หน้าแรก
สมาชิก
นางสาว สุวิชา สัน...
สมุด
Honesty is the be...
กฎหมายเศรษฐกิจระห...
นางสาว สุวิชา สันตะจิตโต
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
กฎหมายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
ความตกลงส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน ไทย - ลาว
ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐ
ประชาธิปไตยประชาชนลาวเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน
รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวต่อไป นี้ เรียกว่า
“
ภาคีผู้ทำสัญญา
”
โดยยอมรับนับถือว่าความร่วมมือฉันท์เพื่อนบ้านที่ดีในสาขาเศรษฐกิจและการค้าโดยผ่านการลงทุนจะส่งเสริมพัฒนาที่ก้าวหน้าสำหรับความอยู่ดีกินดีของประชาชนของรัฐทั้งสอง
ด้วยความปรารถนาที่จะสร้างสรรค์เงื่อนไขที่เป็นการอนุเคราะห์เพื่อให้มีความร่วมมือ ทางเศรษฐกิจกันมามากยิ่งขึ้นระหว่างรัฐทั้งสองและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อให้มีการลงทุนโดยคนชาติ และบริษัทของรัฐหนึ่ง ในอาณาเขตของอีกรัฐหนึ่ง
โดยยอมรับว่าการสนับสนุนการลงทุนเช่นว่านั้น และการถ้อยทีถ้อยคุ้มครองการลงทุนภายใต้ความตกลงระหว่างประเทศจะนำมาซึ่งการเร่งรัดการริเริ่มในทางธุรกิจของนักลงทุนและ เพิ่มพูนความไพบูลย์ขึ้นในรัฐทั้งสอง
ได้ตกลงกันดังต่อไปนี้
ข้อ
1
เพื่อความมุ่งประสงค์แห่งความตกลงนี้
1.
คำว่า
“
คนชาติ
”
ให้หมายถึงบุคคลใดซึ่งถือสัญชาติตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในภาคีผู้ทำสัญญาแต่ละฝ่าย
2.
คำว่า
“
บริษัท
”
ให้หมายถึงนิติบุคคลซึ่งได้ก่อตั้งหรือจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในอาณาเขตของภาคีผู้ทำสัญญาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ไม่ว่าจะจำกัดความผิดและจะเพื่อกำไร
ที่เป็นเงินหรือไม่ก็ตาม
3.
คำว่า
“
ทรัพย์สินที่ใช้ลงทุน
”
ให้หมายถึงทรัพย์สินทุกชนิด โดยให้รวมทั้ง แต่มิใช่เพียงเฉพาะ
(
ก
)
สังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์และสิทธิในทรัพย์อื่นใดเช่น จำนอง สิทธิยึดหน่วง หรือจำนำ
(
ข
)
หุ้น
สต็อกและหุ้นกู้ของบริษัท
ไม่ว่าบริษัทนั้น ๆ จะได้จัดตั้งเป็นนิติบุคคลขึ้น
ณ ที่ใดก็ตาม หรือผลประโยชน์ในทรัพย์ของบริษัทเช่นว่านั้น
(
ค
)
ข้อเรียกร้องให้ใช้เงินหรือให้ปฏิบัติตามสัญญาใด ๆ ซึ่งมีมูลค่าทางการเงิน
(
ง
)
สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า ชื่อการค้าและค่าความนิยม
(
กู้ดวิลล์
)
(
จ
)
สัมปทานเกี่ยวกับธุรกิจซึ่งได้รับตามกฎหมายหรือสัญญา รวมทั้งสัมปทาน เพื่อการค้นหา เพาะปลูก ขุด หรือแสวงหาประโยชน์ซึ่งทรัพยากรธรรมชาติ
4.
คำว่า
“
อาณาเขต
”
ให้หมายถึงอาณาเขตที่ภาคีผู้ทำสัญญามีอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจ
ศาลเหนืออาณาเขตนั้น
ข
1.
คุณประโยชน์ของความตกลงนี้จะใช้เฉพาะในกรณีซึ่งการลงทุนและบริษัทของภาคีผู้ทำสัญญาฝ่ายหนึ่งในอาณาเขตของภาคีผู้ทำสัญญาอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งได้รับความเห็นชอบ เป็นลายลักษณ์อักษร โดยเฉพาะจากเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจของภาคีผู้ทำสัญญาฝ่ายหลังเท่านั้น
2.
คนชาติและบริษัทของภาคีผู้ทำสัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะขอความเห็นชอบเช่นว่านั้น เกี่ยวกับการลงทุนใด ๆ ไม่ว่าจะได้กระทำก่อนหรือหลังจากที่ความตกลงนี้เริ่มใช้บังคับ
ข้อ
3
1.
โดยคำนึงกฎหมาย
โครงการและนโยบายของตน
ภาคีผู้ทำสัญญาแต่ละฝ่ายจะสนับสนุนและอำนวยความสะดวกแก่การลงทุนในอาณาเขตของตนโดยคนชาติ
และบริษัทของภาคีผู้ทำสัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง
2.
การลงทุนของคนชาติและบริษัทของภาคีผู้ทำสัญญาฝ่ายหนึ่งในอาณาเขตของภาคี
ผู้ทำสัญญาอีกฝ่ายหนึ่งจะได้อุปโภคซึ่งการคุ้มครองและความมั่นคงเป็นเนืองนิจตามกฎหมายของภาคีผู้ทำสัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง
ข้อ
4
1.
(
ก
)
การลงทุนของคนชาติ
หรือบริษัทของภาคีผู้ทำสัญญาฝ่ายหนึ่งในอาณาเขตของภาคีผู้ทำสัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง
รวมทั้งผลตอบแทนจากการลงทุนนั้น
ๆ ด้วย จะได้รับผลปฏิบัติที่เป็นธรรมและเที่ยงธรรม และเป็นการอนุเคราะห์ไม่น้อยกว่าผลปฏิบัติที่ได้ประสาทให้ในส่วนที่เกี่ยวกับการลงทุนและผลตอบแทนของคนชาติและบริษัทของภาคีผู้ทำสัญญาอีกฝ่ายหนึ่งนั้นหรือของรัฐที่สามใด ๆ
(
ข
)
ภาคีผู้ทำสัญญาแต่ละฝ่ายจะประสาทให้ในอาณาเขตของตน ซึ่งผลปฏิบัติแก่
คนชาติ และบริษัทของภาคีผู้ทำสัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเกี่ยวกับการจัดการ การใช้การอุปโภค หรือกับหลักแห่งกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นการอนุเคราะห์ไม่น้อยกว่าผลปฏิบัติที่ประสาทให้แก่คนชาติและบริษัทของตนเอง หรือแก่คนชาติหรือบริษัทของรัฐที่สามใด ๆ
(
ค
)
บทบัญญัติทั้งปวงแห่งความตกลงนี้ที่เกี่ยวกับการให้ผลปฏิบัติอันเป็นการอนุเคราะห์ไม่น้อยกว่าที่ได้ประสาทให้แก่คนชาติหรือบริษัทของรัฐที่สามใด ๆ จะต้องตีความให้หมายความว่าผลปฏิบัติเช่นว่านี้จะประสาทให้โดยทันทีและโดยไม่มีเงื่อนไข
(
ง
)
เมื่อใดก็ตามที่ความตกลงนี้กำหนดให้ มีทางเลือกสำหรับการให้ผลปฏิบัติอย่างคนชาติหรือการให้ผลปฏิบัติอันเป็นการอนุเคราะห์ไม่น้อยกว่าที่ได้ประสาทให้แก่คนชาติหรือบริษัท ของรัฐที่สามใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องหนึ่งเรื่องใด การเลือกเอาทางเลือกใดในระหว่างทางเลือกทั้งสองนี้จะต้องอยู่กับภาคีผู้ทำสัญญาผู้ได้รับคุณประโยชน์ในกรณีเฉพาะแต่ละกรณีไป
2.
ภาคีผู้ทำสัญญาแต่ละฝ่ายจะต้องปฏิบัติตามข้อผูกพันใด ๆ ที่เพิ่มจากข้อผูกพันที่ได้ระบุไว้ในความตกลงนี้ ซึ่งตนอาจจะได้กระทำขึ้นเกี่ยวกับการลงทุนของคนชาติหรือบริษัทของภาคีผู้ทำสัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง
ข้อ
5
บทบัญญัติแห่งความตกลงนี้เท่าที่เกี่ยวกับการให้ผลปฏิบัติอันเป็นการอนุเคราะห์ไม่น้อยกว่าที่ได้ประสาทให้คนชาติหรือบริษัทของภาคีผู้ทำสัญญาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือของรัฐที่สามใด ๆ จะไม่แปลความเป็นการบังคับภาคีผู้ทำสัญญาฝ่ายหนึ่งให้ต้องขยายให้แก่คนชาติหรือบริษัทซึ่งภาคีผู้ทำสัญญาฝ่ายแรกอาจขยายให้โดยอาศัย
(
ก
)
การก่อตั้งหรือการขยาย
สห
ภาพศุลกากร หรือเขตการค้าเสรี หรือเขตซึ่งใช้พิกัดภายนอกร่วมกันหรือสภาภาพทางการเงิน หรือสมาคมส่วนภูมิภาคเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจ หรือ
(
ข
)
การรับเอาความตกลงซึ่งมุ่งหมายที่จะนำไปสู่การก่อตั้ง
หรือการขยาย
สห
ภาพหรือเขตเช่นว่านี้ภายในระยะเวลาอันสมควร
หรือ
(
ค
)
ข้อตกลงใด ๆ
กับประเทศที่สาม
หนึ่งหรือหลายประเทศซึ่งที่อยู่ในภูมิภาคทางภูมิศาสตร์เดียวกันซึ่งมุ่งหมายที่จะส่งเสริมความร่วมมือส่วนภูมิภาคในด้านเศรษฐกิจ
สังคม แรงงานอุตสาหกรรม หรือการเงิน
ภายในกรอบของโครงการจำเพาะต่าง ๆ หรือ
(
ง
)
การให้สถานภาพเป็น
“
บุคคลผู้ได้รับการส่งเสริม
”
แก่บุคคลหรือบริษัทใดโดยเฉพาะตามกฎหมายของประเทศไทยหรือสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือ
(
จ
)
ความตกลงหรือข้อตกลงระหว่างประเทศหรือกฎหมายภายในใด ๆ ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตลอดหรือในประการสำคัญกับการเก็บภาษีอากร
ข้อ
6
1.(
ก
)
ในกรณีใด ๆ การลงทุนของคนชาติหรือบริษัทของภาคีผู้ทำสัญญาฝ่ายหนึ่งอยู่ในบังคับแห่งมาตรการเกี่ยวกับการเวนคืนใด ๆ จะโดยตรงหรือโดยทางอ้อม คนชาติหรือบริษัทที่เกี่ยวข้องจะได้รับผลปฏิบัติที่เป็นธรรมและเที่ยงธรรมเท่าที่เกี่ยวกับมาตรการใด ๆ เช่นว่านั้นในอาณาเขตของภาคีผู้ทำสัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง ห้ามมิให้ดำเนินมาตรการเช่นว่านั้น เว้นแต่เพื่อความมุ่งประสงค์สาธารณะและโดยมีการจ่ายเงินค่าทดแทนเช่นว่านี้จะต้องเพียงพอ จะต้องบังเกิดผลอย่าง แท้จริง
จะต้องจ่ายให้โดยมิชักช้า และในบังคับแห่งบทบัญญัติในวรรค
(2)
ของข้อ
7
จะต้องโดยได้โดยเสรี
(
ข
)
เงื่อนไขอันชอบด้วยกฎหมายในการเวนคืนใด ๆ และจำนวนเงินและวิธีจ่ายเงินทดแทนจะต้องอยู่ในบังคับแห่งการตรวจสอบโดยกระบวนการที่ถูกต้องของกฎหมาย
2.
ในกรณีที่ภาคีผู้ทำสัญญาฝ่ายหนึ่งเวนคืนสินทรัพย์ของบริษัทหนึ่ง ๆ ซึ่งได้จัดตั้งเป็นนิติบุคคลหรือได้ตั้งขึ้นตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในส่วนใด ๆ ของอาณาเขตของตนและซึ่งคนชาติหรือบริษัทของภาคีผู้ทำสัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเจ้าของหุ้นอยู่ในบริษัทนั้น ตนจะต้องประกันว่าจะบทบัญญัติในวรรคหนึ่งของข้อนี้
ในขอบเขตที่จำเป็นเพื่อให้มีการจ่ายค่าทดแทนตามที่ระบุไว้ใน
ข้อนั้นแก่คนชาติหรือบริษัทของภาคีผู้ทำสัญญาอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของหุ้นนั้น
ๆ
3.
ในกรณีที่การลงทุนของคนชาติหรือบริษัทของ ภาคีผู้ทำสัญญาฝ่ายหนึ่งได้รับความวินาศในอาณาเขตของภาคีผู้ทำสัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง เนื่องจากสงครามหรือการขัดกันทางอาวุธอย่างอื่น การปฏิวัติ สถานะฉุกเฉินของชาติ การจลาจล
การกบฎหรือการก่อความวุ่นวายในอาณาเขตของภาคีผู้ทำสัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง คนชาติหรือบริษัทที่เกี่ยวข้องจะได้รับผลปฏิบัติเกี่ยวกับการคืนการชดใช้ค่าทดแทน หรือการระงับปัญหาอย่างอื่น อย่างเป็นการอนุเคราะห์ไม่น้อยกว่าที่คนชาติหรือบริษัทของภาคีผู้ทำสัญญาอีกฝ่ายหนึ่งหรือคนชาติหรือบริษัทของรัฐที่สามใด ๆ ควรจะได้รับในพฤติการณ์อย่างเดียวกัน
4.
โดยไม่เป็นการเสื่อมเสียแก่บทบัญญัติข้างต้นของข้อนี้ คนชาติ หรือบริษัทของภาคี
ผู้ทำสัญญาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะได้รับผลปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อนี้ในอาณาเขตของภาคีผู้ทำสัญญาอีกฝ่ายหนึ่งที่เป็นการอนุเคราะห์ไม่ด้อยกว่าที่ได้ประสาทให้แก่คนชาติ และบริษัทของภาคีผู้ทำสัญญาอีกฝ่ายหนึ่งหรือบริษัทของรัฐที่สามใด ๆ
ข้อ
7
1.
ภาคีผู้ทำสัญญาแต่ละฝ่าย ในอาณาเขตซึ่งได้มีการลงทุนโดยคนชาติและบริษัทของภาคีผู้ทำสัญญาอีกฝ่ายหนึ่งจะประสาทให้แก่คนชาติหรือบริษัท ภายหลังที่ปฏิบัติตามพันธะกรณีทางภาษีอากรแล้ว ซึ่งการโอนโดยเสรีใน
ก
.
เงินปันผล
กำไร
และเงินได้อื่น ๆ
ข
.
ค่าธรรมเนียมจากสิทธิต่าง ๆ
ค
.
เงินชำระคืนเงินกู้เป็นงวด ๆ
ง
.
การชำระบัญชีบางส่วนหรือทั้งหมดของการลงทุน
จ
.
ค่าตอบแทนที่จ่ายตามข้อ
6
ฉ
.
รายได้ปกติของคนชาติของ ภาคีผู้ทำสัญญาอีกฝ่ายหนึ่งที่เกี่ยวกับการลง
-
ทุนในอาณาเขตของภาคีผู้ทำสัญญาฝ่ายแรก
การโอนใด ๆ ภายใต้ความตกลงฉบับนี้ จะกระทำในเงินตราสกุลที่ได้โดยเสรีในอัตราแลก
-
เปลี่ยนของทางการที่ใช้อยู่ในวันที่มีการโอน
2.
ในกรณีที่มีการเงินค่าทดแทนเป็นจำนวนมากตามข้อ
6
ภาคีผู้ทำสัญญาที่เกี่ยวข้องการขอให้การโอนเงินค่าทดแทนนั้นกระทำเป็นงวด
ๆ ตามสมควรก็ได้
ข้อ
8
1.
ถ้าภาคีผู้ทำสัญญาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือตัวแทนที่ภาคีผู้ทำสัญญาฝ่ายนั้นตั้งขึ้นได้จ่าย เงินให้แก่คนชาติหรือบริษัทหนึ่ง ๆ ตามกรมธรรม์ประกันภัยที่คุ้มถึงการเสี่ยงภัยอันมิใช่ในทางพาณิชย์ซึ่งภาคีผู้ทำสัญญาฝ่ายนั้นได้ให้ไว้สำหรับการลงทุนใด ๆ หรือส่วนใด ๆ ของการลงทุนนั้น
ในอาณาเขตของภาคีผู้ทำสัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง
ภาคีผู้ทำสัญญาฝ่ายหลังจะยอมรับ
(
ก
)
การเวนสิทธิหรือข้อเรียกร้องใด
ๆ
ไม่ว่าจะโดยกฎหมายหรือ
โดยธุ
รกรรมทางกฎหมาย
ก็ตาม จากคนชาติหรือบริษัทเช่นว่านี้ให้แก่ภาคีผู้ทำสัญญาฝ่ายแรกหรือตัวแทนที่ภาคีผู้ทำสัญญาฝ่ายนั้นตั้งขึ้น และ
(
ข
)
ภาคีผู้ทำสัญญาฝ่ายแรก หรือตัวแทนที่ภาคีผู้ทำสัญญาฝ่ายนั้นตั้ง ขึ้นมีสิทธิที่จะใช้สิทธิใด ๆ โดยอาศัยการรับช่วงสิทธิ และที่จะบังคับให้เป็นไปตาม ข้อเรียกร้องของ คนชาติหรือบริษัทเช่นว่านั้น
2.
ภาคีผู้ทำสัญญาฝ่ายแรกหรือตัวแทนที่ภาคี ผู้ทำสัญญาฝ่ายนั้นตั้งขึ้นมีสิทธิที่จะแสดงสิทธิ หรือข้อเรียกร้องใด ๆ ได้ ถ้ามีความปรารถนาเช่นนั้นในขอบเขตเช่นเดียวกับผู้ที่มีสิทธิอยู่ก่อนภาคีผู้ทำสัญญาฝ่ายนั้น
3.
ถ้าภาคีผู้ทำสัญญาฝ่ายแรกได้เงินจำนวนใดมาเป็นเงินตราที่ชอบด้วย
กฎหมายหรือเป็นสินเชื่อของภาคีผู้ทำสัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง โดยอาศัยการโอนสิทธิตามอนุวรรค
(
ก
)
ของวรรค
1
ของข้อนี้ เงินและสินเชื่อเช่นว่านั้นจะต้องมีไว้ให้ภาคีผู้ทำสัญญาฝ่ายแรกได้ใช้ประโยชน์เพื่อความมุ่งประสงค์ที่จะใช้จ่ายในอาณาเขตของภาคีผู้ทำสัญญาฝ่ายหลังโดยเสรี การโอนเงินและสินเชื่อภายนอกอาณาเขตจะต้องอยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติของวรรค
2
ของข้อ
7
ข้อ
9
ผลปฏิบัติอันเป็นการอนุเคราะห์ไม่ด้อยกว่าที่ได้ประสาทให้แก่คนชาติและบริษัทของรัฐที่สามใด ๆ ที่กล่าวถึงในความตกลงนี้จะต้องประสาทให้โดยไม่มีเงื่อนไขและโดยไม่ชักช้า แต่จะไม่แปลความเป็นการผูกพันภาคีผู้ทำสัญญาฝ่ายหนึ่งให้ต้องประสาทแก่คนชาติและบริษัทของภาคีผู้ทำสัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งคุณประโยชน์จากผลปฏิบัติ บุริมสิทธิ์ หรือเอกสิทธิ์ใด ๆ ซึ่งภาคีผู้ทำสัญญาฝ่ายแรกอาจให้โดยอาศัย
(
ก
)
การก่อตั้งหรือการขยาย
สห
ภาพศุลกากร หรือเขตการค้าเสรีหรือเขตที่ใช้พิกัดภายนอกร่วมกันหรือสหภาพทางการเงิน หรือสมาคมส่วนภูมิภาคเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจ หรือ
(
ข
)
การรับเอาความตกลงซึ่งมุ่งหมายที่จะนำไปสู่การก่อตั้งหรือการขยายสหภาพหรือเขตเช่นว่านั้นภายในระยะเวลาอันสมควร หรือ
