นายแพทย์ปรีชา
นายแพทย์ นายแพทย์ปรีชา งามสำโรง

ดอกส้มสีทอง VS ระเบียบรัตน์


ดอกส้มสีทอง(ภาคต่อ)
 
                                   ครับ...นับว่าเป็นอีกครั้งที่คุณระเบียบรัตน์ออกมากระตุ้นเตือนสังคมย้ำเตือนสังคม ผ่านละครเรื่องดอกส้มสีทอง ว่ามันมีผลกระทบต่อสังคมและเยาวชนนะ ดูเหมือนว่าสังคมกลับมองคุณระเบียบรัตน์ในมุมมองอื่นด้วยท่าที     แตกต่างทุกอย่างมีสองด้านเสมอ มันเป็นสัจจะธรรม แต่อย่างไรก็ตามผมก็นับถือคุณระเบียบรัตน์ มีความกล้าหาญพอที่จะออกมาเตือนสังคม ยิ่งกว่าชายอกสามศอกในเมืองไทยหรือผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงแต่กลับทำตัวเป็นเกียร์ว่างรักษาเนื้อรักษาตัว เพราะกลัวว่าจะถูกพาดพิงหรือถูกโจมตีเลยทำนิ่งเสียตำลึงทอง play safe ช่างน่าอดสูครับ โคตร(โค-ตะ-ระ) ไม่มีสปิริตเลย คนมีหน้าที่แต่ไม่ยอมทำหน้าที่เขาเรียกว่า อะไรครับ (พวกขี้ขาว) ขี้ขึ้นตาขาว
                    คุณระเบียบรัตน์เธอคงรู้ดีว่า การออกมาสวนกระแส ละครเรื่อง ดอกส้มสีทอง ต้องโดนโจมตีอย่างหนักหน่วงจากคนที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดของเธอ คนที่เสียผลประโยชน์ นายทุน รวมถึงคนที่คิดร้ายต่อเธอ ในทางการเมืองด้วยเธอต้องเผชิญสิ่งเหล่านี้แน่นอน    เธอต้องต่อสู้กับใจตนเองอย่างหนักหน่วง ผมคิดว่าเธอคงตระหนักเรื่องนี้ดี และเธอก็กล้าพอที่จะออกมาพูด ความรู้สึกของคนไม่เห็นด้วยที่เป็นบ้าเป็นหลัง มันทำให้คนขาดสติตรงนี้แหละ ที่เธอพยายามสอนคนไทยให้คิด แต่เพราะความขาดสติบวกกับระบบนายทุน จึงทำให้เจตนาดีของเธอกลายเป็นผลร้าย ทุกคนรุมตีเธอแทบป่นปี้ การที่จะมองเห็นทางสองแพร่งนั้น ก่อนอื่นต้องทำใจเป็นกลางก่อน ใครทำใจเป็นกลางได้จะพิจารณาเห็นทางสองแพร่ง แต่หากใครมีอคติ (Bias) อยู่แน่นอนจะเห็นทางเพียงทางเดียว คือ "ทางที่ตนพอใจ" สำหรับทางสองแพร่ง คือ เมื่อถูกวิจารณ์ในเชิงตำหนิจะเกิดอารมณ์ไม่พอใจคนติหรืออาจเกิดความซาบซึ้งในคำตำหนิที่กล้าพูดตรงไปตรงมา เมื่อหันมาปรับปรุงตนเอง

 

                     คนเราต่างจิตต่างใจ สิ่งที่เราพูดออกมาอาจจะถูกรสนิยมของคนหนึ่ง แต่อาจไม่ถูกรสนิยมของอีกคนหนึ่งก็ได้ แต่หากเราเป็นคนเข้าใจชีวิต เข้าใจเหตุผล สามารถวางเฉยเสียได้ในจิตใจเรา    ความสะอาดบริสุทธิ์ย่อมอยู่กับเราเสมอ
 
                   ในมุมมองของนายทุน ย่อมอาจพูดได้ว่า ละครเรื่องนี้ สะท้อนปัญหาสังคม      เด็ก ๆ ดูไว้จะได้เป็น อุทาหรณ์ ไม่เอาเป็นแบบอย่างเป็นการสอนสังคมและการดูก็มีผู้ใหญ่คอยชี้แนะอยู่แล้ว ย่อมเป็นข้อดีต่อสังคมในทางทฤษฎีอาจจะใช้แต่ในโลกความเป็นจริง มันเป็นเช่นนี้หรือเปล่า เพราะการที่เด็กดู T.V. ดูการแสดงความก้าวร้าว ความรุนแรงออกมาทางเพศ ทางคำพูด กริยา ท่าทาง(ภาษากาย) มันซึมซับความรุนแรงไม่รู้ตัวครับ คล้าย ๆ กับ การเล่นเกมคอมพิวเตอร์ Game computer การดู T.V. เป็นการสื่อสารทางเดียวครับ สังเกตสิครับเราดูละครเรื่องนี้มันมีอารมณ์ร่วม มีทั้งสะใจ พอใจ โกรธ เกลียดตัวละครในตัว มันเป็นเรื่องโรคทางอารมณ์และความคิดครับ บางครั้งดูเสร็จยังรู้สึกหงุดหงิดเลยครับ เพราะขนาดที่เราเสพละครอยู่นั้นอย่าคิดว่า เรามีสติอยู่ตลอดเวลานะขอบอกมีทั้งเผลอมีทั้งหลง บางครั้งลืมตัว ว่าเราไม่ได้เป็นคนดู แต่เป็นคนแสดงเองก็มี มีความรู้สึกร่วมด้วยกับตัวละคร ปัจจุบันการล้างสมองคนโฆษณาชวนเชื่อก็ผ่านสื่อกันทั้งนั้นและครับ 555 โดยเฉพาะ T.V. ครับ

 

                ดังนั้นเราควรคิดว่า เราควรจะทำอย่างไรจึงก่อให้เกิดความตระหนักรู้ถึงความรุนแรงทางเพศ การเอารัดเอาเปรียบทางสังคมบ้านเรา ความพุ่งเพ้อ เด็กติดการพนัน เด็กคิดไม่เป็น หรอกครับ
 
           เรามักจะได้ยินคำกล่าวในโอกาสต่าง ๆ อยู่เสมอว่า ขอให้มีความรักความซื่อสัตย์ ความสามัคคีกัน   และไม่ชิงสุกก่อนห่าม แต่ไม่เคยมีใครที่จะชี้แจง เลยว่าเราจะทำอย่างไร เพื่อให้บังเกิดสิ่งที่เราปรารถนา ฟัง ๆ ดูแล้วเสมือนกับว่า การสร้างความรัก ความสามัคคี การไม่ชิงสุกก่อนห่าม การไม่ยกพวกตีกัน การไม่เล่นการพนัน มันง่ายมาก แค่ดูละครแล้วเยาชนไทย เราจะหันมาหลับหูหลับตารักกันได้ เพราะเห็นแก่สวนร่วม หลังจากดูละคร T.V. ที่นำเสนอหากจะพิจารณากันจริง ๆ แล้ว
            เราอยากได้ผลเชิงลึกแล้ว เราต้องมาพิจารณากันด้วยเหตุและผล มีอะไรบ้างที่เป็นสาเหตุของ การมีภรรยาน้อย การใช้ความรุนแรงในครอบครัว ครอบครัวแตกแยก การฟุ่มเฟือย โสเภณีเด็ก เด็กขายตัว แล้วจึงแก้ที่สาเหตุนั้น ๆ มากกว่า การขอร้องด้วยปากเปล่าหรือแต่งคำขวัญให้อ่านเป็นประจำ จนเบื่อระอาหูด้วย คำพูดซ้ำ ๆ ซาก ๆ การที่เด็กใจแตก ครอบครัวมีกิ๊กก็คงไม่บรรเทาเบาบางลงได้ (หาอ่านได้ในหนังสือ ศ.ระพี สาคริก ครับ) ต้องหาสาเหตุแล้วแก้ที่เหตุครับ เขาเรียกว่า Root cause Analysis หาตัวเลขของปัญหา แล้วแก้ครับจึงจะได้ผล
               เพียงข้าวเมล็ดเดียว แบบคุณระเบียบรัตน์ ก็มีผลครับ อย่าท้อครับ หากเธอเชื่อมั่นในความคิดดี ทำดี อย่ากลัวครับ เพียงผู้กล้าเพียงคนเดียว ก็ช่วยสังคมให้ปลอดภัยครับ (ถ้าจิตใจฝึกถึงระดับจะไม่ยุบไม่พองครับ กับคำชื่นชม หรือคำ ตำหนิ)
สงสัยจังครับ...คนที่รับผิดชอบ หายไปไหน เจ้าทุยอยู่ไหน เจ้าทุยอยู่ไหน...เพลงของ คุณปีเตอร์ เพราะดีครับ
                  การอบรมสั่งสอน ชี้แนะเยาวชน ต้องให้ความรักก่อนให้ความรู้ (ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ) การเป็นแบบอย่างที่ดี การโอบกอด การสบตา การพูดคุยสื่อสาร 2 ทาง   ต้องมีความสม่ำเสมอ และต้องใช้ระยะเวลา ทำซ้ำ ๆ และเป็นแบบอย่างที่ดี และละครมันเข้ากับหลักการแบบนี้ตรงไหน...นายทุนพูดเองเออเอง แบบคนไม่รับผิดชอบเลยนี่หนาๆๆๆ พูดเอาแต่ได้ประโยชน์ ฟังดูน่าจะ OK หากใช้สติพิจารณาแล้ว มัน...ไม่...ซ้าย ฯฯฯ (ช้าย) ครับนาย พวกนี้ไม่เกิดกับครอบครัวตนเองหรือคนที่เรารักไม่รู้สึกหรอกครับ 555 สาธุ สาธุ...?
           ลองคิดดูว่าแค่ เราสอนลูกเรา เรื่องวินัย ให้ตื่นแต่เช้าไปโรงเรียนให้ทันเวลา เรา พูดซ้ำ ๆ และต่อเนื่องใช้ความเข้าใจ ความอดทน มากแค่ไหนครับ ขอบอกเป็นหลาย ๆ เดือนเชียวครับ แล้วละครตอนเดียว มันจะได้ผลเราะ ขำกลิ้ง ถ้าจะได้ก็คงจะได้แค่เรื่องของอารมณ์ Emotion ครับ คนเราจะจดจำเรื่องราวที่มีอารมณ์ได้ง่ายกว่าเหตุผลครับ สังเกตซิ เราจะจำเรื่องสะเทือนใจได้ดีกว่าเรื่องดี ๆ
          T.V. ไม่มีองค์ประกอบของความรัก ความเมตตา ความหวังดีและความเข้าอกเข้าใจเด็กในแต่ละคน ละครไม่มีความผูกพัน ไม่มีการหยุดสอนว่าตอนไหนดีตอนไหนไม่ดี มันเป็นการนำเสนอไปเรื่อยๆ ตามวัตถุประสงค์ของนายทุน ความบันเทิง และผลกำไร เป็นตัวตั้งครับ ผมพอเข้าใจได้ T.V. ละคร ทำแทนความรักของพ่อแม่ไม่ได้ครับ ละครบางเรื่องอาจเหมาะสมกับคนบางคนแต่ก็ไม่เหมาะสมกับคนทุกคนครับ มันมีทั้งดีและเสีย
คำถาม 1. ท่านคิดว่า...ละครช่วยสั่งสอนเยาวชนได้จริงหรือไม่
2. ระบบทุนนิยม เจตนาและหวังดีต่อเยาวชนหรือไม่ เป้าหมายคืออะไร
3. เจ้าทุย...อยู่ไหน ใครพบช่วยบอกหน่อย
4. ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องไปอยู่ที่ไหนครับ 
หมายเลขบันทึก: 438762เขียนเมื่อ 10 พฤษภาคม 2011 12:12 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:43 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ทุกอย่างมี 2 ด้านอย่างคุณหมอว่าจริงๆ หรืออาจจะมากกว่าก็เป็นได้ค่ะ
หลายเรื่องที่ ก็เห็นด้วยกับคุณระเบียบรัตน์ แต่บางเรื่องก็อาจต้องลดความเข้มลง
ค่อยๆ ปรับกันไป สอนเด็กให้คิดเป็นต้องมีทั้งศาสตร์และศิลป์ ที่แน่ๆ พ่อแม่ผู้ปกครองนั่นแหละ เป็นต้นแบบ น้อยนักที่จะมีแบบผ่าเหล่าผ่ากอ(ซึ่งก็จนใจ)

เห็นด้วยกับการแสดงความคิดเห็นของคุณหมอ เนื่องจากการแก้ปัญหาสังคมปัจจุบันควรย้อนกลับไปดูที่สาเหตุมากกว่าการนั่งวิจารณ์บทละคร และให้ความใส่ใจกับปัญหาจริงๆ ไม่ใช่ เป็นไฟไหม้ฟางของสังคมไทยที่นิยมกระทำ เพราะสภาพสังคมปัจจุบันน่ากลัวกว่าในละคร

สวัสดีค่ะ

ควรมีกระบวนการการสอนคิดให้กับเด็กและเยาวชนค่ะ  รวมทั้งการนำหลักธรรมมาฝึกสอนเพื่อเป็นแนวทางในการพินิจพิเคราะห์  การมองโลกในแง่ดี  การเข้าใจผู้อื่น ด้วยความรัก เมตตา ก่อนการตัดสินใจ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท