ตายเพราะกลัว..ดีกว่ากลัวจนตาย


ความตายเป็นของขวัญสำหรับมนุษย์ทุกคนที่มีผู้ประทานให้มาพร้อมกันตอนเกิด

        มนุษย์กับสัตว์มีความเหมือนกันอยู่ 4อย่าง คือ กิน นอน สืบพันธุ์และกลัว
ลักษณะความเหมือนของมนุษย์และสัตว์จะแสดงออกในลักษณะที่เป็สัญชาตญาณส่วนความแตกต่างกันอยู่ที่สติและปัญญา มนุษย์มีปัญญาในการทำมาหาเลี้ยงชีพ มีสติควบคุมการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องมีวิธีการที่จะพักผ่อนและขจัดความคลายเครียด มีวัฒนธรรมที่เป็นกลไกเกี่ยวกับการสร้างครอบครัวมีสติในการควบคุมพฤติกรรมไม่ให้ตกไหลไปในทางเสื่อมเสียแก่ครอบครัว  มีวิธีการที่จะนำพาชีวิตให้ก้าวข้ามความกลัวเช่น กลัวลำบาก จึงต้องขวนขวายมานะเรียนหนังสือ กลัวอดตาย ต้องอดทนทำมาหาเลี้ยงชีพกลัวติดคุก จึงต้องดิ้นรนหาวิธีที่จะทำให้ตนเองพ้นจากข้อหา เป็นต้น

       ในบรรดาความเหมือนระหว่างมนุษย์กับสัตว์ทั้ง 4 อย่างข้างต้น ความกลัว เป็นพลังเงียบที่ผลักดันให้มนุษย์เกิดพัฒนาการ การมีอาหารได้กิน การมีที่อยู่อาศัยการมีครอบครัวมีชาติตระกูลที่มั่นคงมีลูกหลานที่ได้รับการยอกย่อง ล้วนแต่มาจากพลังของความกลัวทั้งสิ้นทั้งนี้มีสติปัญญาเป็นตัวกำกับความกลัว และทำให้เกิดพลังในการแสวงหา มีวิธีที่จะทำให้สิ่งที่ตนต้องการเป็นจริงความกลัวใดๆ  ไม่น่ากลัวเท่ากับความตายเวลาที่เราอยู่ดีมีสุข น้อยคนนักที่จะคำนึงถึงมันความสุขและเสียงหัวเราะจะกลืนกลายความรู้สึกกลัวตายเอาไว้อย่างนิ่งเงียบแต่แท้จริงมันคงอยู่อย่างเดิม ประดุจดังหินทับหญ้า คราวใดที่ยกหินขึ้นมาหญ้านั้นพร้อมจะงอกและเกิดขึ้นทันทีความตายเป็นของคู่ชีวิตที่ไม่ต้องเรียกร้องที่ทุกชีวิตไม่อาจปฏิเสธได้ประหนึ่งว่า ความตายเป็นของขวัญสำหรับมนุษย์ทุกคนที่มีผู้ประทานให้มาพร้อมกันตอนเกิดหมายความว่า มนุษย์ได้ชีวิตและความตายมาพร้อมกัน เมื่อเป็นเช่นนี้เวลาที่เรานึกถึงว่าต้องตาย ความกลัวสุดขั้วหัวใจจะเกิดขึ้นในฉับพลัน หนาวถึงปลายสุดของสมองก็ว่าได้แต่สำหรับคนที่ยังร่างกายแข็งแรงดี อาจจะยังไร้ความรู้สึก คนที่หัวเราะเสียงดังฟังชัดอยู่ย่อมมองไม่เห็นแต่คนที่เจ็บ ป่วย หมดทางไป ไม่มีทางออก ไม่เห็นแสงสว่างแห่งชีวิต คนพวกนี้เห็นความน่ากลัวของความตายชัดเจนมาก ยิ่งถ้าใครที่ใกล้ตายจะยิ่งกลัวโดยเฉพาะคนที่คิดได้ว่า ชีวิตที่ผ่านไม่ได้ทำความดี ไม่เคยสร้างกุศลทำแต่ความเดือดร้อน สร้างแต่กรรมเลว อยู่อย่างเห็นแก่ตัว คือใช้ชีวิตแบบแบบสูญเปล่าไม่มีต้นทุนความดีที่จะเป็นเสบียงสำหรับเดินทางไกลที่เปลี่ยว มันจะกลัวไปหมด เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ที่เป็นปุถุชน
ยามใดไม่ปวดหัว ยาพาราก็ไร้ค่า ยามหัวเราะเริงร่าเราจะลืมเสียงสะอื้นไห้     

