สรุปผล อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ
การศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาจริยธรรมต่อสิ่งแวดล้อมโดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม สำหรับนิสิตชั้นปีที่ 3 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม่ เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi Experimental Research) ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมในพัฒนาพฤติกรรมจริยธรรมต่อสิ่งแวดล้อม
สำหรับเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แนวทางการสอนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมจำนวน 4 แผน แบบสังเกตพฤติกรรม แบบบันทึกบทวิเคราะห์การเรียนรู้ และแบบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียนใน 3 ด้านได้แก่ ความตระหนักต่อสถานการณ์สิ่งแวดล้อม ระดับจิตสำนึกต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งพฤติกรรมการใช้และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
กลุ่มประชากรในการศึกษาเป็นนิสิตสาขาวิชาเอกการสอนสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์ชั้นปีที่ 3 ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาการศึกษากับสิ่งแวดล้อม ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2547 จำนวน 16 รูป ซึ่งผู้วิจัยเป็นผู้สอนประจำรายวิชาดังกล่าว สำหรับระยะเวลาในการดำเนินการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูลใช้เวลา 18 คาบ ประกอบด้วยการทดสอบก่อนและหลังเรียน 1 คาบ การทดลองสอน 1 7 คาบ ในส่วนของขั้นตอนการดำเนิน เริ่มจากการเก็บรวบรวมข้อมูลขั้นแรกโดยการทดสอบก่อนเรียน ด้วยแบบทดสอบที่สร้างขึ้น และทำการสอนตามแนวทางการสอนที่เน้นกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมที่สร้างขึ้น ใช้เวลาในการสอน 17 คาบ คาบละ 50 นาที ในระหว่างการเรียนการสอนผู้วิจัยได้สังเกตพฤติกรรมผู้เรียนและบันทึกแบบสังเกตพฤติกรรม ภายหลังจากการสอนครบ 17 คาบ ได้ดำเนินเก็บรวบรวมข้อมูลครั้งสุดท้ายด้วยการทดสอบหลังเรียน เพื่อนำผลการทดสอบมาวิเคราะห์ข้อมูล
ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้นำคะแนนทดสอบก่อนและหลังเรียนของนิสิต มาวิเคราะห์ผลด้วยใช้สถิติพื้นฐานได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน จากนั้นจึงนำมาเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ โดยใช้ค่า T – test
ผลการศึกษาพบว่า นิสิตมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยมีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนทั้ง 3 ด้านคือ
ด้านความตระหนักต่อสถานการณ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งพบว่า ภายหลังการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมนิสิตมีความตระหนักต่อสถานการณ์สิ่งแวดล้อมในระดับมากที่สุด โดยมีคะแนนเฉลี่ยที่ 4.93ซึ่งเป็นคะแนนเฉลี่ยที่สูงกว่าก่อนเข้าร่วมกิจกรรม อย่างมีระดับนัยสำคัญที่ระดับ 0.05
ด้านจิตสำนึกต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งพบว่า ภายหลังการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมนิสิตมีการพัฒนาระดับขั้นของจิตสำนึกต่อสิ่งแวดล้อมสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีระดับนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 ทั้งนี้ นิสิตได้มีการพัฒนาระดับขั้นของจิตสำนึกสูงขึ้น จากเดิมนิสิตส่วนใหญ่มีระดับขั้นจิตสำนักในระดับตอบสนอง ต่อมาภายหลังการเรียนได้พัฒนาเป็นระดับขั้นการจัดระบบคุณค่าและการจัดระบบ
ด้านพฤติกรรมการปฏิบัติ ซึ่งพบว่า ภายหลังการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมนิสิตมีลักษณะพฤติกรรมการใช้และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมในระดับมากที่สุด โดยมีคะแนนเฉลี่ยที่ 4.73 ซึ่งเป็นคะแนนที่สูงกว่าก่อนเข้าร่วมกิจกรรม อย่างมีระดับนัยสำคัญที่ระดับ 0.05
ผลการวิจัยดังกล่าวได้แสดงถึง การพัฒนาจริยธรรมต่อสิ่งแวดล้อมของนิสิต กล่าวคือ นิสิตมีการพัฒนาความตระหนัก ระดับจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการพัฒนาพฤติกรรมการปฏิบัติต่อการใช้และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งสามารถวัดประเมินได้จากแบบทดสอบที่สร้างขึ้น
โดยนัยนี้จึงอาจสรุปได้ว่า นิสิตได้เกิดการพัฒนาจริยธรรมต่อสิ่งแวดล้อม หลังจากการเรียนรู้ด้วยแนวทางการสอนแบบมีส่วนร่วม ซึ่งผลการวิจัยนี้เป็นไปตามสมมติฐานของการวิจัยที่ได้ตั้งไว้
นอกจากนี้ นิสิตยังมีความพึงใจต่อกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม ในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยที่ 4.57
จากผลการวิจัยพบว่า นิสิตมีคะนนค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียน รวมทั้ง 3 ด้านคือ คะแนนความตระหนักต่อสถานการณ์สิ่งแวดล้อม คะแนนเฉลี่ยจิตสำนึกต่อสิ่งแวดล้อม และ คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการปฏิบัติในการใช้และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 โดยมีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และนิสิตยังมีความรู้สึกพึงพอใจต่อกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมในระดับที่มากที่สุด ซึ่งผลการวิจัยดังกล่าว เป็นไปตามสมมติฐานของการวิจัย ดังนั้นจึงแสดงว่า นิสิตที่ได้ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมสามารถพัฒนาจริยธรรมต่อสิ่งแวดล้อม โดยนัยนี้สามารถอาจกล่าวได้ว่า ผลจากการที่นิสิตได้ร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ในลักษณะที่สอดคล้องกับความต้องการ ใกล้เคียงกับความเป็นจริงในวิถีปฏิบัติ และสภาพการณ์ทางสังคม ได้มีโอกาสสัมพันธ์ สัมผัสและฝึกปฏิบัติ ทำให้เกิดการเรียนรู้ ตระหนักถึงคุณค่าความสำคัญของสิ่งแวดล้อม และสามารถปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม ซึ่งข้อค้นพบนี้สอดคล้องกับแนวคิดเรื่องการเรียนรู้ ที่ สุรางค์ โคว้ตระกูล (2541 . หน้า 185) ได้กล่าวว่า การเรียนรู้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านความรู้ ความเข้าใจ และความคิด ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ ความรู้สึก ทัศนคติและค่านิยม รวมทั้งทักษะความชำนาญ ซึ่งการเรียนรู้ที่ดีควรเป็นการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของผู้เรียน คำนึงถึงความพร้อมของผู้เรียน และอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่สนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ รวมทั้งการคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของผู้เรียนเป็นสำคัญ และผลการวิจัยนี้ยังสอดคล้องกับข้อเสนอเกี่ยวกับองค์ประกอบในการสร้างคุณธรรมจริยธรรมต่อสิ่งแวดล้อมในระบบการศึกษา ซึ่งวราพร ศรีสุพรรณ (2536 .หน้า 74)ได้กล่าวว่าการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมต่อสิ่งแวดล้อมต้องพิจารณาองค์ประกอบใน 4 ด้านหลักคือ 1.เป้าหมายของการเรียนรู้ ซึ่งต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนมีจิตสำนึกอย่างเต็มเปี่ยมที่จะมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม 2 . การกำหนดเนื้อหาสาระในการเรียนรู้ ซึ่งต้องขยายความรู้ทางสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เกิดความเข้าใจธรรมชาติและขีดจำกัดของธรรมชาติ ด้วยการขยายฐานประสบการณ์ทางสังคมเพื่อสร้างการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน 3. กระบวนการเรียนรู้ต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเกิดการคิด เพื่อแสวงหาคุณค่าของชีวิต ส่งเสริมวุฒิภาวะของตนเอง เข้าใจสังคมและเพื่อนมนุษย์ และพัฒนาระบบคิดที่มีคุณธรรมในตนเอง 4. ผลที่เกิดขึ้นคือ คุณลักษณะของประชากรที่พึงประสงค์ ที่เข้าใจตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม สามารถอยู่ร่วมได้อย่างเหมาะสม
ในขณะเดียวกันจากลักษณะของกิจกรรมการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้สัมผัสบรรยากาศแห่งความร่วมมือร่วมใจในการพัฒนาอนุรักษ์ป่าไม้ และสิ่งแวดล้อมของผู้คนในชุมชน การได้รับฟังคำบอกเล่าประสบการณ์ในการจัดการทรัพยากร ได้จุดประกายและจิตสำนึกร่วมในการอนุรักษ์หวงแหนทรัพยากรธรรมชาติ ด้วยความตระหนักถึงวัฎจักรความสัมพันธ์ในระบบนิเวศน์ ซึ่งกิจกรรมการเรียนรู้เช่นนี้ สอดคล้องกับแนวคิดในการปลูกฝังคุณธรรมด้วยการเรียนรู้ทางสังคม ที่ Bandura ( 1977 อ้างในชัยพร วิชชาวุธ และคณะ . 2544 , หน้า 131 – 134) กล่าวว่า การเรียนรู้ของมนุษย์เกิดจากประสบการณ์ตรงของตนเอง และการสังเกตพฤติกรรมของผู้อื่น รวมทั้งการเรียนรู้ จากการรับฟังการบอกเล่าของผู้อื่น ดังนั้นวิธีการปลูกฝังจริยธรรมตามแนวการเรียนรู้ทางสังคมที่ได้ผล คือ การจัดมวลประสบการณ์ทั้งทางตรงและทางอ้อมให้ผู้เรียนได้สัมผัสเพื่อให้เกิดความเชื่อ อันจะนำไปสู่การแสดงพฤติกรรม รวมทั้งการจัดเงื่อนไขทางสังคมเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ และแนวคิดดังกล่าวนี้ยังสอดคล้องกับผลการวิจัยของ Flint (1991 อ้างใน วารี ชีวะเจริญ .2537) ที่ได้ทำการศึกษาการสอนสิ่งแวดล้อมนอกห้องเรียน : ผลการเรียนรู้ทัศนคติของนักเรียนมัธยมปลาย โดยการนำนักเรียนออกศึกษาสิ่งแวดล้อมนอกห้องเรียนพร้อมทั้งศึกษาผลของความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และพบว่า หลังการเรียนการสอนนักเรียนมีทัศนคติต่อสิ่งแวดล้อมสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เช่นเดียวกับผลการวิจัยของ บรรชร กล้าหาญและคณะ (2548) ที่ได้ทำการศึกษาเรื่องการจัดการกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมเพื่อสร้างจิตสำนึกในเรื่องทรัพยากรน้ำให้แก่นักศึกษาอาชีวเกษตร ซึ่งพบว่า กระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมสามารถพัฒนาให้นักศึกษาเกิดจิตสำนึกต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้รูปแบบการเรียนรู้จะต้องประกอบด้วย 3 ลักษณะคือ การเรียนรู้แบบเป็นทางการ การเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการและการเรียนรู้ตามอัธยาศัย ซึ่งการเรียนรู้ทั้งสามลักษณะจะต้องสอดประสานระหว่างกันเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เรียน สอดคล้องกับวิถีชีวิตและสภาพความเป็นจริงของสังคมวัฒนธรรม ในส่วนของวิธีการเรียนรู้ได้แก่ การสร้างกระบวนทัศน์แบบไทย ที่เน้นการเรียนรู้เรื่องราวของท้องถิ่น การใช้มิติทางวัฒนธรรม ที่มุ่งให้เกิดความสนใจใคร่รู้ถึงวิถีชีวิต แบบแผนความคิด ความเชื่อ และการปฏิบัติในท้องถิ่น และการเรียนรู้แบบบูรณาการและซึมซับ ที่เน้นการมีส่วนร่วมสูงสุด การใช้เทคนิควิธีที่หลากหลายเพื่อกระตุ้นให้เกิดการคิดวิเคราะห์ และการใช้พลวัตรกลุ่ม
ด้วยเหตุนี้ ผลจากการพัฒนาจริยธรรมด้านความตระหนักต่อสถานการณ์สิ่งแวดล้อม จึงพบว่า หลังเรียนนิสิตมีการพัฒนาจริยธรรมด้านความตระหนักต่อสถานการณ์สิ่งแวดล้อมในระดับมากที่สุด โดยมีคะแนนเฉลี่ยที่ 4.93 ซึ่งมีค่าสูงกว่าคะแนนก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 ซึ่งที่เป็นเช่นนี้อาจสามารถอธิบายได้ว่า เกิดจากการจัดกระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมที่มีการใช้กิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลายในการกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการคิด วิเคราะห์ เช่น กิจกรรมการวิเคราะห์ปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วยเทคนิค Fish bone กิจกรรมการวิเคราะห์วงจรผลิตภัณฑ์ ด้วยเทคนิค LCA หรือ กิจกรรมการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของระบบนิเวศน์ด้วยเทคนิค Matrix ทั้งนี้กิจกรรมต่าง ๆดังกล่าวล้วนมุ่งเน้นให้เกิดการเรียนรู้อย่างซึมซับ และสามารถผสมผสานความเป็นเหตุผลร่วมกับความเป็นอิสระทางความคิด และผลจากการฝึกซ้ำย้ำทวนในการคิดวิเคราะห์ จะก่อเกิดกระจ่างชัดในค่านิยมด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งข้อค้นพบนี้สอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาจิตสำนึกทางสิ่งแวดล้อม ที่ วราพร ศรีสุพรรณ (2535 . หน้า 132) ได้กล่าวว่า การสร้างจิตสำนึกทางสิ่งแวดล้อมจะต้องสร้างทรรศนะใหม่ว่า มนุษย์ทุกคนเป็นผู้ใช้ทรัพยากรร่วมกัน เป็นผู้อยู่ร่วมแห่งกาลเวลาปัจจุบัน ร่วมยุคสมัย และสืบสายสัมพันธ์แห่งอดีตและอนาคต ซึ่งโดยนัยนี้การสร้างจิตสำนึก จึงประกอบด้วยการสร้างระบบคิดหรือค่านิยมที่จะสร้างความเป็นธรรมในจัดสรรทรัพยากรธรรมชาติ ผ่านระบบคุณค่าทางสังคมและการดำรงชีวิต และการพยายามสร้างการเรียนรู้ผ่านวิธีการเรียนรู้ที่หลากหลาย เพื่อสร้างให้เกิดความเข้าใจถึงความเป็นจริงของธรรมชาติ เกิดการมองเห็นตนเองที่เป็นจริง โดยการมองโลกและมนุษย์แบบเป็นองค์รวม ว่า มนุษย์คือส่วนย่อยของโลก และสิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้อิงอาศัยกันอย่างเป็นระบบ ซึ่งการเรียนรู้เช่นนี้จะทำให้เกิดสำนึกรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมโดยรวม อันจะทำให้สามารถกำหนดทิศทางในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองและธรรมชาติในลักษณะที่มีคุณธรรม ดังจะปรากฏจากค่านิยมในการดำรงชีวิตแบบเรียบง่ายและมีคุณธรรม
ทั้งนี้วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นการคิดวิเคราะห์ดังกล่าวยังสอดคล้องกับแนวคิดการปลูกฝังจริยธรรมด้วยการกระจ่างค่านิยม ที่ Rath , Harmin and Simon (1966 อ้างในชัยพร วิชชาวุธ และคณะ . 2544. หน้า 120 – 124) ได้กล่าวว่า การปลูกฝังจริยธรรมด้วยการกระจ่างค่านิยม เน้นการให้ผู้เรียนได้ค้นพบตนเอง ว่า หลักการที่ตนเองประพฤติปฏิบัติเป็นเช่นไร มีควรค่าแก่การปฏิบัติหรือไม่ โดยการเลือกกระทำอย่างเป็นอิสระจากทางเลือกหลาย ๆ ทาง ไม่มีการบังคับ หากแต่จะส่งเสริมให้เกิดการพิจารณาผลของการกระทำ ทำให้เกิดความยินดีภูมิใจในสิ่งที่ทำ และตัดสินใจกระทำซ้ำ จนก่อเกิดเป็นค่านิยม เช่นเดียวกับแนวคิดของวินัย วีระวัฒนานนท์
( 2530 . หน้า 154) ซึ่งกล่าวถึง การสอนเพื่อปลูกฝังค่านิยมเรื่องสิ่งแวดล้อมว่า การสอนสิ่งแวดล้อมที่ดีควรมีการฝึกหัดผู้เรียนในลักษณะต่าง ๆ เช่น การแสดงทัศนะต่อสิ่งแวดล้อม การสร้างทางเลือกที่หลากหลายในการคิด การวิเคราะห์หาเหตุผล การแสวงหาแนวทางในการแก้ไขปัญหา การได้เลือกแนวทางในการแก้ไขปัญหาโดยอิสระ การฝึกปฏิบัติในสถานการณ์จริงและ การฝึกกระทำซ้ำเพื่อเกิดการซึมซับเป็นนิสัย ทั้งนี้กระบวนการเรียนการสอนเพื่อสร้างค่านิยม เจตคติ และจริยธรรมนั้น เสริมศรี ไชยศร ( 2539 . หน้า 136 – 139) ได้กล่าวว่า วิธีการสอนเจตคติ หรือจริยธรรมที่ดี ผู้สอนต้องทำตนเป็นแบบอย่าง หรือการแสวงหาตนแบบพฤติกรรม และมีการจัดการเรียนการสอนในหลากหลายรูปแบบ เพื่อให้ผู้เรียนมีประสบการณ์หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่นำไปสู่สิ่งที่ต้องการ เน้นให้มีการฝึกปฏิบัติในลักษณะต่าง ๆ ทั้งการฝึกการคิดอย่างมีเหตุผล การทำงานเป็นกลุ่ม การวิเคราะห์หาทางเลือก รวมทั้งการปรับพฤติกรรมเพื่อให้เกิดพฤติกรรมตามเป้าหมาย
นอกจากนี้ผลจากการพัฒนาจริยธรรมด้านจิตสำนึกต่อสิ่งแวดล้อมพบว่า หลังจากการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม นิสิตมีการพัฒนาระดับขั้นของจิตสำนึกต่อสิ่งแวดล้อมสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีระดับนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 ทั้งนี้ นิสิตได้มีการพัฒนาระดับขั้นของจิตสำนึกสูงขึ้น จากเดิมนิสิตส่วนใหญ่มีระดับขั้นจิตสำนักในระดับตอบสนอง ต่อมาภายหลังการเรียนได้พัฒนาเป็นระดับขั้นการจัดระบบคุณค่าและการจัดระบบ ทั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นผลเนื่องมาจากลักษณะการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นกระบวนการคิดวิเคราะห์ผ่านกลไกพลวัตรกลุ่มในลักษณะต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ข้อมูล ประสบการณ์ และทัศนคติระหว่างกัน เพื่อนำสู่การคิด วิเคราะห์ การแสวงหาทางเลือกในการแก้ไขปัญหาหรือการปฏิบัติที่เหมาะสม และการสรุปสร้างองค์ความรู้ร่วมกัน อันจะนำสู่การสร้างและพัฒนาจริยธรรมด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งวิถีการเรียนรู้เช่นนี้สอดคล้องกับแนวคิดการปลูกฝังจริยธรรมด้วยเหตุผลที่ Kohlberg ( 1963 อ้างในดวงเดือน พันธุนาวินและคณะ . 2536. หน้า 12 –15) ได้กล่าวว่า การปลูกฝังจริยธรรมต้องประกอบด้วยการคิดไตร่ตรอง เพื่อพิจารณาทำความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ โดยอาศัยข้อมูล รวมทั้งประสบการณ์ทางสังคมที่ได้รับ หรือการรับฟังจากบุคคลอื่น ซึ่งบุคคลจะมีการสำรวจ และจัดระเบียบความคิดความเข้าใจ ด้วยการจำแนกประเด็นต่าง ๆ ให้มีความชัดเจนและมีการบูรณาการเข้าด้วยกัน ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการคิดไตร่ตรอง จึงต้องใช้การอภิปรายแลกเปลี่ยนทัศนะ ในลักษณะเช่นนี้ การอภิปรายแลกเปลี่ยนทัศนะจึงเป็นหัวใจสำคัญของการปลูกฝังจริยธรรมด้วยเหตุผล โดยนัยเช่นนี้แนวคิดของการปลูกฝังจริยธรรมด้วยการกระบวนการคิดวิเคราะห์ยังได้รับการสนับสนุนจากผลการวิจัยของ วารี ชีวะเจริญ (2537) ได้ศึกษาการพัฒนาจริยธรรมในวิชาสิ่งแวดล้อมศึกษาโดยการสอนเน้นทักษะกระบวนการสำหรับนักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งพบว่า นักศึกษามีสัมฤทธิ์ผลทางการเรียน มีทักษะการคิด และแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม มีเจตคติ และมีคะแนนรวมหลังการเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 จากผลของคะแนนวัดผลสัมฤทธิ์และคะแนนเจตคติที่สูงขึ้น แสดงว่า นักศึกษามีความรู้และเจตคติที่ดีขึ้น ซึ่งแสดงถึงการพัฒนาความรับผิดชอบความรับผิดชอบของนักศึกษา และจากการที่นักศึกษมีคะแนนทักษะการคิดและการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมสูงขึ้น แสดงถึงการพัฒนาทักษะการคิดและการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม จึงสรุปได้ว่า แผนการสอนที่เน้นทักษะกระบวนการในการเรียนการสอนสามารถพัฒนาให้ผู้เรียนมีความรับผิดชอบ มีทักษะการคิดและการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่นเดียวกับผลการวิจัยของ ศิริพร ชีพประกิต (2533) ซึ่งได้ทำการศึกษาเรื่อง การพัฒนาค่านิยมด้านสิ่งแวดล้อมโดยใช้กระบวนการกระจ่างค่านิยม สำหรับนักศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 2 วิทยาลัยอาชีวศึกษาจังหวัดภูเก็ต โดยการสร้างชุดปฏิบัติการพัฒนาค่านิยมด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อเพื่อเปรียบเทียบค่านิยมด้านสิ่งแวดล้อมของนักศึกษาก่อนและหลังการใช้ชุดปฏิบัติการ รวมทั้งใช้แบบวัดค่านิยมด้านสิ่งแวดล้อม 6 ด้านคือ การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การร่วมมือพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ขิงตนเองและสังคม การยอมรับกลุ่มบุคคลและชาติพันธุ์หรือกลุ่มชนชั้นที่แตกต่างไปจากตนเอง การมีเจตคติที่ดีต่อการเปลี่ยนแปลงก่อนและหลังการใช้ชุดฝึกปฏิบัติการ ซึ่งผลการวิจัยพบว่า หลังใช้ชุดปฏิบัติการโดยกระบวนการกระจ่างค่านิยม นักศึกษามีค่านิยมด้านสิ่งแวดล้อมทั้ง 6 ด้าน สูงกว่าก่อนใช้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
อย่างไรก็ตาม จากการที่ผู้เรียนทั้งหมดเป็นภิกษุในพุทธศาสนา ซึ่งได้ผ่านกระบวนการขัดเกลาทางสังคมเกี่ยวกับวัตรปฏิบัติตามหลักธรรมวินัยของสงฆ์ต่อสิ่งแวดล้อมในประเด็นต่าง ๆ ดังนั้นในการออกแบบแนวทางการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมที่ผู้วิจัยใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ส่วนหนึ่งจึงเป็นการนำเอาหลักธรรมในพุทธศาสนามาบูรณาการเพื่อการพัฒนาจริยธรรมต่อสิ่งแวดล้อม ร่วมกับการเรียนรู้หลักวิชาการทางด้านสังคมและวิทยาการเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม เช่น กิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการคิดวิเคราะห์ตามหลักกาลามาสูตร , หลักปฏิจจาสมุปบาท , การอภิปรายแนวทางการจัดการสิ่งแวดล้อมปธาน 4 และหลักศีล 5 ซึ่งหลักการดังกล่าวเป็นสิ่งที่นิสิตได้รับการกล่อมเกลาในองค์กรสงฆ์ ดังนั้นเมื่อนำมาปรับบูรณาการดังกล่าว จึงทำให้ผู้เรียนสามารถแสดงการคิดวิเคราะห์ได้อย่างมีเหตุผล มีความเชื่อมโยงสภาพการณ์ทางสังคม และวิถีปฏิบัติได้อย่างสอดคล้อง ทำให้เกิดการพัฒนาจริยธรรมต่อสิ่งแวดล้อม โดยนัยนี้จึงสามารถอธิบายได้ตามแนวคิดของพระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตโต . 2535 . หน้า 87 – 91 ) ซึ่งกล่าวว่า สังคมไทยได้รับอิทธิทางความคิดและการปฏิบัติต่อสิ่งแวดล้อมตามแนวคำสอนของหลักธรรมทางพุทธศาสนา ซึ่งประกอบด้วย การถือหลักธรรมชาติ หลักความเป็นเหตุผลหรือปฏิจจาสมุปบาท และหลักกาลามสูตร เช่นเดียวกับปริญญา นุตาลัยและคณะ (2535 . หน้า 303 – 304) ซึ่งยังได้เสนอหลักธรรมที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาจริยธรรมต่อสิ่งแวดล้อมได้แก่ ปธาน 4 , ความไม่เบียดเบียน , ศีล 5 , ความเมตตาและความสันโดษ ซึ่งแนวคิดเหล่านี้ได้รับการพิสูจน์จากผลการวิจัยของ Natadecha (1991 อ้างใน วารี ชีวะเจริญ .2537) ซึ่งได้ทำการศึกษาเรื่องธรรมชาติและวัฒนธรรมของคนไทยเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่มีส่วนมากจากพฤติกรรมของสังคม (พุทธศาสนา) พบว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นผลเนื่องจากพฤติกรรมของบุคคลส่วนใหญ่ในสังคมที่ขาดความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่สัมพันธ์กับวิถีการดำเนินชีวิตในสังคม ดังนั้นจึงควรมีการนำเนื้อหาทางสังคมศาสตร์ โดยเฉพาะเรื่องวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม และมนุษย์ศาสตร์ในเรื่องปรัชญาเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและจริยธรรม มาจัดบูรณาการกับสิ่งแวดล้อมศึกษา จะสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาสิ่งแวดล้อมในอนาคตได้ เช่นเดียวกับผลการวิจัยของศิริวรรณ โอสถานนท์ (2535) ที่ได้ทำการศึกษาเรื่อง พุทธศาสนากับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อการนำหลักคำสอนของพุทธศาสนานิกายเถรวาทมาประยุกต์แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย โดยการรวบรวมข้อมูลจากเอกสารปฐมภูมิและทุติยภูมิจากพระไตรปิฎก ตำรา วิทยานิพนธ์และอื่น ๆ ซึ่งพบว่า สาเหตุของวิกฤตสิ่งแวดล้อมเกิดจากอุจเฉททิฏฐิหรือความเห็นผิด ได้แก่ทัศนะแบบวัตถุนิยม ทุนนิยมและคตินิยมลดทอน ดังนั้นแนวทางการแก้ไขคือ การเปลี่ยนความเห็นที่ผิดให้เป็นความเห็นที่ถูกคือ สัมมาทิฏฐิ ได้แก่ ทัศนะแบบธรรมชาตินิยมในพุทธศาสนา โดยประยุกต์หลักอัคคัญญสูตร สิงคลากสูตา และพระวินัย ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงถึงวิถีชาวพุทธว่า เป็นนักอนุรักษ์ ทั้งนี้ทั้งจากแนวคิดและผลการวิจัยต่าง ๆ พยายามชี้ให้เห็นว่า การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมต้องสร้างความคิดเจตคติที่ถูกต้อง ด้วยการบูรณาการผสมผสานที่เหมาะสมของศาสตร์สาขาต่าง ๆ
1. การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม สามารถนำมาใช้ในการสอนเพื่อพัฒนาจริยธรรมต่อสิ่งแวดล้อมได้ โดยผู้สอนควรต้องเน้นให้ผู้เรียนได้สะท้อนประสบการณ์ที่ได้รับรู้ หรือเคยปฏิบัติในวิถีชีวิต
กระตุ้นให้เกิดการคิดวิเคราะห์อย่างเชื่อมโยง สอดคล้องกับสถานการณ์ทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม
2. การออกแบบแนวทางการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมควรเน้นการจัดกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมสูงสุด ในการแสดงความคิด การฝึกปฏิบัติ และการนำเสนอผลการเรียนรู้ โดยในระหว่างการจัดกิจกรรมเรียนการสอน ผู้สอนควรมีการกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความตระหนักต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม เกิดความคิดที่จะร่วมมือแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม
ไม่เกิน 30 คน ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เรียนทุกคนได้มีส่วนร่วมสูงสุดในการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้โดยผู้สอนสามารถดูแลสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสม
จำนวนผู้เรียน จึงทำให้ไม่สามารถเปรียบเทียบผลการวิจัยได้ ดังนั้นหากมีการทดลองสอนสองกลุ่มคือ กลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุม จะช่วยให้สามารถเปรียบเทียบพัฒนาการของผู้เรียนทั้งสองกลุ่มได้ว่า กระบวนการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมสามารถพัฒนาจริยธรรมต่อสิ่งสิ่งแวดล้อมของผู้เรียนได้จริง หรือเกิดจากการที่ผู้เรียนสามารถพัฒนาจริยธรรมด้วยตนเอง
ดำเนินการสังเกตด้วยตนเอง ซึ่งสามารถทำได้อย่างทั่วถึงเนื่องจากจำนวนผู้เรียนมีเพียง 16 รูป ในลักษณะเช่นนี้ หากมีผู้เรียนจำนวนมาก การสังเกตพฤติกรรมด้วยผู้สอนเพียงคนเดียว บางครั้งอาจจะไม่สามารถสังเกตพฤติกรรมที่เกิดได้อย่างทั่วถึง
1. ควรมีการศึกษาวิจัยการใช้วิธีสอนแบบอื่น ๆ เพื่อการพัฒนาจริยธรรมต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การสอนแบบกระจ่างค่านิยม การเรียนรู้ทางสังคม กระบวนการทักษะการคิด และการปรับพฤติกรรม
ไม่มีความเห็น