เมื่อตอนน้ำมันเชื้อเพลิงมีราคาแพงขึ้นยังไม่มาก สาธารณสุขชนได้ชวนให้เอกชนสนใจและมี CSR กับการจัดการส่วนผสมในน้ำมันให้ปลอดภัยจากสารตะกั่ว ต่อเนื่องมาด้วยชวนจัดการ “อาหารสะอาด รสชาดอร่อย” จนมาถึง “อาหารปลอดภัย”
ภายใต้กิจกรรมต่างๆเหล่านี้ นางร้ายผู้ใช้ชื่อว่า “สารเคมีก่อโรค” ยังไม่ดัง ทั้งๆที่เธอมีคุณสมบัติน่าสนใจ สาธารณสุขชนผู้ปั้นจึงเบนเข็มไปหาชื่อที่สื่อคุณสมบัติของเธอที่เตะตากว่ามาใช้ เพื่อชวนให้คนมาสนใจศึกษา เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเธอ วันนี้นางร้ายตัวนี้มีชื่อใหม่ว่า “สารเคมีก่อมะเร็ง” นะคะ จะดังหรือดับก็ลองมารู้จักเธอด้วยกัน
กิจกรรมติดหูที่น่าจะซึมเข้าไปอยู่ในความทรงจำแล้ว คงไม่พ้นคำชวนให้รู้จักเธอจากชาวสาธารณสุขคำนี้ “หยุดใช้น้ำมันทอดซ้ำกันเถอะ” แล้วเขาก็พูดต่อว่า “ป้องกันมะเร็ง” ฟังแล้วท่านรู้จักเธอมากขึ้นบ้างไหม “อ้อ” แล้วจบหรือเปล่า
คนเป็นแม่ค้าของทอดไม่ต้องพูดถึง ฟังแล้วคิดไปโน่นเลย “เขามาชวนให้คุ้มครองผู้บริโภค (ลูกค้า) ของเรา และบังคับเราไม่ให้ใช้น้ำมันทอดซ้ำ ไม่เห็นใจเราเอาซะเลย” และวันนี้สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ น้ำมันทอดซ้ำยังวนเวียนอยู่ในตลาดทุกที่่ ทุกวัน แถมยังมีน้ำมันทอดซ้ำที่นำไปฟอกสีให้ใสแล้วนำกลับมาขายใหม่ด้วย
ที่จริงการเปลี่ยนวิถีการทำครัวไปสู่การ “ไม่ใช้น้ำมันทอดซ้ำ” นั้น มือหนึ่งที่ได้ประโยชน์สูงสุดกับการป้องกันมะเร็งนั้นเป็น “ผู้ลงมือทอด” คนอื่นที่มารอ มาชิม มาจัด มาช่วย มาชม มาดู มาดม นั้นเป็นมือสอง สาม สี่…….ลดหลั่นกันไปตามเวลาที่เข้ามาคลุกคลี
กิจกรรมนี้แถมการประพฤติธรรมข้อ “ไม่เบียดเบียน” ด้วย ถ้าทำ เพราะเท่ากับได้เมตตาช่วยเหลือคนไปพร้อมๆกับดูแลตัวเอง ต่างคนต่างเกื้อกูลกันในเรื่องการยังชีพโดยสุจริตผ่านวิถีผลิตอาหาร ดีออก
การ ตามรอยโรคมะเร็ง ณ วันนี้สอนไว้ว่า ๑ ใน ๓ ของต้นแหล่งที่ทำให้คนเป็นมะเร็ง คือ อาหาร และอาหารที่เป็นเหตุมากที่สุด เป็นอาหารที่ทอดจากน้ำมันทอดซ้ำที่เสื่อมสภาพ
คำว่า “เสื่อมสภาพ” หมายถึง “มีสารโพลาร์เกิน ๒๕% เมื่อเทียบกับน้ำหนักน้ำมัน” ด้วยเหตุว่าเมื่อคุณสมบัตินี้เกิดขึ้น น้ำมันนั้นเปลี่ยนคุณสมบัติไปมากแล้ว
นอกจากสารโพลาร์แล้ว ยังมีสารเคมีอันตรายอีกตัวออกมาละลายอยู่เงียบๆ เมื่อใช้น้ำมันทอดอาหารประเภทแป้งและเนื้อสัตว์ ชื่อว่า “PAHS พาส์”
เจ้าพาส์นี้ระเหยได้ ขณะทอด มันเกิดขึ้นทีละนิดทีละหน่อย ละลายปนอยู่ในแต่ละครั้ง ที่น้ำมันโดนความร้อนระหว่างทอดแป้งและเนื้อสัตว์ ตัวที่ระเหยมี ๒ ตัว “ฟีแนนทรีน (Phenanthrene) ” และ “เนฟทาลีน(Naphthalene) “
เจ้าตัวหลังนี้คุ้นๆมั๊ยค่ะ มันคือตัวเดียวกับ “ลูกเหม็น” ไงค่ะ
เหตุเกิดมันเป็นอย่างนี้ชาวสาธารณสุขจึงชวนเรื่อง “หลีกเลี่ยงการกินของทอด” ค่ะ
ถ้าถามว่าระหว่างน้ำมันทอดแป้งกับเนื้อสัตว์อะไรพบฟีแนนทรีนมากกว่ากัน คำตอบคือ “น้ำมันทอดเนื้อสัตว์”
ถ้าถามถึงการพบทั้ง ๒ ตัว คำตอบเปลี่ยน น้ำมันปาล์มที่ใช้ทอดปาท่องโก๋ พบมากกว่า น้ำมันทอดไก่ที่ใช้ทอดปลา
น้ำมันใหม่ๆที่เรานำมาทำอาหารที่เห็นๆ เป็นสารตัวนี้นะคะ “ไตรกลีเซอไรด์” ไม่ต้องแปลกใจกัน มันเป็นตัวเดียวกับที่พบในตัวคนไง ความบริสุทธิ์ของมันอยู่ในระดับ ๙๖-๙๘% เราจึงใช้มันเป็นอาหารได้
เมื่อใช้แล้วมันสลายเปลี่ยนเป็นตัวอื่นๆได้มากมาย เวลาวัดคุณภาพหลังการใช้งาน จึงไปเลือกวัดที่ “ความไม่ใช่ไตรกลีเซอไรด์” ในชื่อของ “สารโพลาร์” เน้อ
เวลานี้การวัดสารโพลาร์ไม่ยากแล้ว ใครอยากรู้ไปหาชุดตรวจโพลาร์ราคาถูกไปใช้เองได้ สอบถามหน่วยราชการสาธารณสุขใกล้บ้าน โรงเรียน หรือให้ร้านขายยาใกล้บ้านซื้อหามาให้ได้เลย ในชุดตรวจมีคำแนะนำไว้พร้อมสรรพ ตรวจด้วยตัวเองได้ไม่ยากเลย
หนืด ทอดแล้วเกิดฟองเดือด ควันดำ เป็นสัญญาณบ่งว่าค่าโพลาร์สูงถึงระดับ ๔๐ แล้วนะ
มีฟองเดือดอย่างที่เห็น ก็ใช่ว่าน้ำมันนี้ปลอดอันตรายนะ
ทำอย่างนี้ ผิดศีล ๕ เพราะหลอกตัวเองไปแล้วว่าน้ำมันนี้ไม่มีอันตราย
ชุดตรวจน้ำมันทอดซ้ำที่เอกชนบริษัทหนึ่งผลิตออกจำหน่าย
สวัสดีครับคุณ หมอเจ๊
พรุ่งนี้ น้องตุ๊กตา ทีมงานหนานเกีรติ จะลงไปดูพื้นที่ภัยพิบัติ ที่กระบี่ ได้ข่าวว่าหมอจะไปด้วย ผมก็คงไปถึงประมาณเที่ยง
นัดกับคุณสมยศ ปกาศัยอีกทีครัลผม
ประโยน์สุด ๆ นำให้นักเรียน และครูที่โรงเรียนได้เรียนรู้
บทความชุดนี้ น่าจะทำเป็น ebook
...พร้อมวิธี ดูน้ำมันก่อนจะซื้อ ของทอด ก่อนจะสั่งของทอด ในร้านอาหาร ที่เราไม่เห็นว่า เขาทอดในน้ำมันอะไร ...
[How about this GoToKnow masters?]