ไม่รู้ว่าจะมีใครที่ทำงานวิชาการแล้วเจอเหตุการณ์แบบนี้หรือเปล่า ก็เมื่อให้ลูกน้องทำงานวิจัยหรือเขียนงานวิชาการก็จะต้องเอาตัวเองเป็นชื่อแรกและคนที่ทำก็เป็นชื่อถัดๆๆไป ซึ่งเมื่อได้ฟังอาจารย์พิเศกพูดว่าคนที่จะมีชื่อในการลงวารสารต้องมีคุณสมบัติดังนี้ คือ เป็นคนวางแนวคิดตั้งแต่เขียนโครงร่าง รูปแบบวิจัย วิเคราะห์ข้อมูล จัดการกับข้อมูล รวมถึงเขียนบทวิจารณ์ของบทความ ซึ่งถ้าหากใครไม่ได้ทำก็ไม่ควรมีชื่อในการทำวิจัย ซึ่งในการทำแต่ละครั้งก่อนจะลงมือทำหรือเขียนโครงร่างจะต้องตกลงกันก่อนว่าใครจะชื่อแรกหรือชื่อหลัง เพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาภายหลัง
ในการประเมินผลงานและมีการให้น้ำหนักในการทำผลงานจะมีการแบ่งเป็น 50% ของคนชื่อแรก อีก 50% คนที่เหลือก็ต้องมาหารเฉลี่ยกัน ซึ่งเมื่อมาคิดถ้าหากคนทำวิจัยมีแค่ 2-3 คนก็คงไม่มีปัญหาแต่ถ้าหากงานนั้นทำกันเป็นกลุ่ม 5-10 คนจะแบ่งยังไง เฮ้อน่าปวดศีรษะนะ การประเมินผลงานน่าจะมีเกณฑ์อื่นมาพิจารณานะคะ
โดย ปิยะวดี ฉาไธสง
ทำบุญ ทำทาน(อภัย) เถอะนู๋ ได้บุญเยอะนะ สิบอกไฮ่
เห็นใจครับ...เห็นใจ
แต่อย่างที่คุณปภังกรกล่าว...
"ใครทำใครได้(ความรู้)"
รู้อะไรก็ไม่สู้รู้วิชา ^_________^
พี่ปิ่งได้พูดกับพี่มอมบ่อยๆ ถึงกระแสพระราชดำรัสที่ว่า "การปิดทองหลังพระ......จะช่วยทำให้พระผุดผ่องและสวยงามทั้งองค์" รู้นะคะ "บางครั้งทำใจได้ยาก" แต่ฝึกทำบ่อยๆ ก็เกิดความสุขจากการกระทำได้ และข้อคิดเห็นของ "คุณปภังกร" ที่ว่า "ใครทำใครได้" ก็เป็นจริงและกาลเวลาจะสามารถพิสูจน์สิ่งเหล่านี้ได้เสมอค่ะ.......... เป็นกำลังใจให้นะคะ
ขอสนับสนุนความคิดคุณปภังกรคะ เพราะเรารู้อยู่แก่ใจ ได้ความรู้และประสบการณ์มากมายในการทำวิจัยมีแต่ได้กับได้ แต่บางครั้งก็ล้าเหมือนกันเนาะ กับการปิดทองหลังพระ-----แต่ยังมีคนเดินอ้อมไปเห็นนะคะ ถ้าติดด้านล่างฐานพระนั่งทับไว้ซิแย่เลย ทำไปก็ไม่มีใครเห็น
น้องเอย พี่เจอมาก่อนแล้ว แต่ก็เอา Idea อ.ราม มาผสมผสานนะจะดี-----ท่านบอกว่าชื่อท่าน (ผู้บริหาร) ทำให้คนพิจารณางานวิจัยเรา จะหยิบมาพิจารณาก่อน แต่ถ้าNo Name อาจไม่บอกเลยก็ได้ ทำๆ ไปก่อนนะ ได้กับได้นะจ๊ะ-------------คิดอะไรดีมันก็ดี ใจก็ไม่เป็นทุกข์ คิดสะว่าทำให้องค์กรแล้วกัน