การขับเคลื่อนโครงการปฐมนิเทศนิสิตโครงการส่งเสริมเยาวชนดีเด่นด้านศิลปวัฒนธรรมและกีฬาครั้งล่าสุด
(วันที่ 18-20 พฤษภาคม 2554) เป็นอีกครั้งที่ผมไม่ละเลยที่จะให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบโครงการฯ และทีมงาน ได้หันกลับไปทบทวนการจัดกิจกรรมโครงการเดียวกันนี้ที่จัดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว
ก่อนนั้น ผมเคยได้อ่านบทสรุปการจัดกิจกรรมจากผู้รับผิดชอบมาบ้างแล้ว แต่ก็ทำเฉยแบบไม่รู้ไม่ชี้ เพื่อทดสอบว่าทีมงานของผมได้หวนกลับไปศึกษาข้อมูลเดิมอันหมายถึง “ปัญหาอุปสรรค ข้อเสนอแนะ และปัจจัยที่นำไปสู่ความสำเร็จ” มาต่อยอดในครั้งนี้บ้างหรือไม่ ?
ก่อนการจัดกิจกรรมในปีนี้ ผมให้อิสระกับทีมงานออกแบบกิจกรรมที่จะมีขึ้นอย่างเต็มที่ แต่เมื่อขออนุมัติหลักการเสร็จสิ้นแล้ว ผมก็ขยับชวนผู้รับผิดชอบมาถามแบบง่ายๆ ว่ากิจกรรมการเรียนรู้ในแต่ละฐานนั้น มีอะไรบ้าง ? และใครเป็นผู้รับผิดชอบ ? คำตอบที่ว่านั้นก็คือ “มีฐานการเรียนรู้ประมาณ 6 ฐาน และเจ้าหน้าที่เป็นผู้รับผิดชอบ”เมื่อเป็นเช่นนั้น ผมจึงตั้งประเด็นให้ผู้รับผิดชอบงานได้กลับไปคิดว่าปัญหาเรื่องฐานการเรียนรู้ของปีที่แล้วคืออะไร?
ซึ่งคำตอบที่ได้รับกลับมาก็คือ “นิสิตรุ่นพี่มีบทบาทในการเป็นวิทยากรประจำฐานค่อนข้างน้อย” แน่นอนครับ, สาเหตุหลักที่ทำให้รุ่นพี่มีบทบาทในการจัดการเรียนรู้ให้แก่น้องใหม่ค่อนข้างน้อยก็มีสองสาเหตุหลักก็คือ (1) ทางอุทยานแห่งชาติขันอาสาเป็นผู้จัดกระบวนการเรียนรู้ในฐานต่างๆ เกือบทั้งหมด (2) ที่เหลือเจ้าหน้าที่กองกิจการนิสิต เป็นผู้บริหารจัดการ ส่วนนิสิตรุ่นพี่ก็เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในฐานการเรียนรู้
กรณีดังกล่าวเป็นการทำงานร่วมระหว่างบุคลากรกับนิสิต ซึ่งก็ถือว่าเป็นทิศทางที่ดีเหมือนกัน แต่คิดในอีกมุมนิสิตอาจจะดูเกร็งๆ ไม่เป็นอิสระ และไม่กล้าที่จะแสดงศักยภาพ หรือตัวตนของตนเองได้อย่างเต็มที่ด้วยก็เป็นได้
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงจำต้องฝากเป็นนโยบายแบบกว้างๆ ว่า “ให้คืนพื้นที่การเรียนรู้อันเป็นฐานต่างๆ ให้กับนิสิตรุ่นพี่ไปเสียทั้งหมด” เพื่อให้นิสิตรุ่นพี่ได้ใกล้ชิดกับน้องใหม่ให้มากๆ จะได้เกิดความสนิทสนม รักใคร่ปรองดอง ผูกพันและช่วยเหลือกันได้
แต่ที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือ ผมต้องการเปิดพื้นที่ให้นิสิตรุ่นพี่ได้ฝึกการทำงานกันเป็นทีม และฝึกการออกแบบกิจกรรมต่างๆ ด้วยตนเองเสียบ้าง ไม่ใช่รับบทบาท “พระรอง” เหมือนปีที่แล้ว ซึ่งก็เป็นที่น่ายินดีว่าเจ้าหน้าที่ก็เห็นด้วยอย่างไม่อิดออด เมื่อเป็นเช่นนั้นนิสิตรุ่นพี่จึงขยับขึ้นมาเป็น “พระเอก” อย่างทันทีทันใด ด้วยการต้อง “รับผิดชอบ” เป็น “เจ้าของ” ฐานการเรียนรู้ต่างๆ ด้วยตนเองอย่างเต็มสูบ หรือเรียกให้เข้าใจง่ายก็คือ “คิดเอง ทำเอง"
เมื่อคืนพื้นที่การทำงานให้นิสิตรุ่นพี่ทั้งที่มาจากกีฬาและศิลปวัฒนธรรมได้ออกแบบการเรียนรู้ด้วยตนเองแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงถอยกลับมาสวมบทบาท “พี่เลี้ยง” อย่างเต็มสถานะ พร้อมๆ กับการออกแบบกิจกรรมเสริมที่เจ้าหน้าที่สามารถเข้าไปเติมสีสัน หรือสร้างโจทย์การเรียนรู้ให้กับนิสิตใหม่ด้วยตนเอง ดังนั้นจึงกลายเป็นสีสันของการเรียนรู้ที่น่าจะครบทั้ง “บันเทิง...เริงปัญญา”
วันที่ 12 และวันที่ 16 พฤษภาคม 2554 ทั้งผมและทีมงาน ตลอดจนนิสิต กลับมาประชุมเพื่อกำหนดทิศทางการทำงานกันอีกรอบ ครั้งนี้ผมฝากแนวคิดให้เจ้าหน้าที่และแกนนำค่ายได้สะท้อนเรื่องราวอันเป็นนโยบายเรื่อง “อัตลักษณ์” (MSU FOR ALL : พึ่งได้) และคุณธรรม 4 ประการของนิสิต “มมส” (ประพฤติดี มีวินัย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง) ไปสู่นิสิตใหม่อย่างเต็มที่ เพราะนั่นคือทิศทางของการพัฒนานิสิตที่เพิ่งประกาศใช้สดๆ ร้อนๆ
นอกจากนั้นยังชวนให้แต่ละคนประมวลภาพการจัดกิจกรรมในปีที่ผ่านมากันอีกรอบ เพื่อสำรวจ “ทุนหรือเสบียงทางความคิด” กันอีกครั้ง เพื่อให้สามารถ “สะสางและต่อยอด” ได้อย่างมีพลัง
สิ่งที่ทุกคนมองตรงกันมากที่สุดก็คือ ปีที่แล้ว “สต๊าฟรุ่นพี่” มีจำนวนน้อย ! ไม่สามารถดูแลนิสิตรุ่นน้องได้อย่างทั่วถึง และบทบาทในการทำงานไม่เด่นชัดนัก เพราะมีกระบวนการของเจ้าหน้าที่จากอุทยานและกองกิจการนิสิตเป็นผู้ขับเคลื่อน !
ส่วนปัญหาอื่นๆ ที่ปรากฏเด่นหราเลยก็คือ สภาพดินฟ้าไม่อำนวย (ฝนตก) อาหารไม่เพียงพอ (เพราะนิสิตตักไปรับประทานจำนวนมาก)
ครับ, เมื่อเห็นประเด็นตรงกันเช่นนี้ ผมจึงย้ำว่าปัจจัยภายใน “ทีม” สามารถจัดการได้อย่างไม่ร่ำไร นั่นก็คือเพิ่มจำนวนสต๊าฟและมอบสิทธิ-ให้เสรีภาพต่อนิสิตรุ่นพี่ในการทำงานอย่างเป็นรูปธรรม โดยหลักๆ เน้นที่กิจกรรมการเรียนรู้และการบริหารค่ายฯ ซึ่งให้นิสิตเป็น “พระเอก” ไปแบบเต็มๆ แต่มีข้อแม้ว่าต้องมอบหมายคนในทีมมาร่วมรับผิดชอบเรื่องต่างๆ ช่่วยเจ้าหน้าที่ เช่น ที่พัก อาหาร การจัดเตรียมอุปกรณ์ เอกสาร และหยูกยา เป็นต้น
เมื่อผ่านพ้นประเด็นดังกล่าวแล้ว ผมก็จุดประเด็นใหม่ให้ขบคิดกันอีกหน นั่นก็คือการตั้งคำถามถึง “วัตถุประสงค์” ของการจัดกิจกรรม
ผมเริ่มต้นจากให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบได้แถลงต่อสต๊าฟที่เป็นนิสิต จากนั้นก็ให้แกนนำนิสิตสะท้อนวัตถุประสงค์ของขาบ้าง เป็นการ “เปิดเปลือย” ความคิด ความรู้สึกร่วมกัน ซึ่งสุดท้ายก็ประมวลเป็น “หนึ่งเดียว” ร่วมกัน อาทิ มุ่งให้นิสิตใหม่ได้รู้และเข้าใจในบทบาทและหน้าที่ของตนเองที่มีต่อการเป็นนิสิตโครงการฯ มุ่งให้นิสิตใหม่เกิดแรงบันดาลใจในการเรียนและการใช้ชีวิต มุ่งให้นิสิตใหม่กับนิสิตรุ่นพี่ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิตร่วมกัน ผ่านมิติของ “พี่ดูแลน้อง” หรือ “น้องจะดูแลพี่” ก็ไม่ว่ากัน
ครับ, มันเป็นวิธีง่ายๆ ที่ผมคิดว่าจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะการจะทำอะไรสักอย่าง หาก “ทีม” มอง “เป้าหมาย” ไม่เป็นหนึ่งเดียว ก็คงยากยิ่งต่อการที่จะขับเคลื่อนกิจกรรมนั้นๆ ไปได้ และกระบวนการที่ผมพยายามให้คิดร่วมกันเช่นนี้ ก็อยู่บนพื้นฐานของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันทั้งสิ้น ไม่มีพรมแดนในทางสถานะ อาวุโส...แต่มีแก่นยึดอยู่ที่ความสุข,ความดีงาม,โดยมีนิสิตใหม่เป็นปลายทางของการคิดคำนึง
ไม่เพียงเท่านั้น ผมยังทิ้งประเด็นให้ร่วมคิดกันต่ออีกว่า “ฐานการเรียนรู้” ที่นิสิตสร้าง หรือจำลองขึ้นนั้น ควรมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนว่า “ทำขึ้นเพื่ออะไร ด้วยวิธีการใด...ตอบโจทย์อันเป็นเป้าหมายของการทำงานอย่างไรบ้าง..”
ประเด็นที่ผมเปิดเปลือยขึ้นนั้น ไม่ใช่ประเด็นของการที่จะบีบรัดให้นิสิตและเจ้าหน้าที่ต้องเครียด หรืออธิบายต่อผมให้มากความ หากแต่เป็นการย้ำเตือนให้รู้ว่าการขับเคลื่อนสู่เป้าหมายนั้นมันต้องมี “กลยุทธและกระบวนการ” ที่ “น่าสนใจ” และต้องฉลาดพอที่จะให้ผู้เรียนรู้สึก “สนุกและมีความสุข” ให้มากที่สุด ไม่ใช่กิจกรรมที่เน้นการบรรยาย หรือจัดกิจกรรมแบบ “สายเดี่ยว” เน้น “วิทยากร” สื่อสารโดดๆ รวมถึงการย้ำเน้นให้นิสิตมีพื้นที่ในการเรียนรู้ด้วยตนเองให้มากๆ เพราะสถานที่การจัดกิจกรรมนั้น มีเรื่องราวให้ศึกษามากมายเหลือเกิน อาทิ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ประเพณีและวัฒนธรรมอีสาน เป็นต้น
เหนือสิ่งอื่นใด, เป้าหมายที่ผมไม่อาจละวางได้ก็คือ พัฒนาการของเจ้าหน้าที่และนิสิตรุ่นพี่ก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ในเชิงสร้างสรรค์ขึ้น ไม่ใช่ประเมินผลแต่เฉพาะนิสิตใหม่ว่าได้อะไรบ้าง แต่หลงลืมที่จะประเมินตัวเองไปเฉยเลย (อย่างนี้ก็ไม่ไหว)
ครับ, ผมย้ำเช่นนั้น เพราะผมต้องการให้เจ้าหน้าที่และนิสิตให้ความสำคัญกับการ “ทบทวนตัวเอง” ให้มากๆ สิ่งเหล่านี้เป็นการสะท้อนผลกลับเข้าหาตัวเองว่าเกิดพัฒนาการ หรือการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีกี่มากน้อย หากทำอะไรแล้วยังย่ำยึดอยู่จุดๆ เดิม เหมือนการจมจ่อมอยู่กับโคลนตมในหนองเดิมๆ ก็คงไม่ไหว !
และที่สำคัญ ผมไม่อยากมีวัฒนธรรมการทำงานในแบบเหมือนพายเรือวนอยู่ในอ่าง แบบไปไม่ถึงฝั่ง เพราะผมเชื่อว่า คนเราต้องวิวัฒน์ไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ช้าเร็วก็ควรต้องมีพัฒนาการ..
กรณีที่ว่านี้ ผมอธิบายเพิ่มเติมกับทุกคนว่า หากทำงานแล้วไม่เกิดกระบวนการเติบโตในตัวตนของเราเอง ก็คงยากยิ่งต่อการพัฒนางานและองค์กรด้วยเหมือนกัน ยิ่งในอนาคตอันใกล้นี้ องค์กรต้นสังกัดต้องรับเป็นเจ้าภาพงานใหญ่ๆ ในระดับประเทศอีกหลายงาน จึงต้องฝากให้กิจกรรมครั้งนี้ เป็น “แบบเรียน” แห่งการ “เรียนรู้” ที่ต้องเรียนรู้อย่างจริงๆ จังๆ เพื่อให้เกิดความพร้อมในภารกิจอันยิ่งใหญ่นั้นให้ได้มากที่สุด +
ครับ, ไม่มีใครจะทำงานได้คนเดียว ...ทีมคือกลไกที่สำคัญและท้าทายจริงๆ...
งานครั้งนี้ จึงย่อมหมายถึง "ทีม" ที่เป็นบุคลากรกับบุคลากร ทีมนิสิตกับนิสิต และทีมนิสิตกับบุคลากร ตลอดจนนิสิตใหม่ ก็สามารถก้าวเข้ามาเป็นทีมเดียวกับคณะทำงานได้เหมือนกัน
หมายเหตุ
1.ภาพจากทีมงานประชาสัมพันธ์และสารสนเทศ
2.นอกจากกิจกรรมบรรยายเรื่องบทบาทหน้าที่ของนิสิตในสังกัดโครงการฯ แล้ว ยังมีกิจกรรมสันทนาการ เน้นการเรียนรู้ร่วมกัน,กิจกรรมเรียนรู้ชุมชน,กิจกรรมเรียนรู้ตามอัธยาศัย ฯลฯ
3.ผลการประเมินโครงการออกมาในมุมบวก สนุกสนาน เบิกบาน ได้ความรู้ ได้เพื่อน ได้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเรียน การใช้ชีวิต
เป็นกิจกรรมที่มีกระบวนการ P D C A ที่สมบูรณ์ ดูบรรยากาศจากกิจกรรมแล้วน่าสนุก ไม่ซีเรียส
พูดถึงเรื่อง "ทีม" นั้นสำคัญมากครับ หากทีมงานดี ผลลัพธ์ของงานก็ออกมาดี ผมหมายถึงปลายทาง
เเต่ในระหว่างทาง ทีมงานก็มีหน้าที่เอื้อกันเพื่อการเติบโตทั้งความรู้เเละจิตวิญญาณครับ
วันก่อนผู้พัน..ท่านได้ปรึกษาผม เรื่อง "วงโปงลาง มมส." ครับ
ไปเชียงราย คงได้นั่งสนทนากัน :)
ขอบคุณมากครับกับความรัก ความผูกพันธ์ ที่สำคัญการเรียนรู้แบบไม่มีที่สิ้นสุด
เรียน ท่านสาดตาจาน (ครับ)
สวัสดีครับ คุณเอก..จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร
ปลายทางสำคัญมาก แต่เรื่องราวระหว่างทางก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
การขับเคลื่อนในทุกระยะ จึงจำต้องเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันให้ได้มากที่สุด
ผมมีโจทย์ชัดเจนตั้งแต่แรกเกี่ยวกับเรื่อง "ทีม" ซึ่งหมายถึงการทำงานร่วมของนิสิตกับนิสิต เจ้าหน้าที่กับเจ้าหน้าที่ และนิสิตกับเจ้าหน้าที่
กรณีเจ้าหน้าที่กับเจ้าหน้าที่นั้น มีทั้งสายกีฬา และสายศิลปวัฒนธรรม
ครั้งนี้ จึงพยายามเปิดประเด็นให้เห็นว่าทั้งสองส่วนต้องผนึกกำลังและเรียนรู้ร่วมกันอย่างจริงๆ จังๆ เผื่อว่าปีหน้า ต้องแยกกลุ่มปฐมนิเทศ จะได้มีทักษะในการที่จะจัดกิจกรรมเหล่านี้ได้
ส่วนนิสิตกับเจ้าหน้าที่นั้น ผมไม่มีอะไรมากไปกว่าการทำงานร่วมกัน บนเป้าหมายเดียวกัน
ขอบคุณครับ
ครับคุณเอก...
เรื่องโปงลาง ก็คงได้คุยกัน
ส่วนเรื่องไปอุบล ก็คงได้คุยเช่นกัน
เพราะอยากพานิสิตไปเรียนรู้กับนักเรียนมากเลยทีเดียว
โดยเฉพาะโรงเรียนต้นแบบเช่นนั้น ยิ่งน่าสนใจ
บางทีนิสิตอาจได้แนวคิด "พกตังค์" มาเรียนน้อยลงบ้าง
ขอบคุณครับ
โครงการนี้เป็นการไปค่ายที่ไปเพื่อพัฒนาตนเองพัฒนาน้องและพัฒนากระบวนการทำงานของรุ่นพี่รุ่นน้องและพี่ๆเจ้าหน้าที่ความรู้ความสนุกสนานต่างๆที่พี่ๆนำสู้รุ่นน้องนั้นไม่ได้หวังความสนุกสนานแต่อย่างเดียวแต่แฝงไปด้วยความรู้การสานสัมพันธ์เสริมประสบการไห้น้องเป็นการทำงานกันที่อิสระแต่อยู่ภายใต้กรอบของนิสิตโควตาที่เข้าใจชีวิตของนักกิจกรรม
กิจกรรมครั้งนี้เป็นการจัดกิจกรรมที่เน้นให้รุ่นพี่มีบทบาทหน้าที่มากกว่าครั้งที่แล้วมากจริงๆครับ เพราะครั้งที่แล้วรุ่นที่ไปก็มีบทบาทน้อยลอยไปลอยมาไม่ทำอะไร เพราะมีเจ้าหน้าที่อุทยานและเจ้าหน้าที่กองกิจการนิสิตเป็นผู้ดำเนินงาน แต่ครั้งนี้รุ่นพี่ได้วางแผนรูปแบบกิจกรรมเองในทีมโดยมีพี่เลี้ยงคือเจ้าหน้าที่กองกิจการนิสิต ทำให้รุ่นพี่ได้รู้จักคุ้นเคยกับรุ่นน้องได้มาก กว่าครั้งที่แล้ว
ชื่นชมวิธีการดึงการมีส่วนร่วมของนิสิต และแนวคิดในเรื่องการจัดการตามหลักของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง..ขอให้กำลังใจค่ะ..
ครับ คุณขุนแผ่นดินเย็น
การหยิบปัญหาขึ้นมาเป็นโจทย์ ดูเหมือนเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย หรือไม่ก็เหมือนคนก้ามไม่พ้นเรื่องนั้นๆ ...
แต่ในกระบวนการที่ผมพูดและใช้นั้น ผมต้องการสะท้อนให้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็น "ทุน" ที่เราต้องหยิบจับมาใช้ ในเมื่อยังเป็นเรื่องเดิมในบริบทเดิมที่เราต้อง "ทำ" เราก็ท้าทายกับมันเลยว่าจะข้ามพ้นไปให้จงได้
ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะกลายเป็นชุดความรู้ใหม่ทันที เราใช้ได้ คนอื่นก็ใช้ได้ (ประยุกต์ใช้ได้)
หลายๆ ครั้ง เมื่อเสร็จสิ้นกิจกรรม เรามักประเมินผลจากคนเข้าร่วมว่ารู้สึกเช่นใด
แต่ในความเป็นจริงผมมองว่าเรา "ลืม" ประเมินตัวเองไปเยอะเลย
นั่นคือสิ่งที่ผมพยายามสื่อสารถึงในบันทึกนี้ด้วยเช่นกัน
ขอบคุณครับ
ครับคุณนาฏศิลป์คือความงามนิรันด์
ฟังแบบนี้แล้วก็ชื่นใจครับ เพราะถือว่าผมบรรลุวัตถุประสงค์ หรือโจทย์ของตัวเองในเชิงนโยบายแล้วชัดเจน เห็นความสุขของคนทำงาน เห็นความเป็นอิสระที่มีกติกาของคนทำงาน เห็นการมองเป้าหมายร่วมที่เหมือนกัน ต่างตรงวิธีการไปสู่เป้าหมาย
กิจกรรมที่พี่ๆ จัดให้น้องก็สนุกสนาน แฝงหลักคิดความเป็นทีมไว้ค่อนข้างเยอะ
กิจกรรมของเจ้าหน้าที่ก็เสริมบรรยากาศ สร้างสีสันและฝากแฝงแนวคิดสำคัญไว้หลากเรื่อง ซึ่งทั้งสองส่วนผสมผสานได้ลงตัวอย่างน่าชื่นชม
ชื่นใจครับ, แบบนี้ถึงเทศกาลเทางามสัมพันธ์ หรืองานอื่นๆ ก็ไม่หวั่นไหว แล้วครับ
สวัสดีครับ ศิลปินลูกอีสาน
สวัสดีครับ พี่นงนาท สนธิสุวรรณ
ขอบคุณที่แวะมาให้กำลังใจนะครับ
พื้นที่ในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ เป็นพื้นที่ที่ใช้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง "ครูบ้านนอก" เวอร์ชั่นล่าสุด มีการเชิญเจ้าของพื้นที่มาบอกเล่าเรื่องราวประสบการณ์ชีวิตให้นิสิตได้เรียนรู้ร่วมกัน เห็นว่านิสิตฟังแล้วถึงขั้น "ร้องไห้" เลยทีเดียว
ตื่นเช้ามาทีมงานให้นิสิตเดินเท้าศึกษาพื้นที่เหล่านั้นด้วยตนเอง แบ่งกันเป็นกลุ่มๆ ศึกษาเรียนรู้ตามอัธยาศัย แต่ต้องกลับมาพร้อมเรื่องเล่าในรูปแบบที่ตนเองถนัด
สิ่งเหล่านี้สอนความเป็นทีม,สอนให้เรียนรู้ด้วยตนเอง,..ฯลฯ
ที่อุบล ผมยินดีประสานงานให้ครับ เเละ จะร่วมในการเดินทางไปที่โรงเรียนด้วยครับ
ครับคุณแดนไท
ผมเห็นด้วยกับทัศนะนี้มาก "เกิดขบวนการในการทำงานที่เป็นรูปธรรมกับนิสิตโควตารุ่นพี่เพิ่มมากขึ้น เจ้าหน้าที่เป็นเพียงผู้ให้กรอบแนวคิดในการทำงานและให้นิสิตได้เกิดขบวนการคิดร่วมกัน และแก้ปัญหาเป็นเมื่อมีอุปสรรค"
บางทีก็ต้องขออภัยที่ต้องให้ปรับวิธีคิดและกระบวนการบางอย่าง แต่เมื่อผลออกมาในทำนองนี้ ก็น่าจะเข้าใจและเห็นแนวทางของการทำงานอย่างที่ควรจะต้องเป็น
สำคัญต้องย้ำกับตัวเองว่าก่อนลงมือทำสิ่งใด ต้องหันกลับไปมองรอยเท้าเดิมในเรื่องนั้นๆ ให้มากที่สุด มองให้เกิดพลังบวก มองให้เกิดความท้าทายที่จะสนธิพลังให้ดีขึ้นและก้ามให้พ้นปัญหาเดิมๆ...
และอยากจะฝาก ถ้าจะให้ดี อยากให้เอาแกนนำค่ายครั้งนี้มานั่งกินข้าวและคุยกัน AAR และถอดบทเรียนแบบสนุกๆ บ้างก็ดี เขาจะได้เห็นกระบวนการที่ทำมา และเห็นความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น
ลองดูนะครับ
ครับคุณจตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร
ผมเองก็ดีใจครับ...
และมีความสุขที่จะพานิสิตไปเรียนรู้ในมุมแบบนั้น
หากพูดถึงประเด็นของทีม "ความเป็นทีม" คงต้องอาศัยองค์ประกอบที่ลงตัวนะครับ...
ซึ่งต้องเป็นองค์ประกอบที่มากกว่าแค่องค์ประกอบทางกายภาพครับ...
แต่เป็นองค์ประกอบที่ผสมผสานระหว่าง "ความไว้เนื้อเชื่อใจ" "การให้เกียรติ" "การเรียนรู้บทบาท" "ความรับผิดชอบร่วม" และ "การให้อภัย" นะครับ...
และที่สำคัญทีมคงต้องร่วมกันเดินสู่ "เป้าหมายร่วม" ซึ่งเป็น "เป้าหมายเดียวกัน" ที่เกิดจากความเห็นร่วมของทุกคนในทีมนะครับ...
กับการขับเคลื่อนงานของนิสิตมหาวิทยาลัยที่มีจุดร่วมในความเป็นพี่น้องร่วมสถาบัน ผ่านศิลปะวัฒนธรรมท้องถิ่นด้วยแล้ว...
ผมว่าผลลัพธ์ของการขับเคลื่อนที่เกิดขึ้นคงมากกว่าแค่กับตัวนิสิตและมหาวิทยาลัยนะครับ...
แต่ผลลัพธ์ที่สำคัญซึ่งเกิดประโยชน์กับสังคมโดยรวมเป็นการสะท้อนอีกบทบาทของเยาวชนและมหาวิทยาลัยที่พึงกระทำนะครับ...
สวัสดีครับ คุณDirect
ได้ใจมากเลยครับกับแนวคิดนี้ "องค์ประกอบที่ผสมผสานระหว่าง "ความไว้เนื้อเชื่อใจ" "การให้เกียรติ" "การเรียนรู้บทบาท" "ความรับผิดชอบร่วม" และ "การให้อภัย"
มันคล้ายกับที่ผมเคยเขียนไว้ในคราวก่อนโน้นประมาณว่า
ให้ใจ : จริงใจ ให้เกียรติ
ให้โอกาส : มอบหมายภารกิจให้เสมอภาค และตรงทักษะของทีม
ให้อภัย : หากมีข้อผิดพลาดใดจากการงานก็พร้อมให้อภัย และร่วมแก้ไข ปรับปรุง
ขอบคุณมากครับ
การจัดกิจกรรมครั้งนี้ สามารถหลอมรวมนิสิตทั้งสองโควตาเข้าหากันได้เป็นอย่างดี มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันคือคำว่านิสิตโควตา ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร มาจากไหน ณ ที่แห่งนี้เราคือเพื่อนกัน มีมิตรภาพที่ดีต่อกัน
เสมือนกับทีมทำงานวันนั้น มองตาก็รู้ใจจิงๆว่าต่อจากนี้หรือวินาทีนี้เราจะทำอะไร เพราะอะไร และเพื่อใคร รวมถึงอนาคตควรจะเป็นอย่างไร เพราะเรามีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือน้องๆนิสิตที่จะก้าวข้ามจากนอกรั้วเข้าสู่บ้านหลังที่สองของเค้า ณ ที่แห่งนี้ นั่นเอง
ถึงบางครั้งจะมีบางเศษเสี้ยวที่ไม่เข้ากันบ้าง แต่เรามองข้ามสิ่งนั้นไปเพื่อมุ่งสู่จุดหมาย ส่วนเศษเสี้ยวนั้นให้เปรียบเหมือนสิ่งเล็กๆที่สักวันก็คงเลือนหายไป
อยากให้มีการจัดกิจกรรมแบบนี้ร่วมกันในปีต่อไป เพราะอย่างน้อยที่สุดมันทำให้น้องๆนิสิตโควตาที่มาใหม่รู้จักเพื่อนๆต่างสถานะมากขึ้น ลดเลือนความแตกแยกของสังคมเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
เท่าที่สัมผัสมากับการจัดกิจกรรมเป็นครั้งที่ 2 พัฒนาการและการเรียนรู้ประสบการณ์จากครั้งที่แล้ว ทำให้เกิดแนวคิดใหม่ๆขึ้นเรื่อยๆ และได้คุยกับทีมงานเรื่องบทบาทและหน้าที่ (ทีมงาน) มากกว่าเดิม พี่ต้องรอดูแล้วกันว่าปีต่อไปเราจะทำอะไรกัน
ได้เห็นพัฒนาการ ความกล้าแสดงออก กล้าคิดและกล้านำ ของน้อง ๆ ที่เป็นรุ่นพี่ ที่มีต่อน้องใหม่ ครับ เห็นกระบวนการทำงานของเขา อาจจะผิดบ้าง ถูกบ้าง แต่ทุกอย่างก็ทำให้เขาได้เรียนรู้ สุดท้ายทุกอย่างก็บรรลุด้วยดี ทุกคนชื่นมื่น แต่เสียดายที่ผมจำเป็นต้องกลับก่อนครับ เลยไม่เห็นบรรยากาศวันสุดท้าย
เท่าที่ผมมอง ในปีนี้มีหลายอย่างที่ต่างไปจากปีที่ผ่านมา เช่น
- บทบาทหน้าที่ที่ชัดเจนของนิสิตรุ่นพี่ทั้ง 2 โควตา
- รูปแบบกิจกรรมส่วนใหญ่มาจากแนวคิด ของรุ่นพี่เอง
- พฤติกรรมการหลอมรวมระหว่างนิสิตทั้ง 2 โควตา
ฯลฯ
ผมเชื่อแน่ว่าในปีต่อ ๆ ไป นิสิตรุ่นพี่ จะทำงานเองได้และดีกว่าที่เราทำ...!
ครับ นุ้ยcsmsu
จุดเด่น : งานครั้งนี้คือการทำให้นิสิตใหม่ทั้งสองกลุ่มใกล้ชิด รู้จักกัน สองบุคลิกภาพมาใช้ชีวิตร่วมกัน ในกฎกติกาเดียวกัน และนั่นก็หมายถึงการได้รู้จักเพื่อนใหม่ได้เร็วขึ้น โดยไม่ต้องรอให้มีการปฐมนิเทศนิสิตใหม่ทั้งมหาวิทยาลัยฯ
ในทำนองเดียวกัน งานในครั้งนี้ ก็ช่วยให้บุคลกรทั้งสองส่วนได้ทบทวนจุดยืนในทางการทำงานว่าปีนี้จะทำอะไรบ้าง และปีหน้าจะขับเคลื่อนกันแย่างไร จะสร้างทีมอย่างไร เพื่อรองรับกระบวนการพัฒนานิสิต
ครับ, ส่วนกรณีว่าอยากให้รวมสองกลุ่มด้วยกันนั้น ก็คงฝากคิดกันต่อครับว่าจะลงเอยแบบใด สำคัญต้องสรุปงานอย่างเป็นรูปธรรมเสียก่อนว่าดีและด้อยอะไรบ้าง ซึ่งนิสิตต้องมีส่วนในการสรุปเรื่องเหล่านี้ได้ หลังประชุมเชียร์ก็คงได้ "ถอดบทเรียน" ร่วมกันในคณะทำงานกระมังครับ
ครับ ก้อง...สะเร็น
ดีใจมากครับที่ระดับบุคลากรเริ่มมองและคุยเรื่อง "บทบาทหน้าที่" เข้มข้นขึ้น ให้กำลังใจละกันนะครับเพราะเรื่องการ "สร้างทีม" สำคัญมาก ไม่ใช่แค่สร้างทีมบุคลากรเท่านั้น แต่การสร้างทีมที่เป็นนิสิตรุ่นพี่ก็สำคัญไม่แพ้กัน หากนิสิตรุ่นพี่ในสายโควตากีฬาสามารถรวมพลังกันได้ จัดกิจกรรมและบริหารจัดการกระบวนการต่างๆ ได้ ก็จะช่วยพัฒนาเขาในทางทีดี เป็นพลังเสริมทักษะชีวิตเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นกำไรจากการเรียนรู้ใน "สนามแข่งขัน"
ครับ คนเดินทาง
ปีหน้าบทบาทนิสิตรุ่นพี่ต้องชัดเจนและเต็มร้อยมากกว่านี้ แต่กระบวนการปีนี้ก็คือการเตรียมความพร้อมของรุ่นพี่นั่นเอง
แต่ก่อนจะถึงปีหน้า สิ่งสำคัญก็คือการสรุปงานและถอดบทเรียนในกลุ่มคนทำงานนั่นแหละ ถ้าจะให้ดีหากสามารถหยิบจับนิสิตรุ่นน้องมาร่วมกระบวนการด้วยก็ยิ่งดี เพราะมุมมองจะกว้าง (ครอบคลุม) และลึก
บทเรียนที่ผ่านมา ไม่ว่าระดับบุคลากร หรือนิสิตก็คือ ทำแล้วไม่มีการถ่ายทอดความรู้ให้คนในองค์กรร่วมกันอย่างเป็นระบบ ไม่มีประสิทธิภาพ ใครทำคนนั้นก็เก็บงำไว้ประดับตัวเองไม่ "แชร์" และสร้าง "ผู้นำรุ่นสอง" ขึ้นมารองรับ
ผมเชื่อว่า วันนี้และขณะนี้ เราเดินทางมาถูกทิศถูกทางแล้วนะ เพียงแต่คนทุกคนต้องถามตัวเองว่าที่ผ่านมาเรียนรู้อะไรบ้าง มีอะไรติดตัวมาใช้ไป และที่สำคัญพร้อมหรือยัง...