(
ค
)
ข้อตกลงใด ๆ
กับประเทศที่สาม
หรือหลายประเทศซึ่งอยู่ในภูมิภาคทางภูมิศาสตร์เดียวกันซึ่งมุ่งหมายที่จะส่งเสริมความร่วมมือส่วนภูมิภาคในด้านเศรษฐกิจ
สังคม
แรงงานอุตสาหกรรม หรือการเงิน ภายในกรอบของโครงการจำเพาะต่าง ๆ หรือ
(
ง
)
การให้สถานะภาพเป็น
“
บุคคลผู้ได้รับการส่งเสริม
”
แก่บุคคลหรือบริษัทใดโดยเฉพาะตามกฎหมายของประเทศไทยว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือ
(
จ
)
ความตกลงหรือข้อตกลงระหว่างประเทศ หรือกฎหมายภายในใด ๆ ซึ่งเกี่ยวกับการเก็บภาษีอากรทั้งหมดหรือเป็นส่วนใหญ่
ข้อ
10
1.
ถ้าเป็นไปได้
ข้อพิพาทระหว่างภาคีผู้ทำสัญญาเกี่ยวกับการตีความ
หรือการใช้ความตกลงนี้ให้ระงับลงโดยการปรึกษาหารือ
หรือการเจรจา
2.
ถ้าข้อพิพาทระหว่างภาคีผู้ทำสัญญาทั้งสองฝ่ายไม่อาจระงับลงได้ภายใน
เวลา
6
เดือน เมื่อภาคีผู้ทำสัญญาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดร้องขอจะต้องเสนอข้อพิพาทนั้นไปยังคณะอนุญาโตตุลาการ
3.
คณะอนุญาโตตุลาการเช่นว่านั้นจะได้ตั้งขึ้นในเฉพาะแต่ละกรณีหนึ่ง ๆ ดังต่อไป นี้
(
ก
)
ภาคีผู้ทำสัญญาแต่ละฝ่ายจะแต่งตั้งสมาชิกฝ่ายละหนึ่งคน
และสมาชิกทั้งสองนี้จะตกลงลงกันให้คนชาติของรัฐที่สามซึ่งได้รับความเห็นชอบโดยภาคีผู้ทำสัญญาทั้งสองฝ่ายให้เป็นประธานคณะอนุญาโตตุลาการ
(
ข
)
สมาชิกดังกล่าวทั้งสองจะได้รับแต่งตั้งภายในสามเดือนและประธานภายในสี่เดือนนับแต่วันที่ภาคีผู้ทำสัญญาฝ่ายหนึ่งภายใดจะได้แจ้งภาคีผู้สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งทราบว่าตนประสงค์ที่จะเสนอข้อพิพาทนั้นไปยังคณะอนุญาโตตุลาการ
4.
ถ้ายังไม่มีการแต่งตั้งที่จะเป็นภายในกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในวรรค
3
ของข้อนี้ ภาคี
ผู้ทำสัญญาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอาจเชิญประธานศาลยุติธรรมระหว่างประเทศให้ทำการแต่งตั้งที่จะเป็นนั้นได้ในเมื่อไม่มีข้อตกลงอื่นใดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่
ถ้าประธานฯ เป็นคนของชาติของภาคีผู้ทำสัญญาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวได้ ให้เชิญรองประธานทำการแต่งตั้งที่จำเป็นต่อไป ถ้ารองประธานฯ เป็นคนชาติของภาคีผู้ทำสัญญาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด หรือไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวได้อีกก็ให้เชิญสมาชิกศาลยุติธรรมระหว่างประเทศผู้มีอาวุโสในลำดับถัดไป
ซึ่งมิได้เป็นคนชาติของภาคีผู้สัญญาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทำการแต่งตั้งที่จำเป็นนั้น
5.
(
ก
)
คณะอนุญาโตตุลาการจะทำการชี้ขาดก็โดยอาศัยคะแนนเสียงข้างมาก การชี้ขาดเช่นนั้นจะเป็นข้อผูกพันแก่ภาคีทั้งสองฝ่าย
(
ข
)
ในบังคับแห่งอำนาจของคณะอนุญาโตตุลาการ
ที่จะวางข้อบังคับเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายให้แตกต่างไปจากนี้
ค่าใช้จ่ายสำหรับสมาชิกและคณะอนุญาโตตุลาการและสำหรับการเข้าร่วมในกระบวนพิจารณาทางอนุญาตโตตุลาการให้ภาคีคู่ทำสัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นรับภาระและค่าใช้จ่ายสำหรับประธารและค่าใช้จ่ายใด
ๆ
ส่วนที่เหลือให้ภาคีผู้ทำสัญญาทั้งสองฝ่ายเป็นผู้รับภาระในส่วนที่เท่ากัน
(
ค
)
ในการทั้งปวงที่นอกเหนือไปจากที่ระบุไว้ในวรรค
(
ก
)
และ
(
ข
)
ของวรรคนี้
คณะอนุญาตโตตุลาการจะกำหนดวิธีพิจารณาของตนเอง
ข้อ
11
ความตกลงนี้จะได้รับการให้สัตยาบันและให้มีการแลกเปลี่ยนสัตยาบันสารกันโดยเร็วเท่าที่จะเป็นไปได้
ความตกลงจะเริ่มใช้บังคับเมื่อครบสามสิบวันจากวันแลกเปลี่ยนสัตยาบันสาร และ
ยังใช้บังคับต่อไปโดยไม่มีกำหนด ภายใต้สิทธิของภาคีผู้ทำสัญญาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดที่จะเลิกความตกลง ได้โดยการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรให้ภาคีอีกฝ่ายหนึ่งทราบล่วงหน้าเป็นเวลา
12
เดือน การแจ้ง
ดังกล่าวอาจกระทำในเวลาใดก็ได้หลังจากสิ้นปีที่เก้าแล้ว อย่างไรก็ตาม บทบัญญัติของความตกลงจะคงมีผลบังคับแก่การลงทุนนั้นต่อไปเป็นระยะเวลา
10
ปี นับแต่วันที่เลิกความตกลง
เพื่อเป็นพยานแก่การนี้ ผู้มีนามข้างท้ายซึ่งได้รับมอบอำนาจโดยถูกต้องจากรัฐบาลของตนตามลำดับได้ลงนามความตกลงนี้
ทำคู่กันเป็น
2
ฉบับ ที่กรุงเทพฯ วันที่
22
เดือนมีนาคม พุทธศักราชสองพันห้าร้อยสามสิบสาม เป็นภาษาไทย ลาว และอังกฤษ ตัวบททั้งสามฉบับใช้เป็นหลักฐานได้เท่าเทียมกัน ในกรณีมีความแตกต่างกันในการตีความ ให้ใช้ฉบับภาษาอังกฤษบังคับ
เขียนใน
GotoKnow
โดย
นางสาว สุวิชา สันตะจิตโต
ใน
Honesty is the best policy!
คำสำคัญ (Tags):
#ความตกลงส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน
#ไทย
#-
#ลาว
หมายเลขบันทึก: 43489
เขียนเมื่อ 8 สิงหาคม 2006 21:54 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 13 มิถุนายน 2012 09:23 น. (
)
สัญญาอนุญาต:
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (2)
ปารินุช
เขียนเมื่อ 22 สิงหาคม 2006 14:53 น. (
)
อยากไปเที่ยวจังเลย ที่ลาว
นางสาว สุวิชา สันตะจิตโต
เขียนเมื่อ 24 สิงหาคม 2006 16:38 น. (
)
อันนี้ก้อต้องบอกพี่บุญมีให้เป็นคนนำทางให้นะค่ะ
ชื่อ
อีเมล
เนื้อหา
จัดเก็บข้อมูล
หน้าแรก
สมาชิก
นางสาว สุวิชา สัน...
สมุด
Honesty is the be...
กฎหมายเศรษฐกิจระห...
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท