กาเมสุมิจฉาจาร
หรือการประพฤติผิดในกามนั้น
ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสจะมุ่งเอาการมีเพศสัมพันธ์กับหญิงที่มารดาบิดารักษา
หญิงที่พี่ชายพี่สาวรักษา หญิงที่ญาติรักษา หญิงที่ยังมีสามี
หญิงที่ถูกซื้อตัวไว้
และหญิงที่ถูกจองตัวไว้แล้วด้วยเคริ่องหมั้นหมายเช่นแก้วแหวนหรือแม้ด้วยพวงมาลัยตามประเพณีท้องถิ่น
มักมีข้อสงสัยเกิดขึ้นเสมอว่าอย่างไรเรียกว่าศีลด่างพร้อย
อย่างไรเรียกว่าศีลขาดทะลุ
ถ้าเจ้าของเขาไม่รู้จะมีค่าเท่ากับไม่ได้ทำไหม?
เผลอทำแบบตกกระไดพลอยโจนโดยไม่เจตนาไว้แต่แรกถือว่าใช่ไหม?
แค่ทำอะไรภายนอกเข้าข่ายไหม?
ดูหนังโป๊เป็นบาปไหม?
ฯลฯ
ขอให้ใช้เกณฑ์คือความละอายต่อบาปเป็นเครื่องชี้
อวัยวะที่เกี่ยวข้องทางเพศนั้น
ความจริงเริ่มนับเอาตั้งแต่เนื้อหนังทีเดียว
พูดง่ายๆว่าทุกตารางนิ้วมีผล
หญิงชายไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวกันโดยธรรมชาติ
เว้นแต่จะเป็นเจ้าของกันและกัน
หรือผู้เป็นเจ้าของยินยอมโดยดี
ลองสังเกตสิ่งที่เรารู้อยู่แก่ใจ ว่าทุกสัมผัสนั้นล้วนต้องห้ามไปหมด
หากแตะต้องบุคคลมีเจ้าของด้วยความกำหนัด
ไม่ว่าจะอย่างไรก็เรียกว่าประพฤติผิดในกามทั้งสิ้น
ส่วนจะเข้าขั้นด่างพร้อยหรือขาดทะลุก็ขึ้นอยู่กับระดับความต้องห้ามของอวัยวะนั้นๆ
ขอแสดงเกณฑ์คร่าวๆไว้เป็นประมาณ
วัดเอาจากการใช้กำลังใจของคนทั่วไปในการทำผิดทางกามดังนี้
๑) หอมแก้ม
ใจเขายินดีทางเพศ ใจเราไม่ยินดีทางเพศ นับว่าด่างพร้อยราวๆ 10%
(คือรู้อยู่แก่ใจว่าเขาหอมด้วยความพิศวาสก็ยอมด้วยเงื่อนไขบางอย่าง
ทั้งที่ใจจริงไม่ได้อยากเอออวย)
๒) หอมแก้ม
ใจเขายินดีทางเพศ ใจเรายินดีทางเพศ นับว่าด่างพร้อยราวๆ
20%
๓) จูบปาก
ใจเขายินดีทางเพศ ใจเราไม่ยินดีทางเพศ นับว่าด่างพร้อยราวๆ 50%
(บางท้องถิ่นจูบปากกันแผ่วๆเพื่อกระชับสัมพันธ์
ถ้าต่างฝ่ายต่างไม่ยินดีทางเพศเลยจะไม่นับเข้าข่ายเลยเช่นกัน)
๔) จูบปาก
ใจเขายินดีทางเพศ ใจเรายินดีทางเพศ ถือว่าหวิดๆจะขาดทะลุมาได้
80%
(มีฝรั่งเคยเปรียบเทียบไว้ว่าจูบปากคือการเคาะประตูบนเพื่อถามว่าประตูล่างพร้อมหรือยัง)
๕)
เปลือยกายกอดจูบลูบไล้ตลอดจนหลั่งภายนอก
ใจจะยินดีหรือไม่ยินดีหรือไม่ยินดีทางเพศ
ก็ฉิวเฉียดขาดทะลุมาได้เกิน 90%
(บางคนรู้สึกว่าถ้าเพียงทำโอษฐกามยังไม่ผิดเต็มประตู
เพราะไม่ใช่เครื่องเพศทั้งสองฝ่าย ความรู้สึกจึงยังไม่เต็มร้อย
ซึ่งก็ใช่ตามธรรมชาติ แต่พิจารณาด้วยว่าถ้าพระให้หญิงอื่นทำ
ตามวินัยสงฆ์จะต้องถูกสึกสถานเดียว
ซึ่งก็แปลว่าโทษพอๆกับร่วมเพศแล้วเต็มที่)
๖)
อวัยวะเพศเข้าถึงกัน ใจจะยินดีหรือไม่ยินดีทางเพศ
ก็จัดว่าศีลข้อกาเมฯขาดทะลุแล้ว 100%
(เว้นแต่จะเป็นการข่มขืนโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
และฝ่ายถูกข่มขืนไม่มีความยินดีอยู่เลยตลอดการร่วม)
พระพุทธเจ้ามักตรัสถึงผลของการประพฤติผิดในกาม
(คือนับตั้งแต่ข้อแรกเป็นต้นมา) ว่าจะทำให้เป็นผู้ประสบภัยเวร
ซึ่งแน่นอนว่าต้องเกี่ยวข้องกับแง่มุมของศีลข้อหนึ่งๆ เช่นตรัสว่า
บุคคลผู้ประพฤติผิดในกาม ย่อมประสบภัยเวรในชาตินี้บ้าง ในชาติหน้าบ้าง
ย่อมโทมนัสบ้าง ภัยเวรในที่นี้ย่อมเกี่ยวกับเรื่องทางเพศนั่นเอง
ความอยู่ไม่สุข ความวิปริตผิดเพศทั้งหลาย
โดยมากมักไหลมาจากเหตุคือทำกรรมว่าด้วยการประพฤติผิดในกามนี่แหละ
แต่โทษานุโทษจะหนักเบา
จะถูกร้อยรัดแน่นหนาแกะไม่ออกเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับระดับของการขาดความยับยั้งชั่งใจ
ขอให้ดูตามจริง ผู้ลักลอบคบชู้มักมีอาการหมกมุ่นครุ่นคิด อัดอั้นตันใจ
ไม่อิ่มไม่พอ อยากเลิกก็อยากเลิก อยากเสพต่อก็อยากเสพต่อ
สองจิตสองใจแล้วๆเล่าๆอยู่อย่างนั้น นี่เรียกว่าเสวยทุกข์
มีความโทมนัส
เป็นวิบากในชาติปัจจุบันเห็นทันตา
ส่วนการประสบเวรภัยนั้น
วันหนึ่งอาจเผลอลักลอบมีชู้ในจังหวะที่เจ้าของเขากลับมา
แบบที่เรียกว่าจับได้คาหนังคาเขา ซึ่งเจ้าของก็จะบันดาลโทสะ
ก่อให้เกิดการทำร้ายหรือการเข่นฆ่ากันดังที่เห็นข่าวเป็นประจำ
พวกลักลอบเป็นชู้กันประจำมักไม่ค่อยรอด
ทั้งที่นึกว่าหลบๆซ่อนๆกันรอบคอบเพียงใด
ข่าวสารอาจเดินทางไกลในชั่วพริบตาได้
นี่เป็นวิบากในปัจจุบันเช่นกัน
และเรื่องของหญิงชายนั้น
แม้อยู่กินกันอย่างถูกต้องตามประเพณีก็ยังมีปากเสียงกันได้เรื่อยๆตามธรรมชาติของช่องว่างระหว่างเพศ
แต่นี่ลักลอบได้เสียกันอย่างผิดๆ
แน่นอนเมื่อโมโหโกรธามีปากเสียงขึ้นมาย่อมทำให้เกลียดชัง
คิดจองเวรกันได้หนักกว่าปกติ เพราะพื้นฐานจะมองกันและกันในทางต่ำ
จึงขาดความเคารพ
ขาดความรู้สึกอยากให้เกียรติกันอยู่แล้ว
การคบชู้กันอาจก่อให้เกิดสายใยผูกพัน เพราะร่วมทำผิดมาด้วยกัน
พอเจอกันในชาติใหม่ถ้าหากเป็นมนุษย์ก็มักมีความกระสันใคร่อยากในทันทีที่เห็นกัน
แต่มักมีอาการขนลุกระคนอยู่ด้วย
เพราะบาปเก่ามาเตือนว่าสัมพันธ์ระหว่างกันมีความดึงดูดเข้าหาเรื่องสกปรก
อีกอย่างหนึ่งเวลาที่เจอกันมักอยู่ในจังหวะเวลาผิดๆ
หรือมีเหตุการณ์ไม่ดีเป็นลางร้าย เมื่อทนความกำหนัดไม่ไหวแล้วสมสู่กัน
ก็จะมีเหตุให้ต้องทะเลาะเบาะแว้ง มีเหตุให้เกลียดชังกันอย่างรุนแรง
หรือกระทั่งอยากฆ่าแกงกันด้วยความทนไม่ได้
ตัวอย่างของการเคยร่วมผิดประเวณีกันมา
ที่ชัดหน่อยได้แก่ฝ่ายชายกลายเป็นหญิง
มาเจอคู่บาปเก่าที่ก็ยังคงเป็นหญิงอยู่
พบกันแล้วมีแรงดึงดูดให้พิศวาสกัน เกิดความใคร่อยากทันที
กลายเป็นพวกหญิงรักหญิงชนิดจริงจัง รู้ทั้งรู้ว่าฝืนธรรมชาติ
อยู่กันไปอยู่กันมาในที่สุดแรงกรรมเก่าย่อมผลักฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้คิดตีจากไปมีใหม่
และเมื่อนั้นเรื่องน่าเศร้าย่อมเกิดขึ้นได้ทุกรูปแบบ
ความละอายต่อบาปมีมากน้อยเพียงใด
ยังเป็นตัวกำหนดชี้ระดับความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นอีกด้วย
ประเด็นนี้เริ่มต้นจากกฎทางใจของมนุษย์ที่ว่าถ้าทำบาปก็สมควรจะเกิดความละอาย
เพราะเป็นมนุษย์ได้ต้องมีความละอายต่อบาปเป็นพื้นฐาน
ดังกล่าวแล้วในบทที่ ๒
ฉะนั้นนักเลงผู้หญิงที่ลักกินขโมยกินของคนอื่นโดยปราศจากความละอาย
ก็สมควรได้รับผลสะท้อนของความไม่ละอายเลยเป็นความน่าอับอายถึงขีดสุด
นั่นคือชาติต่อไปหากได้รูปกายเป็นชายก็จะมีใจเป็นกะเทยตั้งแต่จำความได้
ไม่ใช่มาชอบใจเป็นกะเทยด้วยกรรมใหม่เช่นแกล้งทำกระตุ้งกระติ้งจนติด
สำหรับพวกเจ้าชู้ยักษ์ลักลอบร่วมประเวณีไม่เลือกลูกเขาเมียใคร
แต่ยังเกิดความรู้สึกผิดชอบชั่วดี หรือกล้าทำกล้ารับอยู่บ้าง
ไม่ใช่แค่เอาสนุกชั่วแล่น พวกนี้มักเกิดใหม่มีใจเป็นชายแต่กายเป็นหญิง
ขอให้สังเกตว่าผู้หญิงหน้าตาน่ารักที่ออกแนวทอมบอยจะชอบหว่านเสน่ห์เล่นไปทั่ว
นี่ก็เป็นนิสัยเก่าที่เคยเจ้าชู้มามากนั่นเอง
แต่ชาติที่รับผลกรรมนั้นมักเป็นอยู่ด้วยความไม่พอใจในเพศตน
และรู้สึกว่าตนถูกเอาเปรียบทางเพศอย่างน่าโมโหเสมอ
ส่วนที่มักเป็นประเด็นถามไถ่กันเสมอๆในหมู่ชาวพุทธที่เริ่มถือศีล ๕
คือดูรูปโป๊หรือหนังโป๊ผิดศีลหรือไม่?
อันนี้ถ้าจับหลักได้ว่ากาเมสุมิจฉาจารนับเอาการมีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้มีเจ้าของเป็นสำคัญ
ก็ต้องมองตามจริงว่าการเสพแค่ทางตานั้นไม่ผิด
เพราะยังไม่ได้สมสู่ในหญิงผู้มีเจ้าของรักษา
แต่ความหมกมุ่นในกามจนเกินเหตุย่อมทำให้สภาพวิญญาณเหมือนจมอยู่ในบ่อน้ำกามชุ่มโชก
และความหมกมุ่นในรูปสตรีจะทำให้จิตเคลื่อนไปอยู่ในภพของสตรีได้
เนื่องจากการมีราคะจัดเป็นตัวบั่นทอนกำลังกุศล ทำให้จิตวิญญาณปวกเปียก
อีกอย่างสื่อลามกในปัจจุบันก็มีหลายประเภทหลายระดับความรุนแรง
ดังที่เป็นข่าวน่ากลัดกลุ้มของผู้ปกครองเวลานี้คือมีเกมยั่วยุขนาดปลุกปั่นให้เด็กกลายเป็นอาชญากรทางเพศ
มีเกมวางแผนข่มขืนผู้หญิง
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ตอนเสพเข้าไปอาจจะยังไม่เข้าข่ายผิดศีล
แต่ได้กระตุ้นให้เกิดแนวโน้มที่จะก่อการร้ายยิ่งกว่าผิดศีลธรรมดาเป็นไหนๆในอนาคต
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้อาจจำไว้ง่ายๆเพียงว่าเมื่อประพฤติผิดทางเพศ
ย่อมมีแรงเหวี่ยงกลับมาเป็นเรื่องราวผิดๆทางเพศ
และจะออกไปในทางภัยเวรรูปแบบต่างๆ เป็นสาเหตุหนึ่งของการเป็น
‘คู่เวร’
ที่แรกพบสบตาแล้วหวือหวาอยากกระทำการอันเป็นไปในทางด่วนได้
แล้วประสบอันตรายจากการอยู่ร่วมกันในภายหลัง
หรืออย่างเบาที่สุดก็คือทำให้ตกที่นั่งเสียเปรียบทางเพศ
ซึ่งก็คือการได้รูปหญิงอันง่ายต่อการถูกรังแกนั่นเอง
นมัสการครับ เป็นประโยคมากๆ ครับผม อ่านแล้ว รู้สึกว่า อะครับ ไม่มีคำบรรยาย แล้วจะค่อยติดตามอ่านต่อไปเรือยๆ ครับผม
ขอบพระคุณครับพระอาจารย์
นมัสการครับ
อยากอ่านและเข้าใจ พระธรรม ที่ พระพุทธเจ้า ให้ไว้โดยไม่แต่งเติม ให้มากขึ้น