ยุโรปตะวันออก(เช็ก-สโลวัค-ฮังการี-ออสเตรีย)เขาใช้ศิลปวัฒนธรรมเป็นจุดขายในการพัฒนาประเทศ

     ควันหลงจากการไป ยุโรปตะวันออก(เช็ก-สโลวัค-ฮังการี-ออสเตรีย)เที่ยวนี้  ผมมีข้อคิดและเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยมาเล่าสู่กันฟัง(แลกเปลี่ยน)ในบางเรื่องครับ       
     ประเทศเหล่านี้ เดิมเคยเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ในอดีต แต่ต่อมาผ่านการตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศอื่น และที่บอบช้ำที่สุดคือการร่วมสงครามโลกกับเยอรมันทั้งครั้งที่ 1 และ 2 แพ้สงครามและถูกทำลายอย่างยับเยิน สถานการณ์ทางการเมืองทำให้มีการปรับตัวแยกเป็นประเทศเล็กประเทศน้อย มีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง  จนปัจจุบันปกครองในระบอบสาธารณรัฐ
     หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงปัจจุบัน แต่ละประเทศมีการปรับตัวพัฒนาประเทศ โดยนำจุดเด่นที่ดึงดูดใจคนทั่วโลกมาเป็นจุดขาย นั่นคือ ด้านศิลปวัฒนธรรม และความงดงามทางธรรมชาติ ที่พยายามรักษาสิ่งที่เป็นของแท้ๆ  และใช้การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพอย่างเป็นสัดส่วน  ปัจจุบันคนทั่วโลกเริ่มให้ความสนใจมาท่องเที่ยวในดินแดนนี้มากมายตลอดทั้งปี(ผมไม่มีตัวเลขรายได้จากการท่องเที่ยวที่แน่นอน) ขอเล่าในบางเรื่อง เช่น
      
     1.ที่กรุงปร๊าก(เช็ก) มีสิ่งก่อสร้างสถาปัตยกรรมแบบโกธิคในแต่ละยุค ทั้งอาคารบ้านเรือน  ปราสาทแห่งปร๊าก  วิหาร พระราชวัง ฯลฯ ที่สวยงามและจัดอย่างเป็นสัดส่วน และที่อยากจะเล่าเป็นพิเศษคือ หอนาฬิกาดาราศาสตร์ ที่นี่เปรียบเหมือนจตุรัสกลางเมือง(เทียบได้กับจตุรัสเทียนอันเหมิน หรือลานพระบรมรูปทรงม้าฯลฯ) ที่บ้านเราคนจะไชโยกันในรอบปีมีครั้งเดียวคือคืนวันที่ 31 ธันวาคม เวลาเที่ยงคืน แต่ที่นี่มีคนมากมายตลอดทั้งวัน มาชุมนุมเพื่อรอ "ร้องไชโย"เมื่อนาฬิกาดาราศาสตร์ตีในทุกชั่วโมง พอเข็มยาวตรงกับเลข 12 จะมีทหารกองเกียรติยศออกมาเป่าแตรบรรเลงนำ พอนาฬิกาเริ่มตีก็จะมีตุ๊กการูปลักษณ์ต่างๆหลายตัว ยื่นหน้าออกมาทำผลุบๆโผล่ในแต่ละช่องด้วยอาการต่างๆ ได้ตื่นเต้นและลุ้นกันก็ตรงนี้ บริเวณโดยรอบก็มีสินค้าและงานด้านศิลปวัฒนธรรมมาจัดแสดงและจำหน่ายอย่างหลากหลาย พอนาฬิกาตีเสร็จคนก็จะแยกย้ายไปจับจ่ายข้าวของต่างๆตามที่ตนเองชอบ  พอใกล้จะครบชั่วโมงก็จะมายืนจับจองที่รอลุ้นนาฬิกาตีกัน ดังที่เห็นในภาพ เป็นเช่นนี้กันทั้งวัน
 
    2.ที่กรุงเวียนนา(ออสเตรีย) นอกจากใช้พระราชวังที่ยิ่งใหญ่หลายๆแห่งเป็นจุดขายแล้ว เขาจะใช้ศิลปวัฒนธรรมด้านดนตรี  ซึ่งทุกมุมเมืองจะมีทั้งอนุสาวรีย์ของนักดนตรีที่ยิ่งใหญ่ เช่น โมสาร์ท , ราชาเพลงวอลท์ซ(โยฮัน สเตร้าท์ จูเนียร์), บีโธเฟนฯลฯ มีโรงละครโอเปร่า  คอนเสริทฮอล มากมายทั่วเมือง คนเขารักดนตรีกัจริงๆ
    
3.ที่ประเทศอื่นๆก็มีจุดขายของเขาเช่นกัน เช่นที่บูดาเปส(ฮังการี) มีปราสาทราชวังที่สวยงาม เป็นเมืองอกแตก มีแม่น้ำดานูบไหลผ่านกลางเมือง แยกเป็นเมืองบูดา และเมืองเปสต์(คล้ายกรุงเทพฯกับธนบุรี) และล่องเรือท่องแม่น้ำดานูบชมธรรมชาติสองฝั่งที่สวยงาม  มีเรื่องหนึ่งที่ทราบว่า เด็กที่นี่เขาก็ยังมีการหาที่พึ่งทางใจเหมือนกับคนไทย เวลาจะเข้าสู่สนามสอบครั้งสำคัญๆ เมืองไทยจะไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์  แต่ที่นี่เขาไปไหว้อนุสาวรีย์อัศวินกัน เพื่อให้อัศวินช่วยหรือให้ใจสู้ๆเหมือนอัศวินก็ไม่ทราบ(มีรูปอัศวินที่เด็กไปไหว้มาให้ดูด้วย)

     4. ที่กรุงบราติลาวา(สโลวัค) ที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในภูมิภาคยุโรปกลาง ก็มีสถาปัตยกรรมและทิวทัศน์ที่สวยงามเช่นกัน  แต่เรื่องหนึ่งที่นำฝาฝากคือ  ที่ริมถนนแห่งหนึ่งจะมีรูปคนงานทำถนน(กรรมกร)ผุดขึ้นมาอยู่ริมถนน คนพากันไปถ่ายรูปกันมากมาย แต่นี่เป็นสัญญลักษณ์อย่างหนึ่งแสดงให้เห็นถึงความแตกทางทางชนชั้น ในยุคที่มีการปฏิวัติทางชนชั้น
     
     มีเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจที่ประเทศสาธารณรัฐเช็ก มีประชากรประมาณ 10 ล้านคน ไม่มีศาสนา 39.8 % โรมันคาธอลิก 39.2 % โปรเตสแตนท์ 6 % ออร์โธดอกส์ 3 % และอื่น 13.4 % ไม่รู้ว่าเบื้องหลังเป็นเช่นไร
      กล่าวโดยสรุป ผมยังเห็นว่าประเทศไทย เรามีอะไรที่ดีๆมากกว่าประเทศเหล่านี้เยอะแยะเลยทีเดียว ถ้าเรารักชาติกันอย่างแท้จริง(เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม) แล้วมาร่วมกันพัฒนาบ้านเมือง ขจัดความแตกแยกออกไป ใช้ของแท้ๆ(ไม่ใช่ของเทียมๆ)เป็นจุดขาย ประเทศไหนทั่วโลกก็สู้ไม่ได้
      ทำให้นึกถึงผู้ใหญ่ท่านหนึ่งท่านเล่าถึงเพื่อนที่ญี่ปุ่นพูดชื่นชมประเทศไทยให้ฟังว่า
      "ประเทศไทยนี้อะไรๆก็ดีไปหมด แต่เสียอย่างเดียวที่มีคนไทยอยู่???" 
                  เอ๊ะนี่ชมหรืออะไรกันแน่??     
    
        

[กาย]

"ประเทศไทยนี้อะไรๆก็ดีไปหมด แต่เสียอย่างเดียวที่มีคนไทยอยู่???

โอ๊ะโอ....ต้องต่อให้ด้วยนะคะว่าคนไทยพวกไหน?555