การวิจัยและพัฒนา (The Research and Development)
เป็นลักษณะหนึ่งของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research)
ที่ใช้กระบวนการศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบ
มุ่งพัฒนาทางเลือกหรือวิธีการใหม่ๆ
เพื่อใช้ในการยกระดับคุณภาพงานหรือคุณภาพชีวิต
ข้อสังเกตของการวิจัย R&D
1.ปัญหาการวิจัย
R&D
ปัญหาการวิจัยของ R&D
ต้องตอบสนองความต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มี
2 ลักษณะ คือ ต้องการแก้ปัญหา
ต้องการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ
ตัวอย่างการเขียนปัญหาวิจัย
1. สิ่งใดจะช่วยให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ดีขึ้น
2.
รูปแบบใดที่สามารถพัฒนาทักษะชีวิตของนักเรียนได้ดี
3. เครื่องมือใดทำให้ผู้ป่วยมีความเจ็บน้อยลง
4 . อะไรทำให้องค์กรทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5.
รูปแบบใดที่เหมาะสมกับสภาพการจัดการศึกษาในปัจจุบัน
6.
รูปแบบการบริหารใดที่ทำให้โรงเรียนขนาดเล็กมีประสิทธิภาพมากขึ้น
รู้ไว้ใช่ว่า..
ปรัชญาของ R&D คือ Need
หมายถึงความต้องการ
สิ่งที่ได้จาก R&D คือ นวัตกรรม
2.การตั้งชื่อเรื่องวิจัย
R&D
หลักการตั้งชื่อสำหรับวิจัยและพัฒนาจะความแตกต่างจากวิจัยประเภทอื่น ๆ
และมีหลักในการตั้งชื่อ ดังนี้
1.นิยมตั้งเป็นประโยคบอกเล่า
2.มีคำว่า "พัฒนา"อยู่ช่วงต้นของประโยค
3.อาจมี หรือไม่มีคำว่า "วิจัย"
อยู่ที่ชื่อเรื่องก็ได้
4.ปัญหาที่ต้องการวิจัยอยู่ช่วงต้นของประโยค
5.กลุ่มเป้าหมายอยู่ช่วงกลางของประโยค
6. ถ้าส่วนท้ายของประโยคบ่งบอกสถานที่
งานวิจัยนั้นจะใช้ได้เฉพาะพื้นที่ที่กำหนดเท่านั้น
แต่ถ้าไม่ได้ระบุสถานที่ จะใช้ได้ทุกที่ เป็นการเปิดกว้าง
ตัวอย่างชื่อวิจัย R&D
-
การวิจัยและพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาในภาคกลาง
- การพัฒนาระบบการสร้างสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ
-
การพัฒนารูปแบบการสอนทักษะชีวิตนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น
รู้ไว้ใช่ว่า...
ข้อสังเกตชื่อเรื่องของวิจัย R&D แบ่งเป็น 3 ส่วน
คือ
ส่วนแรก จะบ่งบอกถึงความต้องการของผู้วิจัย
ส่วนที่สองจะบ่งบอก
ถึงนวัตกรรมของวิจัย
และส่วนสุดท้ายบ่งบอกถึงเป้าหมายว่าทำวิจัยกับใคร
มีกระบวนการอย่างไร
3.การเขียนวัตถุประสงค์ของ
R&D
การเขียนวัตถุประสงค์ของการวิจัยและพัฒนามีหลักในการเขียนดังนี้
1.นิยมเขียนเป็นข้อ ๆ (มากกว่า 1 ข้อ)
2.ขึ้นต้นด้วยคำว่า "เพื่อ"
3.เขียนเรียงลำดับข้อให้เป็นไปตามวิธีวิจัยที่ใช้
4.ส่วนแรกของประโยคควรเป็นการวิจัย
แล้วตามด้วยการพัฒนา
การประเมินสิ่งที่ได้จากการวิจัยหรือประเมินผลการใช้นวัตกรรม
และมีการขยายผลสิ่งที่ได้
ตัวอย่างการเขียนวัตถุประสงค์ของ
R&D
1.เพื่อศึกษาระบบการสร้างสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ
2.เพื่อพัฒนาระบบการสร้างสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ
3.เพื่อประเมินการใช้ระบบการสร้างสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ
4.เพื่อศึกษาและขยายผลการใช้ระบบการสร้างสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ
4.ตัวแปร R&D
วิธีแบ่งตัวแปรที่นิยมกันมากที่สุดคือแบ่งเป็นตามลักษณะการใช้
ดังนี้
1 ตัวแปรต้น (Independent
Variable) หมายถึงคุณลักษณะที่เกิดก่อน
หรือเป็นสาเหตุของตัวแปรตาม หรืออาจจะเรียกว่า ตัวแปรอิสระ
สามารถจำแนกได้เป็น 2 แบบ คือ ตัวแปรอิสระที่สามารถจัดกระทำได้
(Active Variable) และตัวแปรอิสระที่ไม่สามารถจัดกระทำได้(Attribute
Variable) โดย ตัวแปรอิสระทั้ง 2 ชนิดเป็น ตัวแปรสาเหตุเช่นเดียวกัน
แต่แตกต่างกัน คือตัวแปรอิสระที่ไม่สามารถจัดกระทำได้
ผู้วิจัยเป็นเพียงผู้เลือกว่ากลุ่มใดมีลักษณะอย่างไร
แต่ไม่สามารถสร้างลักษณะนั้นขึ้นมา
ในขณะที่ตัวแปรอิสระที่สามารถจัดกระทำได้
ผู้วิจัยสามารถสร้างลักษณะนั้นขึ้นมาได้
2 ตัวแปรตาม (Dependent
Variable) หมายถึง คุณลักษณะที่คาดว่าจะได้รับ
หรือเป็นผลที่ได้รับจากตัวแปรอิสระ ตัวอย่างเช่น
การวิจัยที่ศึกษาอายุของผู้สอนและสภาพของห้องเรียนว่ามีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหรือไม่
ที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ตัวแปรตามได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
3
ตัวแปรที่มีผลกระทบต่อข้อสรุปของการวิจัย (Confounding
Variable) หมายถึง
ตัวแปรที่มีผลกระทบต่อการสรุปความเป็นสาเหตุของตัวแปรต้นที่มีต่อตัวแปรตาม
จำแนกเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ
1)
ตัวแปรแทรกซ้อน (Extraneous Variable)
เป็นตัวแปรที่มีผลต่อตัวแปรตามเช่นเดียวกับตัวแปรอิสระ
แต่เป็นสิ่งที่ผู้วิจัยไม่ได้สนใจที่จะศึกษา
ดังนั้นจึงต้องมีการควบคุม
ไม่เช่นนั้นตัวแปรแทรกซ้อนอาจทำให้ผลที่ศึกษาไม่ได้ข้อสรุปอย่างที่สรุปไว้ก็ได้
ทำให้ผลที่ได้คาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง
2)
ตัวแปรสอดแทรก (Intervening Variable)
เป็นตัวแปรที่สอดแทรกอยู่ระหว่างตัวแปรต้นและตัวแปรตาม
รู้ไว้ใช่ว่า...
โดยทั่วไปแล้ว การแยกตัวแปรอิสระออกจากตัวแปรตาม มีหลักง่าย ๆ ดังนี้
1.
ถ้าตัวแปรใดเกิดก่อน ให้ถือว่าตัวแปรนั้นเป็นตัวแปรอิสระ
ส่วนตัวแปรที่เกิดภายหลังเรียกตัวแปรตาม เช่น เพศ กับ
ระดับการศึกษาจะต้องถือว่า เพศ เป็นตัวแปรอิสระ (เพราะเกิดก่อน)
ระดับการศึกษาเป็นตัวแปรตาม
2. ถ้าตัวแปรใดเป็นสาเหตุของอีกตัวแปรหนึ่ง
ตัวแปรนั้นถือว่าเป็นตัวแปรอิสระ
ส่วนตัวแปรที่เป็นผลนั้นถือว่าเป็นตัวแปรตาม
ตัวแปรต้น
ตัวแปรตาม ในงานวิจัยและพัฒนา
ในงานวิจัยและพัฒนาทางการศึกษา
ตัวแปรต้น (Independent Variable) คือ ตัวนวัตกรรมหรือปฏิบัติการ
(Treatment) ที่นักวิจัยให้กับกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งอาจหมายถึง สื่อ/
ชุดสื่อ หรือวิธีการใหม่ๆ ในการจัดการศึกษา ส่วนตัวแปรตาม คือ
ตัวแปรที่เป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากการใส่ปฏิบัติการ เช่น ความรู้
ความพอใจ เจตคติ ทักษะ หรือสภาพการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เป็นต้น
สรุปตัวแปรใน
R&D
-ในงานวิจัย
R&D ไม่นิยมเขียนตัวแปรแยก ตัวแปรต้น
กับตัวแปรตาม
-จะเขียนตัวแปรไปตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย
-ไม่ระบุว่ามีตัวแปรกี่ตัว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการรีวิวในบทที่
2
5.กรอบแนวความคิดในการวิจัย (Conceptual Framework)
การนำเสนอภาพรวมๆ ของงานวิจัยที่ผู้วิจัยจะทำโดยกำหนดออกมาให้เห็นรูปธรรมชัดเจน จากการศึกษาวิเคราะห์เอกสารตำรา ทฤษฎี ตลอดจนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องอย่างครอบคลุม แล้วนำเสนอหรือสรุปเป็นภาพรวมให้ชัดเจนให้ง่ายต่อความเข้าใจในปัญหาและวิธีการวิจัยเป็นกรอบของการวิจัย ด้านเนื้อหาสาระ ประกอบด้วย ตัวแปร และการระบุความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร
การเสนอกรอบแนวความคิด สามารถทำได้ 3 รูปแบบ
คือ
1. แบบพรรณนาหรือบรรยาย
เป็นการเขียนบรรยายเพื่อให้เห็นว่า
-
ในการวิจัยนี้มีตัวแปรอะไรบ้างที่สำคัญเกี่ยวข้องกับปัญหาหรือประเด็นของการวิจัย
-ตัวแปรเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับตัวแปรตามอย่างไร
-มีเหตุผลหรือทฤษฎีอะไรมาสนับสนุน
2.
แบบแผนภาพ
-แผนภาพที่แตกต่างกันช่วยให้เกิดความชัดเจนมากขึ้นว่าผู้วิจัยมีความคิดอย่างไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร
-
ผู้วิจัยที่มีตัวแปรเดียวกันจำนวนเท่ากันอาจมีแนวความคิดแตกต่างกัน
3.
การบรรยายและนำเสนอสรุปเป็นแผนภาพ
หลักการในการเลือกกรอบแนวความคิดในการวิจัย
1.ความตรงประเด็น
พิจารณาได้จากเนื้อหาสาระของตัวแปรและระเบียบวิธีที่ใช้ในการศึกษา
2.ความง่ายและไม่สลับซับซ้อน
ควรเลือกทฤษฎีที่สามารถอธิบายปรากฏการณ์ที่ต้องการศึกษาได้
จำนวนตัวแปรและรูป แบบของความ
สัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่มีอยู่ในทฤษฎีไม่ซับซ้อน
3.ความสอดคล้องกับความสนใจ เนื้อหาสาระเกี่ยวกับตัวแปรหรือความ
สัมพันธ์ระหว่างตัวแปรสอดคล้องกับความสนใจของผู้วิจัย
4.ความมีประโยชน์เชิงนโยบาย
คำนึงถึงประโยชน์ทางด้านนโยบายหรือการพัฒนาสังคม การศึกษา
ผู้วิจัยจึงควรเลือกตัวแปรที่เกี่ยวข้อง
6.การทบทวนเอกสารที่เกี่ยวข้อง
เป็นการสืบค้นข้อมูลในรูปแบบต่างๆ
มีการวางกรอบทบทวนเอกสารไว้ก่อน จะทำให้ไม่หลงทิศทาง
และสามารถรวบรวมเอกสารได้ครบถ้วนและตรงกับงานวิจัยที่ทำ
เอกสารที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย
หมายถึง ตำรา หนังสือ เอกสารอ้างอิง รายงานการวิจัย
บทคัดย่อ การวิจัย วารสาร
นิตยสาร ฯลฯ
ที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องหรือสอดคล้องกับเรื่องที่วิจัย
หลักเกณฑ์ในการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
1.แสวงหาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยให้มากที่สุด
ศึกษาเนื้อหาสาระของทฤษฎี แนวคิด
หลักการที่เกี่ยวข้องให้มาก
2.พิจารณาว่าเอกสารนั้นมีความทันสมัย
หรือเหมาะที่จะใช้อ้างอิงหรือไม่
3.พิจารณาว่าเอกสารนั้นเป็นเครื่องชี้นำในการศึกษาข้อมูลในเรื่องนั้น
ๆ ได้หรือไม่
4.พิจารณาว่าเอกสารนั้นมีหนังสืออ้างอิงพอที่จะแนะแนวทางในการศึกษาข้อมูลในเรื่องนั้น
ๆ ได้หรือไม่
5.พิจารณาคัดเอาส่วนที่มีประโยชน์ของการวิจัยของตน
6.ทำการศึกษาแบบวิเคราะห์ เช่น ดูความสัมพันธ์ระหว่างเรื่องที่จะศึกษา
ระหว่างส่วนต่าง ๆ ข้อความต่าง ๆ สมเหตุสมผลหรือไม่
ผู้เขียนแย้งตนเองหรือไม่ ข้อมูลได้มาอย่างไร
เพียงพอหรือไม่ น่าเชื่อถือหรือไม่
ข้อสรุปมีเหตุผลน่าเชื่อถือหรือไม่ เป็นต้น
หลักการเขียน เอกสารที่เกี่ยวข้อง
1. เสนอแนวคิดตามทฤษฎี แบ่งเป็นหัวข้อใหญ่และหัวข้อย่อยลงไป
(ไม่ควรนำเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับการวิจัยมาเขียนไว้)
2. อธิบายปัญหาหรือสถานการณ์ที่ยังมีข้อสงสัย
และความรู้ที่เป็นปัจจุบันในหัวข้อที่วิจัย
3. ต้องเขียนอ้างอิง ( ชื่อคน/ชื่อหนังสือ . ปี : หน้า)
ข้อเสนอแนะเรื่อง เอกสารที่เกี่ยวข้อง
1. การเลือกเอกสารที่เกี่ยวข้อง ให้ดูจาก -
ชื่อเรื่อง - จุดมุ่งหมาย
- ขอบเขต(ตัวแปร) -
เครื่องมือ,นวัตกรรม,เทคโนโลยีที่เราใช้
2. เลือกเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้อง
3.
คำพูดที่ไม่สามารถนำมาสรุปแล้วสละสลวยเหมือนของเดิมให้ใส่เครื่องหมาย
“...ข้อความ...”และบอกอ้างอิงด้วย
4. เรียงลำดับความสำคัญ เช่น 1) หลักสูตร 2) สื่อ
5. การพูดถึงหลักสูตร ต้องมี-
โครงสร้าง-สาระ-มาตรฐาน-ประเมินผลอย่างไร
6. การพูดถึงสื่อ ต้องมี - ความหมาย - ประโยชน์
- ประเภท - การออกแบบ
-
การใช้ - การประเมิน
7. การประเมินผลสื่อ - คุณภาพสื่อ -
ดัชนีประสิทธิภาพ
- ดัชนีประสิทธิผล - ความเชื่อมั่น
8. ถ้าเป็นงานวิจัยประเภทพัฒนาต้องมี เครื่องมือ
(แบบวัดต่างๆ)
- คิดวิเคราะห์ - คิดวิจารณญาณ
7. การทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
เอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่
ผลการวิจัยสื่อที่นำมาศึกษาวิจัยและพัฒนาหรือนำมาเปรียบเทียบ
หรือประเมินผล ที่ได้จากการผลิตสื่อ
สถาบันที่เข้าไปใช้ในการวิจัย เนื้อหาในหลักสูตร ความหมาย
ประเภทและรูปแบบ ประโยชน์และคุณค่าของการวิจัย
งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
เป็นส่วนของงานวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ประโยชน์ของการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
1.ช่วยให้เข้าใจทฤษฎี แนวความคิด
ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่วิจัย
2.ช่วยป้องกันการทำวิจัยซ้ำซ้อนกับคนอื่นที่วิจัยไปแล้ว
3.ช่วยให้เราทราบผลงานวิจัยที่ผ่านมาเกี่ยวข้องกับเรื่องที่วิจัยว่ามีการศึกษากว้างขวางมากน้อยแค่ไหน
ในแง่มุมใด ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่จะนำมาประกอบเหตุผล
ในการตั้งสมมติฐานของผู้วิจัยและนำมาประกอบเหตุผลในการอภิปรายผลการวิจัย
4.เป็นแนวทางในการดำเนินการวิจัย เลือกตัวแปรที่จะศึกษา
ออกแบบการวิจัย สร้างเครื่องมือ วิเคราะห์ข้อมูล
แปลผล สรุปผล และเขียนรายงานการวิจัย
5.เป็นแนวทางในการพัฒนาคุณภาพของเรื่องที่จะทำวิจัย
เพราะในการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยอย่างกว้างขวางจริงจัง
จะช่วยให้เข้าใจในเรื่องที่จะศึกษาอย่างลุ่มลึก
ในการศึกษาผลงานวิจัยต่าง ๆ
ทำการพิจารณาถึงจุดอ่อนและจุดดีของแต่ละเรื่อง
แล้วหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดจุดอ่อนและเสริมสร้างจุดดีเหล่านั้นให้เกิดขึ้นในการวิจัยของตน
ขั้นตอนการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ขั้นแรก อ่านราบละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบ ให้รู้เรื่องทั้งหมด
ขั้นที่สอง วิเคราะห์เรื่องที่อ่าน โดยจับประเด็นใหญ่ๆมาสรุปเป็นตาราง
ดังนี้
ก. ปัญหาวิจัย วัตถุประสงค์ สมมติฐาน
ข. รูปแบบการวิจัย ขนาดตัวอย่าง ตัวแปรที่สำคัญ
ค. เครื่องมือวัดวิธีเก็บข้อมูล วิธีวิเคราะห์ข้อมูล
ง. ผลการวิจัย
ขั้นที่สาม เขียนเรียบเรียงงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
โดยเรียบเรียงเรื่องที่อ่านในขั้นที่สองให้ต่อเนื่องกัน
ลักษณะของความต่อเนื่องอาจพิจารณาได้หลายลักษณะ
ลักษณะที่สำคัญและพบมากในการเขียนรายงานวิจัยลงในวารสารวิชาการ ก็คือ
ลักษณะการต่อเนื่องของผลการวิจัยและตัวแปรสำคัญๆที่มีบทบาทต่อผลการวิจัย
สำหรับหัวข้ออื่นๆที่จะนำมาเขียนขึ้นอยู่กับว่า
ผู้วิจัยต้องการนำประเด็นนั้นมาเกี่ยวข้องกับงานวิจัยที่จะทำมากน้อยแค่ไหน
เช่น ขนาดของตัวอย่าง หรือวิธีสุ่มตัวอย่าง เครื่องมือวัด
หรือแบบการทดลอง เป็นต้น
หลักในการเขียนเรียบเรียงงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
1. การเขียนเรียบเรียงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ให้เลือกเอาเฉพาะงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่จะศึกษาจริงๆ
เท่านั้นมาเขียน
2. การเขียนเรียบเรียงต้องเน้นในลักษณะของการเชื่อมโยง
และความต่อเนื่องของเนื้อหาในประเด็นที่เป็นปัญหาการวิจัย
ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญมากกว่าที่จะเขียนในลักษณะเรียงต่อเนื่องกันตามระยะ
เวลาก่อนหลังของผู้ที่ศึกษาวิจัย
และจุดอ่อนข้อนี้มักจะพบบ่อยๆในรายงานวิจัยทั่วๆไป คือ
จะเอางานวิจัยของแต่ละคนมาเรียงต่อกันตามระยะเวลาก่อนหลังที่ทำการวิจัยใน
แต่ละย่อหน้าไปเลย
โดยไม่ได้มีการเชื่อมโยงในเนื้อหาที่สำคัญๆแต่อย่างใด
3. ต้องมีการเขียนสรุปในตอนท้ายด้วย
ไม่ใช่ปล่อยให้ข้อความขาดตอนทิ้งค้างไว้เฉยๆ
ข้อความที่สรุปจะเป็นส่วนเชื่อมโยงระหว่างการวิจัยที่ศึกษามาแล้วกับงาน
วิจัยที่จะศึกษานี้นั้นมันเกี่ยวข้องกันอย่างไร ถ้าไม่สามารถสรุป
เพื่อชี้จุดตรงนี้ให้เห็นได้ การทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่ทำมาแล้ว
ก็แทบจะไม่มีความหมายอะไรเลย
แนวทางของการเขียนสรุปสามารถเขียนได้ในหลายลักษณะขึ้นอยู่กับประเด็นสำคัญ
ๆ ที่ได้จากการอ่านเอกสารและรายงานนั่นเอง
อ่านแล้วร่วมแสดงความคิดเห็นเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยนะคะ
ขอบคุณ นะฮะ..
โฮ *อาจารย์จ๊าบมั่ก ๆ ความรู้ที่ให้ก็ชัดเจนสุด ๆ ภาพประกอบก็น่าร๊ากมั่ก ๆ กำลังสนใจ R&D พอดี แล้วจะติดตามตามติดความรู้ที่อาจารย์เสนอมาให้อย่างต่อเนื่องแน่นอน ขอเป็นสมาชิกด้วยคนนะคะ ขอบคุณค่ะ
อยากทราบวิธีดำเนินการ หรือกระบวนการในการดำเนินการค่ะ
ขอบพระคุณค่ะ
ขอบคุณที่สุด โชคดีที่อ่านเจอ กำลังต้องการความรู้นี้พอดี อ่านเข้าใจง่ายมาก ชัดเจนกว่าอ่านหนังสือวิจัยเป็นเล่ม
ขอให้กุศลนี้กลับสู่ท่านด้วยปัญญาที่มีพลังหลายเท่าทวีคูณนะคะ
ขอบคุณนะคะที่แวะมาเยี่ยม..และเม้นให้กำลังใจด้วย..
ในส่วนของวิธีดำเนินการ หรือกระบวนการวิจัย R&D วันต่อไปจะเอามาฝากค่ะ..วันนี้ดึกมากแล้ว ให้ทุกคนพักผ่อนเพื่อสุขภาพนะคะ..พรุ่งนี้จะได้มีพลังสู้ ต่อไป..
อ่านงานที่เขียนแล้วค่ะ น่าสนใจมากขอบคุณนะคะ ทีทำให้ดิฉันมีความรู้เรื่องการวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้นค่ะ ขอบคุณจริงๆ
ขอบคุณมากครับ นี่เป็นหนึ่งความรู้ที่ได้รับเพิ่มเติม ตอนนี้ก็กำลังศึกาาเรื่องนี้อยู่ครับ ขอสมัครเป็นลูกศิษย์ต่างแดนด้วยคนนะครับ ขอบคุณล่วงหน้าในความกรุณาครับ
ขอบคุณสำหรับความรู้ที่ให้ค่ะ สั้น กระชับ เห็นภาพ R&D ได้ในระยะเวลาอันสั้น ดีมากค่ะ
ข้อมูลเขียนมองเห็นภาพเข้าใจง่าย ขอบคุณมากค่ะ กำลังศึกษาเพื่อเขียนโครงร่างพอดี ได้ใช้ประโยชน์เลยค่ะ ขอให้ผู้ใหข้อมูลพบแต่สิ่งที่ดี ดี ในชีวิตนะค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ พอดีเพื่อนส่งมาให้อ่าน ตอนนี้ก็ติดอยู่กับกรอบการวิจัยในวิทยานิพนธ์อยู่พอดี
โชคดีมาก ๆ ที่เจอบันทึกนี้
ขอบคุณด้วยภาพค่ะ
อ่านเข้าใจง่ายดีค่ะ ขอบพระคุณสำหรับเนื้อหาดีๆที่น่าเรียนรู้ค่ะ
ขอบคุณมากเลยครับอาจารย์ มีแนวทางดำเนินงานต่อได้แล้วครับ
ขอบคุณมากๆเลยค่ะอาจารย์ เรียน ป.โท 5 ปี + จบมาแล้ว 6ุปี เพิ่งกระจ่างแจ้งวันนี้
เองค่ะ
ขอบคุณเนื้อหาดีๆ นะครับ จะนำไปใช้ประโยชนืในการทำวิจัยครับ
ขอบคุณความรู้ดีๆค่ะ กำลังทำวิจัย R&D อยู่ 3 เรื่อง
ชอบมากค่ะ สนุก ท้าทาย และน่าสนใจในทุกระยะของงานวิจัยค่ะ
เป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาก สำหรับการนำไปใช้พัฒนาในการทำงาน
และปรับปรุงสินค้าให้ดี ตรงกับความต้องการได้
กำลังหาที่สรุปง่ายๆแบบนี้มานานแล้ว เข้าใจง่ายดี กำลังเขียนรายงานวิจัยพอดี