   ในพระพุทธศาสนาสอนให้มนุษย์ใช้ชีวิตแบบพร้อมเผชิญกับปัจจุบันการณ์อยู่อย่างไม่ประมาท โดยเฉพาะการเผชิญกับความตาย เช่นสอนว่า “นึกถึงความตายสบายนักมันรักหักหลงในสงสาร กำจัดมืดโมหันอันธการ ทำให้หาญหายสะดุ้งไม่ยุ่งกลัว”(หลวงตาแพร เยื่อไม้) หลวงพ่อพุทธทาส ท่านสอนว่า ให้ตายก่อนตาย หมายความว่าให้เข้าใจและเรียนรู้เกี่ยวกับความจริงของชีวิตที่ต้องเป็นไปตามหลักของไตรลักษณ์(ชีวิตไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรคงสภาพเดิมอยู่ได้) เมื่อชีวิตต้องเผชิญกับความจริงจะได้ไม่สติแตกเตลิดไปกับสิ่งที่เกิดขึ้น

       แม้แต่ ในศาสนาอิสลาม หรือศาสนาคริสต์ ก็สอนสอนมนุษย์ให้กระทำความดี โดยมีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่แดนสวรรค์ซึ่งเป็นดินศักดิ์สิทธิ์อันอมตะนิรันดร์  นั่นคือ
คือแนวทางแห่งการสอนให้มนุษย์อยู่อย่างไม่กลัวความตาย มนุษย์จะไม่กลัวหากเส้นทางของชีวิตที่จะก้าวไปในบั้นปลายของชีวิต เป็นเส้นทางแห่งความสุขในทางความเชื่อของชาติพันธุ์บางกลุ่มจะมีความเชื่อว่าตนเองเกิดจากเทพ เกิดจากการสร้างของเจ้าผู้มีฤทธิ์ เช่นกลุ่มชาติพันธุ์ตระกูลไท โดยเฉพาะไทยดำ หรือไทยทรงดำ บางแห่งก็เรียกว่าลาวโซ่งซึ่งมีประวัติศาสตร์ทางชาติพันธุ์ในการย้ายถิ่นเข้ามาอยู่ในประเทศไทยประมาณ 200 ปีชาวไทยดำ มีความเชื่อว่ามนุษย์เกิดจากการสร้างของพญาแถน (เทพผู้มีอำนาจสูงสุด)เมื่อตายแล้วชีวิตจะกลับไปเฝ้าแถน การกลับไปเฝ้าแถนหรือรับใช้แถน ถือว่าเป็นเป้าหมาสูงสุดของชีวิตของชาวไทยทรงดำทุกคนดังนั้น คนเหล่านี้จะไม่กลัวตาย หรือเวลาที่มีใครตายก็จะไม่แสดงอาการร่ำไห้เสียใจแต่ถือว่าเป็นธรรมชาติของชีวิตที่ผูกโยงกับความเชื่อและเป็นเรื่องที่ดีเวลาที่ตายจะได้ไปอยู่ดินแดนแห่งความสุข

      หากจะมองเรื่องราวเกี่ยวกับจุดจบของชีวิต(ตาย)ไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มใด ศาสนาใด ชาติพันธุ์ใดก็ตาม สิ่งหนึ่งที่จะเป็นหลักหรือแนวทางให้มนุษย์ถือเป็นหลักปฏิบัติให้อยู่เย็นเป็นสุขคืออยู่รู้ตาย และตายเหมือนอยู่ ซึ่งคือกุสโลบายให้มนุษย์ทำความดีและมีชีวิตบั้นปลายที่มีความสุข คือสอนให้อยู่กับความตาย รู้จักมักคุ้นกับความตาย  มนุษย์ก็จะมีชีวิตที่มีต้นทุน มีความดีเป็นกำไรไม่เป็นชีวิตที่ติดลบ ที่สำคัญพร้อมตาย ว่าไปแล้ว ไม่มีใครหรอกที่ไม่กลัวตายแม้แต่ตัวผู้เขียนก็กลัว....แต่คำถามที่เหมือนกันคือว่า เราพร้อมจะตายแล้วหรือยัง.......

หมายเลขบันทึก: 439969เขียนเมื่อ 20 พฤษภาคม 2011 09:36 น. ()แก้ไขเมื่อ 8 พฤษภาคม 2012 13:05 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท