เมื่อ 3-4 วันก่อน ไปเที่ยวงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ แวะไปที่บูธของ ปณท (บริษัทไปรษณีย์ไทย) เสียเงินไป
รวมแล้วเสียเงินไป 6,759 บาท เฉพาะส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับแสตมป์และสิ่งจำหน่ายร่วม..ได้ของแถมเป็นวารสารตราไปรษณียากร 2 ปี คือ ปี 2552 และ 2553 มาอ่านหาความรู้
ก่อนหน้านี้ 3 ปี คิดว่าจะเลิกสะสมแสตมป์เพราะว่ายังไม่เห็นผู้ใดจะมาสืบทอดงานสะสมต่อ แต่พอมาที่บูธไปรษณีย์ก็อดหลงเสน่ห์ไม่ได้...
พอได้มาอ่านหนังสือวารสาร ได้อ่านมุมมองต่างๆ ไปได้ 2-3 เล่ม เหมือนเป็นการเคาะสนิมออก เพราะมีแสตมป์ที่ยังไม่ได้จัดเรียงอยู่อีกถึง 5 ปี เมื่อลองดูราคาแสตมป์ที่ลงวารสารไว้ เห็นราคาสูงขึ้นมาก เพราะเวลาผ่านไปกว่า 30 ปี แล้ว นับแต่เริ่มสะสมอย่างจริงจังเมื่อตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัยชั้นปีที่ ๒
ผมมีแสตมป์ที่รับช่วงมาจากพวกพี่ๆ ลองเปิดดูราคา ชุดหนึ่งก็ขึ้นหลักพันทั้งนั้น..ดวงที่แพงที่สุดในราคาดวงเดียวคือ แสตมป์ชุดแรกราคาเฟื้องหนึ่ง ราคาดวงละ 6 หมื่นบาท และแสตมป์ชุดที่ราคาแพงที่สุดชุดละ 4 แสน คือ ฤชากร (ที่กล่าวมานั้นผมไม่มี..อิอิ)
พอเปิดคู่มือสะสมแสตมป์ เพื่อจัดเรียงหัวข้อการสะสม เช่น แสตมป์ชุดวันเด็ก, แสตมป์ชุดวันสหประชาชาติ, แสตมป์ชุดอนุรักษ์มรดกไทย, แสตมป์ชุดดอกไม้ปีใหม่... รวมทั้งแสตมป์ชุดชั่วคราวตัวแก้ต่างๆ
เปิดไปพบ แสตมป์ชุด 100 ปี กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร พบแสตมป์ที่มีการพิมพ์ผิดพลาด ดังภาพ
ภาพจาก wikipedia |
ตรงกรอบสีแดงแสดงลายกนกที่ออกแบบเวียนขวา แต่มีที่พิมพ์ผิดพลาดเวียนซ้ายอยู่ 25 เปอร์เซ็นต์ (1 ล้านจาก 4 ล้าน)
ราคาตลาด แสตมป์ปกติ ดวงละ 15 บาท
แต่แสตมป์กนกเวียนซ้าย ดวงละ 150 บาท
แต่ถ้าขายเป็นคู่อย่างในภาพ คู่ละ 750 บาท เลยทีเดียว
ไปสำรวจในกรุแสตมป์ของตัวเองแล้ว พบว่า มีแบบเวียนซ้ายอยู่ 2 ดวง แต่ยังอาจมีอีกหลายดวงเพราะได้เก็บเป็นแผ่นอยู่เหมือนกัน
ลองนึกเล่นๆ ดู หากย้อนกลับไปเป็นเด็กใหม่ ถ้าหากเราเป็นคนที่ไม่ชอบเรียนหนังสือ แต่ชอบสะสมแสตมป์ ถ้าไปคุยกับพวกนักสะสมแล้วเราได้ความรู้เรื่องเหล่านี้ เราอาจยึดอาชีพเป็นพ่อค้าแสตมป์ก็ได้
เห็นพ่อค้าแสตมป์หลายคน ยึดอาชีพนี้ ไม่ต้องเรียนสูงๆ ก็ได้ หาเงินมาเซ็งร้านแถวไปรษณีย์กลางและยึดสิ่งนี้เป็นอาชีพ ผมก็เห็นหลายคนทำอาชีพนี้มาจากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหนึ่ง หาเงินได้ปีละหลายแสนถึงหลักล้าน
ถ้าเราได้ทำสิ่งที่เราชอบ มีความสุข และมีรายได้เลี้ยงชีพอย่างสบาย เราก็ไม่ต้องมาเรียนหนังสือให้ลำบาก (สำหรับคนที่ไม่ชอบ)
คนที่ศึกษาเล่าเรียน ต้องตอบตัวเองให้ได้ว่าเรามาเรียนเพื่ออะไร..อย่างบันทึกที่แล้วเรามาเรียนเพื่อ อัตตา,ชีวา หรือปวงประชา..
อาจมีคำตอบอื่นๆ ที่ต่างจากนี้ แต่ที่สำคัญเราต้องตอบตัวเองให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็เป็นความสูญเปล่าทางการศึกษา เป็นภาระของทั้งพ่อแม่ และประเทศชาติ
เรียน ท่านลำดวน