ในรอบปีที่ผ่านมา ถือเป็นปีแห่งปรากฎการณ์ของการพัฒนานิสิตที่ควรต้องจดจำมากเป็นพิเศษ อย่างน้อยที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ การประกาศยุทธศาสตร์ของการพัฒนานิสิตผ่านกิจกรรมนอกหลักสูตร หรือนอกชั้นเรียน เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ของการพัฒนามหาวิทยาลัยฯ นั่นเอง
การมียุทธศาสตร์เช่นนั้น มันช่วยให้ "ทีม" มีจุดหมายปลายทาง หรือ "เป้าหมาย" ที่ชัดเจน ทั้งในระยะสั้น ระยะยาว ...
ปีการศึกษา ๒๕๕๓ สิ่งที่ผมและทีมงานบุกเบิกนำร่องอย่างบ้าบิ่นก็คือโครงการ "มมส ร่วมใจห่วงใยชุมชน" หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปในแวดวงกิจกรรของที่นี่ก็คือ "หนึ่งคณะ หนึ่งหมู่บ้าน"
กิจกรรมดังกล่าว มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้นิสิตได้เข้าไปเรียนรู้วิถีชีวิตของชาวบ้านรายรอบมหาวิทยาลัย ด้วยการฝากตัวเป็น "ลูกฮัก" (ลูกในบ้าน...ว่านในสวน) โดยคณะต่างๆ จะมีหมู่บ้านในสังกัดหนึ่งหมู่บ้าน หลังการฝากตัวเป็นลูกฮัก ก็จะมีกิจกรรมให้นิสิตและชาวบ้านได้ทำร่วมกัน ซึ่งในระยะแรกจะเป็นกิจกรรมที่เกิดจากความต้องการของชาวบ้านเป็นที่ตั้ง
อย่างไรก็ดี นอกจากกิจกรรมที่จะมีขึ้นอันเป็นกิจกรรมที่เกิดจากความต้องการของชุมชนแล้วนั้น ผมยังกำหนดกรอบกว้างๆ ให้นิสิตต้องทำกิจกรรมในหมู่บ้านเพิ่มเติม เช่น การปรับภูมิทัศน์ การสำรวจข้อมูลชุมชน เน้นการเรียนรู้ร่วมกับชาวบ้านในเรื่องอันเป็นวิถีวัฒนธรรมและประเพณี พร้อมๆ กับการเน้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนผลแห่งการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างนิสิตกับนิสิต
ซึ่งกิจกรรมที่ว่านี้ ก็ถือเป็นกิจกรรมหนึ่งของการ “รับน้องใหม่” ด้วยเหมือนกัน
และกิจกรรมที่ว่านี้ก็เป็นกิจกรรมเชิงรุกของการยึดโยงให้ชุมชนได้เป็นเสมือนห้องเรียนอีกห้องหนึ่งของชีวิต ซึ่งเรียกว่า “ห้องเรียนชีวิต” หรือ “สถานีชีวิต” ที่นิสิตและคนในชุมชนจะได้ร่วมเรียนรู้และสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ร่วมกัน
ดังที่ผมกล่าวข้างต้นว่า กิจกรรมที่จัดขึ้นนั้นระยะต้นจะเป็นกิจกรรมที่ชาวบ้านต้องการ ซึ่งผมย้ำกับนิสิตว่าเมื่อทำกิจกรรมไปแล้ว ใช้ชีวิตร่วมกับชาวบ้านไปแล้ว ก็ให้พยายามศึกษาเรียนรู้ว่ามีอะไรที่สามารถร่วมกัน “สรรค์สร้าง” ขึ้นมาได้บ้าง
นั่นเป็นกลยุทธง่ายๆ ของการลงชุมชน ด้วยการเอาโจทย์ของชุมชนเป็นตัวตั้ง แต่ก่อนที่จะเดินทางมาถึงจุดนี้ ระยะแรกผมก็ลงชุมชนเพื่อให้ชาวบ้านได้ประชุมหารือกันว่ามีความต้องการให้นิสิต หรือมหาวิทยาลัยได้เข้าไปช่วยเหลืออะไรบ้าง เมื่อได้ข้อมูลมา ผมก็พานิสิตมาวิเคราะห์ร่วมกันว่า “สิ่งที่ชาวบ้านต้องการนั้น คณะใดมีความรู้และเชี่ยวชาญบ้าง!”
ด้วยเหตุนี้ การลงสู่ชุมชนจึงไม่ใช่ลงแบบ “โยนหินถามทาง” หรือ “ไปแบบไม่รู้เหนือ...รู้ใต้” หากแต่มีทิศทางที่ชัดเจนรองรับอยู่แล้ว ...อย่างน้อยนิสิต หรือบุคลากรในคณะ ก็สามารถใช้ความรู้ในวิชาชีพไปประยุกต์ให้บริการแก่ชาวบ้านได้ และที่สำคัญก็คือต้องไปในฐานะของผู้เรียนรู้ มิใช่เป็นนักบุญ หรือนักเสกสร้างใดๆ
ครับวิธีคิดของผมก็ไม่มีอะไรซับซ้อนมากนัก เพียงแต่ต้องการชี้ให้เห็นว่าเมื่อเราไปที่ไหนสักแห่ง เราก็ควรต้องใช้สถานที่แห่งนั้นเป็นโจทย์ของการเรียนรู้ ซึ่งก็ตรงกับที่ผมพูดเป็นวาทกรรมเรื่อยมาว่า “ไม่มีที่ใดปราศจากเรื่องเล่า ไม่มีที่ใดปราศจากการเรียนรู้”
และบางทีวิธีคิดแบบนี้ก็ซ่อนความหมายของการเป็นผู้น้อยอ่อนน้อมถ่อมตนไปในตัว หรือในอีกมุมก็เสมือนการสอนให้เกิดการเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้เข้ากับสภาพการณ์ต่างๆ เหมือนโบราณได้กล่าวสอนไว้อย่างน่าฟังว่า “เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม”
เช่นเดียวกับที่มหาวิทยาลัยมาตั้งรกรากอยู่ในชุมชนแถวนี้ ก็คงต้องเป็นแรงสนับสนุนกระบวนการพัฒนาหมู่บ้านแถวนี้ให้มาก ซึ่งผมเองก็มักฝากย้ำให้นิสิตได้คิดแบบขำๆ เสมอมาว่า “อยู่บ้านท่าน อย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควาย ไล่ขวิดลูกท่านเล่น”
สิ่งเหล่านี้ด้วยเป็น คุณธรรม จริยธรรม ที่ทั้งผมและทีมงานพยายามปลูกฝังผ่านกิจกรรมเรื่อยมา และยังคงไม่ถอดใจที่จะสร้างบทเรียนในทำนองนี้ไปเรื่อยๆ
กรณีชุมชนบ้านดอนนา ตำบลขามเรียง อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม เป็นชุมชนภายใต้ความรับผิดชอบของสโมสรนิสิตคณะสาธารณสุขศาสตร์ ซึ่งชาวบ้านต้องการให้นิสิตได้ช่วยเหลือ (เรียนรู้ร่วมกัน) ในเรื่องเกี่ยวกับการทำ “สวนสมุนไพร สวนไผ่และปลูกต้นไม้ทั้งไม้ประดับและไม้กินได้”
ก่อนลงพื้นที่ผมฝากให้นิสิตได้ประสานกับชาวบ้านให้บ่อยครั้ง กิจกรรมควรเริ่มต้นจากการฝากตัวเป็น “ลูกฮัก” เสียก่อน สำรวจข้อมูลพื้นฐานชุมชนเป็นระยะๆ พาน้องใหม่ไปพัฒนาสิ่งแวดล้อมในหมู่บ้านไปเรื่อยๆ สิ่งเหล่านี้จะเป็นกระบอกเสียงในการ “ประชาสัมพันธ์” กิจกรรมไปในตัว และอาจควักเอาจุดแข็งในวิชาชีพมาเสริมกิจกรรมเพิ่มเติมอีกได้ เช่น การตรวจสุขภาพ หรือแต่การสอนหนังสือหนังหาให้เด็กๆ สลับไปมาในแต่ละช่วงที่ลงทำกิจกรรม โดยอาจไม่จำเป็นต้องทุ่มคนทั้งหมดลงที่กิจกรรมหลักของชุมชนเสมอไปก็ได้ ...
เพราะบางทีอาจเกิดภาวะ “คนล้นงาน” ก็เป็นได้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องไม่ลืมที่จะเดินตาม “โจทย์” อันเป็นความต้องการของชุมชนเสียก่อน ส่วนรูปแบบอื่นๆ นั้น ผมเชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไปสักระยะ จะมีสิ่งที่ “ค้นพบ” และนำไปสู่การสร้างสรรค์ร่วมกันได้เอง
อย่างไรก็ดี จากการได้ติดตามและลงพื้นที่เพื่อให้กำลังใจและประเมินการขับเคลื่อนกิจกรรมนั้นพบว่าในเบื้องต้นนั้น นิสิตได้ลงสู่ชุมชนและทำกิจกรรมกับชาวบ้านมาในระดับหนึ่ง แต่กิจกรรมยังไม่บรรลุเป้าเสียทั้งหมด ซึ่งเกิดจากปัจจัยร่วมของทั้งสองส่วน
แต่ก็เป็นที่น่าชื่นชมว่านิสิตยังสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบกิจกรรมตามสภาวะต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม ในช่วงที่ยังไม่สามารถก่อรูปร่างของสวนสมุนไพรได้อย่างเป็นรูปธรรม พวกเขาก็จัดหาต้นไม้ต่างๆ ไปปลูกไว้ตามครัวเรือน เสมือนเป็น “ต้นไม้สายใยรัก” ของ ”ลูกฮักกับพ่อฮักและแม่ฮัก” ซึ่งต้นไม้ที่ว่านั้นส่วนใหญ่ก็เป็นประเภท “กินได้” แทบทั้งสิ้น
และที่สำคัญส่วนใหญ่ก็เป็นต้นไม้ที่ชาวบ้าน “ต้องการ” ...
และผมเองก็เคยได้ขับรถตระเวนส่วนตัวพานิสิตออกจัดหาต้นไม้เหล่านั้นมาแล้วในระยะหนึ่ง
ผมชื่นชอบกิจกรรมนี้มาก เพราะโดยส่วนตัวสัมผัสซึ้งแล้วว่า “การปลูกต้นไม้ เป็นการปลูกชีวิต” และถึงแม้จะไปไม่ทันได้ร่วมกิจกรรมกับพวกเขา แต่เท่าที่ประเมินจากชาวบ้านก็ล้วนแล้วแต่ “รักและเอ็นดู” นิสิตเหมือน “ลูกในบ้าน..ว่านในสวน” กันทั้งนั้น
ผมมองว่าต้นไม้เหล่านี้น่าจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และการเติบโตที่ว่านั้น ก็น่าจะหมายถึงการเติบโตของสายใยความผูกพันของนิสิตกับชาวบ้าน เป็นสายใยความผูกพันที่ยึดโยงกันอย่างแน่นเหนียว..นำพาให้เกิดการไปมาหาสู่กันเรื่อยๆ ต่างคนต่างเติมเต็มการเรียนรู้ ให้แก่กันและกัน เยียวยาและเสริมพลังบวกให้กันและกัน
และนั่นแหละคือสิ่งที่ผมเฝ้ามองและปรารถนาให้มีขึ้น !
ส่วนกิจกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับกีฬาเชื่อมความสัมพันธ์ การละเล่นรอบกองไฟ ฯลฯ ผมจะยังไม่กล่าวถึง เพราะถือว่าดีเยี่ยมอยู่แล้ว
หรือแม้แต่ปัญหา “ทักษะการทำกิจกรรมในชุมชน” ก็ยังเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องเสริมแรงทางปัญญากันอีกรอบ ซึ่งผมก็ได้คุยกับนิสิตแล้วว่า “เราต้องทำกระบวนการใหม่” เพื่อให้เราแกร่งต่อการเรียนรู้-
ครับ, งานนี้ยังไม่จบ มันเพียงเริ่มต้นเท่านั้น..
ชอบโครงการนี้มากเลย อยากออกไปแบบนี้บ้าง ประมาณว่า อาจารย์หนึ่งท่าน หนึ่งหมู่บ้าน แล้ว ออกไปพร้อมกับนิสิต ไปเรียนรู้เรื่องชุมชน ขอบคุณครับ..
อ่านแล้วคิดถึงบรรยากาศการออกค่ายสู่สังคมและค่ายวิชาเวชศาสตร์ชุมชนสมัยตอนเรียนหนังสือค่ะ....
เราไม่ได้เข้าไปเป็นผู้ให้ แต่เข้าไปเรียนรู้ร่วมกัน ^_^
คิดอยู่แล้วว่าจะเขียนว่า "ชอบหลักคิด และแนวการดำเนินกิจกรรม" ของโครงการนี้ พอได้อ่านความเห็นของลูกขจิตก็บอกว่าชอบเหมือนกัน แล้วเขียนก่อนอาจารย์แม่เสียด้วย จะหาว่าอาจารย์แม่ลอกไม่ได้นะคะ เคยทำงานเป็นรองหัวหน้าคณะครุศาสตร์ฝ่ายกิจการนักศึกษา (ปัจจุบันมีชื่อตำแหน่งว่ารองคณบดี) เมื่อ 22 ปีมาแล้ว และได้ริเริ่มหาทางแก้ปัญหาการไม่ค่อยเข้าร่วมกิจกรรมของนักศึกษา เช่นงานกีฬาคณะก็จะมีเฉพาะนักศึกษาที่เป็นนักกีฬาเข้าร่วม ส่วนคนอื่นๆ ส่วนใหญ่จะถือโอกาสกลับบ้าน ก็เลยใช้วิธีปลุกเร้าจิตสำนึกในการทำอะไรเพื่อกลุ่มเพื่อสังคมซึ่งตนเองก็จะได้รับประโยชน์กลับมาเช่นกัน จากนั้นก็ให้แต่ละคนเขียนในใบรายชื่อนักศึกษาแต่ละหมู่เรียนว่า ตนเองเลือกที่จะทำหนาที่อะไร เช่นเป็น นักกีฬา...(ระบุประเภทกีฬา) เป็นฝ่ายเชียร์ เป็นสวัสดิการ เหรัญญิก ประชาสัมพันธ์ ปฏิคม จัดขบวนพาเหรด เป็นต้น ซึ่งทุกคนต้องทำหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็พบว่าแก้ปัญหาได้ดี จะฝากบันทึกนี้ให้อาจารย์ที่เพิ่งรับงานในตำแหน่งดังกล่าวได้อ่านเพื่อจะได้นำไปประยุกต์ใช้นะคะ ส่วนการสนับสนุนชาวบ้านด้านการปลูกต้นไม้ "ฟาร์มไอดิน-กลิ่นไม้" ก็กำลังคิดโครงการเพราะหมู่บ้านที่ตั้งฟาร์มชาวบ้านยังไม่เห็นความสำคัญของเรื่องนี้ คงได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนกันนะคะ
แวะมาชื่นชม ทักทายเพื่อนร่วมทางเดินในชุมชนเหมือนๆกัน เยี่ยมบ้านทั้งกลุ่มดี กลุ่มเสี่ยงและกลุ่มป่วยจะพบสิ่งมหัสจรรย์มากมายทีเดียวค่ะ
สุดยอดเลยครับอาจารย์ เทอมนี้ผมกลับไปที่ลำปาง วางแผนไว้เหมือนกันครับว่าจะพานักศึกษาในรายวิชาไปลงชุมชน ยิ่งได้มาอ่านมาเห็นแบบนี้ มั่นใจขึ้นเยอะเลยครับ เพราะอาจารย์ถางทางไว้อย่างดีทีเดียว
พี่พนัสค่ะ
อ่านบันทึกนี้แล้วมีความสุขกับการทำงานของพี่และน้องๆ นักศึกษาจังเลยค่ะ
ได้เห็นปรากฏการณ์ที่ได้ปลูกฝังการอยู่ร่วมกับชุมชนให้น้องๆ แล้ว อยากให้มหาวิทยาลัยอื่นๆ ได้สนับสนุนเหมือนที่ มมส. ทำบ้างจังค่ะ เพราะนี่คือพลังเล็กๆ ที่ยิ่งใหญ่ ที่จะช่วยส่งเสริมการเติบโตของเยาวชนของชาติค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ พี่ ที่ร่วมแบ่งปันกิจกรรมดีๆ ให้ได้สัมผัสผ่านตัวหนังสือที่มีค่ามากมายค่ะ ^__^
โครงการหนึ่งคณะ หนึ่งหมู่บ้าน ได้นำมาต่อยอดโดยงานบริการหอพักนิสิต มมส. ในชื่อโครงการหอพักสู่ชุมชน ซึ่งเป็นโครงการที่ตอบรับนโยบาย 3D เป็นอย่างดี เพราะวัตถุประสงค์โครงการคือให้นิสิตและเด็กในชุมชนได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ห่างไกลยาเสพติด ได้เรียนรู้คุณธรรม จริยธรรมผ่านการเล่านิทานและการเรียนการสอนของนิสิตและผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่ นอกจากนี้ ยังสร้างความสุขให้กับผู้เข้าร่วมโครงการเป็นอย่างมาก เพราะการได้เห็นรอยยิ้ม เสียงหัวเราะของเด็กๆในหมู่บ้าน ช่วยให้เรานึกถึงภาพอันเยาว์วัยอีกครั้ง..ความสุขที่หาได้ไม่ยากในช่วงวัยเด็ก โดยเฉพาะเด็กๆในชนบทอย่างเรา ช่างมีความทรงจำอันดีงามให้นึกถึงอยู่เสมอ
สวัสดีครับ อ.ขจิต ฝอยทอง
หลังโครงการ "หนึ่งคณะหนึ่งหมู่บ้าน" ดำเนินการไปได้สักระยะ ท่านอธิการบดีฯ ได้ประกาศนโยบายเชิงรุกเสริมทัพเข้ามาอีก ด้วยการจัดสรรงบประมาณให้คณะละ 100,000 บาท เพื่อให้คณะได้ไปทำ "วิจัย" ร่วมกับ "ชุมชน" ซึ่งอาจเป็นหมู่บ้านในโครงการนี้ฯ หรือหมู่บ้านใดๆ ก็ได้ แต่ต้องอยู่ในพื้นที่จังหวัดมหาสารคาม โดยส่วนหนึ่งก็มีไม่น้อยที่ลงพื้นที่ตามโครงการฯ ที่ผมนำร่องไว้
ล่าสุด สนับสนุนโครงการ "หนึ่งคณะ หนึ่งศิลปวัฒนธรรม" อีกเหมือนกัน ซึ่งขณะนี้กำลัวตั้งหลักอยู่ว่าจะ "ขับเคลื่อนยังไง"
แต่ที่แน่ๆ..นี่คือส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์การรับน้องใหม่เหมือนกัน
ส่วนที่อาจารย์ฯ สะท้อนแนวคิดเรื่อง "หนึ่งคณะ หนึ่งอาจารย์" นั้น ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งครับ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง คงได้องค์ความรู้ใหม่ๆ ที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาเป็นแน่
สวัสดีครับ คุณblue_star
ผมชื่อนชมกับแนวคิดนี้ครับ "เราไม่ได้เข้าไปเป็นผู้ให้ แต่เข้าไปเรียนรู้ร่วมกัน"
แต่ถึงแม้จะไปสู่การ "ให้" ก็คงอยู่ในสถานะของการ "เรียนรู้" การ "ให้" เสียมากกว่า
หลายต่อหลายครั้ง การออกค่ายอาสาพัฒนา ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ทบทวนตัวเองของชุมชนได้อย่างมหัศจรรย์ เช่น ชาวบ้านหันกลับมาชำระเรื่องราวประวัติศาสตร์ท้องถิ่นตัวเอง หันกลับมาเรียนรู้และเชิดชูคนดีในหมู่บ้านของตัวเองไปในตัว
นั่นคือความจริงที่ผม "ค้นพบ" จากค่ายฯ -ครับ
สวัสดีครับ อาจารย์แม่ฯ (ผศ. วิไล แพงศรี)
ขออนุญาตเรียกเช่นนั้นนะครับ...
ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งกับการที่อาจารย์ฯ แม่จะนำบันทึกนี้ของผมส่งต่อไปยังองค์กร เพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน เพราะเฉพาะที่อาจารย์ฯ แม่เล่ามานั้นก็ถือว่าเป็น "ปัญญาปฏิบัติ" ที่น่าสนใจไม่แพ้กันเลยทีเดียว
กรณีให้นักศึกษาจดบันทึก หรือรายงานเรื่องราวตัวเองในกิจกรรมหนึ่งๆ โดยระบุตำแหน่งหน้าที่ที่เขาได้ร่วมปฏิบัตินั้น สะท้อนให้เห็นแนวคิดการปลูกฝังเรื่อง "บทบาท หรือสถานะ" ให้พวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย สอนให้เรารู้ว่าเมื่อมีบทบาทและก็ต้อง "รับผิดชอบ" ต่อบทบาท หรือหน้าที่นั้นๆ ให้ดีที่สุด
และที่สำคัญก็คือการสร้างกระบวนการให้เขาได้ถามตัวเองว่า "ทำแล้วได้อะไรกลับมาบ้าง" ทำแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงตัวเองและสังคมอย่างไรบ้าง ?
เแกเช่นกับประเด็นของการสร้างกระบวนการให้ชุมชนมี "ส่วนร่วม" กับกิจกรรมที่เราจัดขึ้นก็เป็นเรื่องใหญ่ เพราะนั่นคือความเข้มแข็งและยั่งยืนที่หลายๆ ส่วนท้าทายที่จะทำให้ได้
การทำให้ชุมชนรู้สึกเป็นส่วนร่วม ก็หมายถึงการกระตุ้นให้เกิดความ "ตระหนัก,เห็นค่า และความสำคัญ" ที่มีต่อชาวบ้าน ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็เท่ากับว่าเขามีความรู้สึกกับการเป็นเจ้าของร่วมกัน ก็ง่ายต่อการที่จะทำให้ชาวบ้านลุกขึ้นมาดูแลและสร้างสรรค์สิ่งเหล่านั้นด้วยตนเอง
...ขอบพระคุณครับ..
สวัสดีครับ พี่ sunny
ผมชอบกิจกรรมเยี่ยมบ้านของนิสิตมากเลยครับ ช่วงหนึ่งที่เคยดูแลเรื่องทุนการศึกษา ก็พาเจ้าหน้าที่ไปเยี่ยมยามถามข่าวผู้ปกครองนิสิตถึงชายคาบ้านเลยทีเดียว บันทึกวิดีโอมาตัดต่อเป็นสื่อการเรียนรู้ไปในตัว พบเห็นเรื่องราวที่เป็นทั้งสุขนาฏการรม และโศกนาฏกรรมที่หลากหลายรูปแบบ พบเห็นหัวจิตหัวใจของผู้คนที่ต้องดิ้นรนต่อสู้ และแบกรับอะไรๆ อย่างมหัศจรรย์
กรณีหมู่บ้านดอนนานั้น การมอบหมายคณะสาธารณสุขศาสตร์ไปลงชุมชนนั้น ผมถือว่าถูกต้องและเหมาะสมเป็นอย่างมาก เนื่องจากเรื่องสมุนไพร และสุขภาพนั้นก็เกี่ยวโยงกับวิชาชีพของคณะฯ อยู่แล้ว นิสิตสามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้กับการให้บริการแก่สังคม และถือโอกาสในการ "เรียนรู้" เรื่อง "ภูมิปัญญา" ของชาวบ้านในเรื่องเหล่านี้ไปในตัว เป็นการเสริมพลังบวกของการเรียนรู้ที่ดีงาม มิหนำซ้ำยังผูกโยงถึงการเชิดชูภูมิปัญญาไปด้วยเช่นกัน
ให้กำลังใจกับวิถีการงานในชุมชน นะครับ
และขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมนะครับ และคงได้แลกเปลี่ยนกันสืบไป...
สวัสดีครับ อ.หนานวัฒน์
คงมีโอกาสได้เจอและเรียนรู้ร่วมกันบ้างนะครับ ไม่นานนี้ผมอาจจะมีโปรแกรมค่ายแถวเหนือ บางทีอาจนำนักศึกษามาคุยกันบ้างก็ได้ เป็นเครือข่ายเล็กๆ ของการเรียนรู้...
ให้กำลังใจและชื่นชม นะครับ
เรียนท่านอาจารย์