมื่อเปรียบเทียบก็พบว่า เราเรียนเตรียมพร้อมก่อนเรียนจำนวน 25 ชม.ต่อสัปดาห์ ส่วนเพื่อนเรียนมากกว่าเราสองเท่าคือ 70 ชม.ต่อสัปดาห์ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าลูกสาวอยู่ต่างจังหวัด อยู่พิจิตรต้องเดินทางกลับตั้งแต่วันศุกร์และกลับมาถึงหอพักวันอาทิตย์

ได้เรียนก็คือ จันทร์ถึงพฤหัส

เมื่อเราได้ตัวเลขมา ก็ทำให้เห็นแนวโน้มแหล่ะว่า ต่างกันมากนะ แบบนี้คงไม่ไหวแน่เลย

และถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างคงลำบากแน่ เพราะการเรียนรู้นั้นต้องใช้เวลา จึงได้พูดคุยกันหาทางออกร่วมกันในครอบครัว ซึ่งได้แนวทางก็คือ เราใช้การปรับประยุกต์คือเรียนพิเศษเพิ่มด้วย และก็ไม่หวงไม่บังคับให้เรียน คือเบื่อเมื่อไร ไม่อยากเรียน คิดถึงบ้าน ก็กลับบ้านได้ทันทีเลย

 แต่ถ้าเรียนไหว มีความสุขดีก็เรียนไป

จากการได้เขียนได้พยากรณ์ก็ทำให้เห็นเลยว่า จำนวนชั่วโมงการเรียนเพิ่มขึ้นอย่างมากเหมือนกันคือ แค่ลดการกลับบ้าน 1 ครั้ง ชั่วโมงการเรียนก็ได้เพิ่มเป็น 48 ชม.ต่อสัปดาห์แล้ว คือเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่านะ นี่ก็ทำให้เรารู้ว่า มั่นใจว่า ลูกคงเรียนได้สบายขึ้นในห้องเรียนไม่ต้องเป็นคนที่รู้น้อยกว่าคนอื่นแล้ว ไม่ต้องมองหา ไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนผู้ดูประดุษผู้เปี่ยมไปด้วยความรู้นะ

นี่ก็เป็นอะไรที่สำคัญมากเลย กลับบรรยากาศที่หลายคนโดยรวมจะไม่ค่อยคุ้นเคย

 

หมายเลขบันทึก: 442617เขียนเมื่อ 6 มิถุนายน 2011 08:05 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:45 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (9)

ดูรูปลูกสาวคุณเพชรแล้ว ไม่ทราบว่าอยู่ชั้นอะไร

ขึ้นมัธยมปลายหรือยัง ถ้ายังเป็นชั้นประถมต้นปลายก็ไม่น่ามีปัญหา

ลูกสาวผมเรียนอยู่ที่นี้ ถ้าเป็นนักเรียนเก่ง อยู่ป ๖ ต้องได้เรียนพีชคณิต ป ๗ เรียนเรขา บางที่เรียนพิเศษก็ไม่ใช่ว่าดีเสมอ

ตอนขับรถไปเรียนพิเศษเรียนเรขา เธอนั่งหลับเป็นประจำ เพราะเหนื่อยมาก เพราะต้องว่ายน้ำ เรียนเปียโน พ่อต้องช่วยทำการบ้านให้ เพราะการบ้านโหดจริงๆ

แต่ถ้าเรียนพิเศษบางวิชาที่เด็กอ่อน ไม่เข้าใจ ก็น่าจะช่วยได้มาก แต่ต้องไม่เกินอาทิตย์ละสองสามชั่วโมง เช่นวิชาเคมีเป็นต้น ถ้าได้เรียนกับอาจารย์ตัวต่อตัว จะดีที่สุด ต้องเดินสายกลางครับ

แต่เด็กที่เก่งจริงๆ ไอคิว เกิน ๑๓๐ ขึ้นไป พวกนี้ไม่ต้องเรียนพิเศษหรอกครับ อาจารย์พูดครั้งเดียวจำได้หมด บางคนอ่านหนังสือครั้งเดียวจบได้ทั้งเล่ม พวกนี้เรียนเองครับ

ผมเพิ่งไปเจอเด็กอัจฉริยะ เป็นเด็กไทยอายุ ๑๒ ปี เมื่อสองอาทิตย์ที่แล้ว ตอนนี้เรียนอยู่ปีสอง ในมหาวิทยาลัย ลูกสาวผมไปเรียนกับเด็กพวกนี้ เข็ดครับ เพราะเรียนอย่างไรก็สู้ไม่ได้

มีทางเดียวครับ ที่พอจะช่วยได้ ส่งไปเข้าปฏิบัติกรรมฐานอย่างน้อย เจ็ดวัน ลูกสาวไปปฏิบัติแล้วสองครั้ง เธอเชื่อว่าช่วยได้จริง ตอนนี้ไปปฏิบัติครั้งที่สาม เพราะอีกสองเดือนต้องเข้าเรียนหมอที่นี้

เธอรู้ว่าเรียนแพทย์นั้นต้องจำอย่างเดียว และเนื้อหาที่ต้องเรียนก็มีมากต้องอ่านกันดึกๆ ถ้าไม่ฝึกสติเอาไว้ก่อน จะต้องแย่แน่ๆ

อ่านบันทึกของเธอที่นี้ครับ

เมื่อเด็กไทยจากต่างแดน มาปฎิบัติกรรมฐานที่เมืองไทย

เอาใจช่วยครับ  คนที่เป็นพ่อแม่ย่อมอยากจะช่วยลูกให้ได้ดีทุกคน

แต่คุณครูที่อยู่ข้างบ้านผม พูดให้ฟังว่า  เด็กนั้นมันก็เหมือนการปลูกต้นไม้

เรามีหน้าที่ให้น้ำ ใส่ปุ๋ย ตามเวลา ต้นไม้มันก็โตขึ้นตามกาลเวลา

เด็กก็เช่นเดียวกัน  เรามีหน้าที่คอยสนับสนุนช่วยเหลือ

เขาก็โตขึ้น  เรียนรู้มากขึ้นเป็นขั้นเป็นตอน  เหมือนต้นไม้ 

ตามกาลเวลา ตามปัจจัยครับ

สวัสดีค่ะ

น้องคงอยู่ประมาณ ม.๑  ใช่ไหมคะ  ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนในครอบครัวค่ะ  ความรักความอบอุ่นคือพลังใจที่แข็งแกร่ง  เป็นคนดีมีคุณภาพ  เมื่อเข้าโรงเรียนชั้นนำได้  ปรับตัวสักพักก็ไม่น่าจะมีปัญหานะคะ

ขอบคุณคุณคนไกลบ้านนะครับ คำแนะนำมีประโยชน์มากครับ ลูกผมเพิ่งเข้าเรียนมอ 1 เองครับ อ่านจากคำแนะนำดูเหนื่อยมากเลยนะครับ คุณพ่อต้องช่วยน่ะสำคัญ ผมรู้สึกชอบมากๆ ครับตรงวลีนี้นะครับ

ขอบคุณพี่คิมนะครับ ผมก็เล่าสู่กันฟังนะครับ สงสัยจะเห่อลูกล่ะมั๊ง

เมื่อก่อนไม่ต้องเรียนพิเศษก็ได้

สวัสดีค่ะคุณเพชร

  • คุณพ่อดูแลลูกได้ดีมากๆ ชื่นชมค่ะ
  • ลูกสาวทั้งน่ารัก ทั้งเรียนเก่ง ...จองนะคะ

สวัสดีครับ คุณใบบุญ จริงๆ นะครับ สมัยนี้วิ่งตามกันไปนะครับ ขอบคุณมากนะครับ

สวัสดีครับคุณยาย ขอบคุณสำหรับน้ำใจนะครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท