หน้าแรก
สมาชิก
นาย ณัฐวุฒิ พลครุฑ
สมุด
สำนักงานสาธารณสุข...
อนันตริยกรรมของสื...
นาย ณัฐวุฒิ พลครุฑ
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
อนันตริยกรรมของสื่อวิทยุโทรทัศน์
แนวคิดโทรทัศน์เสรีเกิดขึ้นในสมัยที่ประชาชนล้มหายตายจากเมื่อเดือนพฤษภาคม 2535 เพราะเป็นช่วงรัฐบาลเผด็จการปิดกั้นข่าวสารทางสื่อโทรทัศน์ วิทยุ ทุกช่องทุกสถานี รวมทั้งปิดกั้นข่าวสารในสื่อสิ่งพิมพ์ส่วนใหญ่ด้วยวิธีการต่าง ๆ นานา กระแสที่เกิดขึ้นในสังคมช่วงนั้นให้กำเนิดแนวคิด “สื่อเสรี” ขึ้นมา
คนที่เข้าร่วมการชุมนุมใหญ่ “กู้ชาติ” กับคุณสนธิ ลิ้มทองกุลเมื่อวันที่ 4 – 5 กุมภาพันธ์ 2549 เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วได้คุยกับคนที่บ้านแทบไม่เชื่อว่าเหตุการณ์บ้านเมืองเหมือนจะซ้ำรอยเมื่อ 14 ปีก่อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิทยุและโทรทัศน์ในสังกัด อ.ส.ม.ท. และโทรทัศน์ไอทีวี !
ใครที่ดูแต่โทรทัศน์ ฟังแต่วิทยุ และเป็นคนที่ไม่ได้ติดตามข่าวสารบ้านเมืองมาอย่างใกล้ชิดนัก จะรู้สึกเหมือนเหตุการณ์ที่ลานพระบรมรูปทรงม้าไม่เคยเกิดขึ้น หรือถึงเกิดก็เป็นเพียงปรากฏการณ์ที่ไม่มีคุณค่าส่งผลสะเทือนต่อสังคมอะไรมากนัก
เพราะข่าวส่วนใหญ่คือภารกิจของนายกรัฐมนตรีที่จังหวัดเชียงใหม่
โชคดีที่หนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับเมื่อเช้าวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2549 ให้ความสำคัญกับข่าวนี้อย่างตรงกับความเป็นจริง
รวมทั้งหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่และยักษ์รองอย่างไทยรัฐและเดลินิวส์ !
และโชคดีที่การชุมนุมจบลงอย่างสงบเรียบร้อย
ไม่เช่นนั้น สื่อวิทยุโทรทัศน์ก็จะเป็นหนี้เลือดประชาชนที่บาดเจ็บล้มตายลงเหมือนเมื่อ 14 ปีก่อนอีกหน
คงจะจำกันได้ว่าสังคมเริ่มถกประเด็นกรรมสิทธิ์ในสื่อวิทยุและโทรทัศน์กันในแทบจะทันทีหลังสิ้นเสียงปืนเมื่อ 14 ปีก่อน ก่อนจะพัฒนามาเป็นหลักการปฏิรูประบบสื่อมวลชนของรัฐในอีก 5 ปีต่อมา โดยก่อนหน้านั้น 3 ปีสถานีโทรทัศน์ช่องใหม่เกิดขึ้น
ไอทีวีไงล่ะ !
ศักดิ์ศรีของนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ดูจะมีมากขึ้น
แต่ก่อนนี้ นักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไม่มีสมาคมเป็นของตนเองเหมือนนักข่าวหนังสือพิมพ์
สมาคมของนักข่าวหนังสือพิมพ์ไม่ยอมรับนักข่าววิทยุและโทรทัศน์เข้าเป็นสมาชิก เพราะการที่วิทยุและโทรทัศน์ในประเทศไทยเป็นของหน่วยราชการ นักข่าววิทยุและโทรทัศน์จึงมีสถานภาพเป็นข้าราชการ หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ ต้องทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น ซึ่งก็คือทำตามนโยบายของรัฐบาลในที่สุด ไม่ได้มีเสรีภาพเหมือนกับที่นักข่าวหนังสือพิมพ์เชื่อว่าพวกตนมีอยู่
แต่แม้จะมีมาตรา 40 และโดยเฉพาะมาตรา 41 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ตราออกมาช่วยลดความแปลกแยกของนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ออกไปแล้ว การเข้าเป็นสมาชิกสมาคมของผู้นักข่าวสื่อหนังสือพิมพ์ก็ยังมีอุปสรรคอยู่
สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทยถือกำเนิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีมานี้
นักข่าววิทยุและโทรทัศน์เริ่มเชื่อว่าพวกตนมีเสรีเหมือนนักข่าวหนังสือพิมพ์แล้ว แม้ว่าจะเพิ่งเริ่มต้น แต่ก็เป็นก้าวย่างที่น่าภูมิใจ
หลังเหตุการณ์ 4 – 5 กุมภาพันธ์ 2549 พวกเขาอาจจะต้องคิดใหม่ ?
ทุกวันนี้ความคืบหน้าของมาตรา 40 ยังไปไม่ถึงไหน
ในขณะที่สถานีโทรทัศน์ไอทีวีที่เคยประกาศอย่างห้าวหาญว่าเป็นโทรทัศน์เสรี บัดนี้ก็อยู่ในเครือข่ายของนายกรัฐมนตรีผู้ขายชาติขายแผ่นดินไปเสียแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงอ.ส.ม.ท.ที่บัดนี้กลายสภาพเป็นบริษัทมหาชนที่ต้องแสวงผลกำไรสูงสุด และมีคนที่รัฐบาลเลือกเข้ามาบริหารสูงสุด
ตลอดวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2549 นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณเข้ามาบัญชาการการทำข่าวใน อ.ส.ม.ท. ด้วยตนเอง
เป็นการบัญชาการการทำข่าวอย่างง่ายที่สุด
คือห้ามทำข่าวมากเกินไป !
และห้ามรายงานสดจากสถานที่ !!
แม้รายการของสรยุทธ สุทัศนะจินดา และกนก รัตน์วงศ์สกุล จะรายงานข่าวการชุมนุมพอสมควร แต่ก็พูดออกตัวแล้วออกตัวอีกว่าเป็นกลาง เมื่อรายงานข่าวสนธิ ลิ้มทองกุลแล้วก็รายงานข่าวนายกรัฐมนตรีด้วย โดยให้ปริมาณให้เวลาเท่า ๆ กัน
ดูเหมือนโอเคนะ
แต่ที่จริงการให้เวลาเท่า ๆ กันเป็นเพียงภารกิจขั้นต่ำที่สุดในการทำหน้าที่สื่อมวลชน
และเป็นภารกิจที่เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายได้เปรียบในสังคม
ไม่ว่าจะ “ปิดบัญชีทักษิณ” กันได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดเมื่อไร และจะต้อง “เช็คบิล” ใครกันบ้าง
แต่จะต้อง “เช็คบิล” ระบบสื่อโทรทัศน์วิทยุของรัฐกันเป็นอันดับแรก
และอันดับแรกในอันดับแรก จะต้อง “เช็คบิล” คือนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ และไอทีวี !
จริงอยู่ ภายใต้ระบบทุนนิยมเสรีคำว่า “สื่อเสรี” อาจเป็นเพียงมายาภาพ !
จริงอยู่ สื่อในแต่ละประเทศเป็นภาพสะท้อนของระบบเศรษฐกิจและสังคมในประเทศนั้น ๆ ประเทศไทยเรามีรากฐานของการได้รับอิทธิพลจากระบบทุนนิยมอย่างหนักหนาสาหัสที่สุด วงการสื่อมวลชนในบ้านเราก็คือภาพสะท้อนของระบบทุนนิยมที่ชัดเจนที่สุด
แต่เราจะต้องไม่ยอมจำนน
ในประการแรก เราต้องเก็บรับบทเรียนจากเมื่อ 14 ปีก่อน
แนวคิดโทรทัศน์เสรีเกิดขึ้นในสมัยที่ประชาชนล้มหายตายจากเมื่อเดือนพฤษภาคม 2535 เพราะเป็นช่วงรัฐบาลเผด็จการปิดกั้นข่าวสารทางสื่อโทรทัศน์ วิทยุ ทุกช่องทุกสถานี รวมทั้งปิดกั้นข่าวสารในสื่อสิ่งพิมพ์ส่วนใหญ่ด้วยวิธีการต่าง ๆ นานา กระแสที่เกิดขึ้นในสังคมช่วงนั้นให้กำเนิดแนวคิด “สื่อเสรี” ขึ้นมา
ผลึกความคิดของกระแสที่เกิดขึ้นมามองเมื่อเวลาผ่านเกือบไป 14 ปีแล้ว นับว่าผิดพลาดไป
การจัดสรรคลื่นโทรทัศน์โดยมีการประมูลนั้นไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเลย เพราะเงื่อนไขในการประมูลกลับวัดกันที่ราคาว่าใครให้ผลประโยชน์ตอบแทนมากที่สุด ส่อให้เห็นความขัดแย้งของปรัชญาเต็มที่
กระแสกำลังเรียกร้องสื่อที่ “เสรี” แต่กลับใช้ “ราคา” เป็นตัววัด !
แทนที่จะพิจารณาคุณภาพของบุคลากร ปรัชญาและแนวคิด องค์ประกอบของผู้ร่วมเข้ามาประมูล
ถ้าจะเสรีตั้งแต่ตรงนั้นจริง ๆ ก็น่าจะประกาศไปเลยว่าราคาค่าประมูลไม่ต้องเสียให้รัฐก็ได้ แต่รัฐขออย่างเดียว คือ ขอดูคุณภาพของผู้จัดทำ ขอดูหลักประกันในการบริหารที่สามารถจะสร้างสื่อที่ให้ความเป็นธรรมในสังคม รวมทั้งความสามารถที่จะยืนหยัดและชูธงโต้กระแสทุน
ประเด็น “ชูธงโต้กระแสทุน” ถือว่าสำคัญมาก
เพราะถ้าเพียงสื่อเป็นอิสระจากการครอบงำของรัฐ แต่ตกอยู่ภายใต้การครอบงำของ “ทุน” แทนที่ – มันก็คือการหนีเสือแก่ ๆ เขี้ยวกร่อน ๆ มาหาจระเข้วัยฉกรรจ์ที่เต็มไปด้วยพละกำลัง !
แต่ในวันนั้นข้อเสนอลักษณะนี้ถูกมองข้าม ทุกคนต้องมนต์มายาหลงกระแสและเข้าใจคำว่าสื่อเสรีพลาดเป้าไปมาก
ก็เลยไม่เกิด “สื่อเสรี” แต่เกิด “สื่อทุน” ขึ้นมา !
เมื่อ “ทุน” เข้าครอบครองอำนาจรัฐเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ก็เลยฉิบหายกันไปใหญ่
เมื่อสื่อเริ่มมาจากทุน ทุนก็เป็นใหญ่ โทรทัศน์ช่องใหม่ขาดทุนต่อเนื่องจนเป็นเอ็นพีแอลของธนาคารเก่าแก่ที่ย่ำแย่ จึงไม่มีทางเลือกอะไรนอกจากจะต้องหาผู้ร่วมลงทุนใหม่เข้ามาใส่เงินใหม่เข้ามา
ที่สุดก็ “เสร็จ” นายกรัฐมนตรีคนนี้อย่างที่รู้กัน
เมื่อ “ปิดบัญชีทักษิณ” กันได้แล้วเราจึงไม่ควรเดินซ้ำรอยเดิม
จะต้องเรียกร้องให้รัฐบาลกำหนดลงไปเลยว่าจะต้องให้เงินอุดหนุนสื่อโทรทัศน์วิทยุ 1 สื่อ โดยที่การให้เงินอุดหนุนและการบริหารสื่อนั้น ผู้บริหารต้องไม่ใช่เป็นผู้ที่รัฐบาลแต่งตั้ง แต่จะต้องมาจากคณะกรรมการที่ประกอบจากภาคประชาชนหลาย ๆ ภาค
ไม่จำเป็นต้องขึ้นกับรัฐมนตรีท่านใด แต่เป็นองค์กรอิสระ
เพื่อเป็นหลักประกันว่าถ้ารัฐบาลชุดไหนจากไปแล้วมีชุดใหม่เข้ามา สื่อก็ยังได้รับเงินอุดหนุนเช่นเดิม และยังคงเป็นอิสระในการทำงานสื่อ
สื่อโทรทัศน์วิทยุไม่ควรเป็นธุรกิจเต็ม 100 ควรมีความหลากหลาย เป็นของชุมชน เป็นของท้องถิ่น
เพราะเมื่อเป็นธุรกิจก็จะต้องคำนึงถึงทุน พอระดมทุนแล้วก็พูดกันอยู่อย่างเดียวเหมือนธุรกิจอื่น ๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม เช่น ภาพยนต์ไทย ละคอนเวที ละคอนโทรทัศน์ เพลง และ ฯลฯ ที่ต้องคำนึงถึงผลกำไร ความคิดสร้างสรรค์ถูกทำลายลงไปมากต่อมากเพราะข้อจำกัดประการนี้ เพราะของดี ๆ กับของที่ทำเงินนั้นส่วนใหญ่ต่างกัน น้อยครั้งที่จะเหมือนกัน
สื่อมวลชนจะเป็นอิสระได้อย่างไรในเมื่อรายได้ต้องมาจากการโฆษณาเป็นหลัก
ไม่ว่าวิทยุ โทรทัศน์ หรือหนังสือพิมพ์ เมื่อมองจากมุมนี้ – ล้วนไร้เสรี !
สื่อเสรีที่พูด ๆ กันอาจจะเคยมี ผมจำได้ว่าครั้งหนึ่งศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทไทย (ศนท.) ตัดสินใจทำหนังสือพิมพ์เอง ด้วยเงินสะสมของศนท.ที่มาจากการบริจาคของประชาชนเมื่อครั้งเหตุการณ์ 9 -16 ตุลาคม 2516 เพราะไม่ต้องการตกเป็นทาสการบิดเบือนข่าวสารจากกลุ่มอนุรักษ์นิยมในขณะนั้น
แม้จะมีเนื้อหาที่ดูก้าวร้าว รุนแรง แต่เมื่อเรามามองย้อนหลังแล้ว สาระในหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นโดยหลักการแล้วเป็นจริง
ปัญหาใหญ่ ๆ ของวงการสื่อมวลชนในลักษณะที่กล่าวมานี้ ไม่ได้เกิดเฉพาะในประเทศไทย หากเกิดขึ้นทั่วไป
ขณะนี้มีอยู่ประมาณไม่เกิน 9 กลุ่มบริษัททั่วโลกที่มีอิทธิพลต่อโลก คุมสื่อทั้งหมดทั่วโลก
ไม่เพียงแต่เท่านั้น – ยังกำหนด “ค่านิยมทางวัฒนธรรม” แก่คนทั้งโลกด้วย
เป็นค่านิยมทางวัฒนธรรมที่โหมประโคมให้ “ลัทธิบริโภคนิยม” เกือบจะกลายเป็น “ศาสนา” ขึ้นมา
เพื่ออะไรเล่า – ถ้าไม่ใช่เพื่อ “ขายสินค้า” เป็นหลัก
เขียนใน
GotoKnow
โดย
นาย ณัฐวุฒิ พลครุฑ
ใน
สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองชุมพร
คำสำคัญ (Tags):
#พลัง
#สามัคคี
#เสรีภาพสำคัญยิ่ง
หมายเลขบันทึก: 43096
เขียนเมื่อ 7 สิงหาคม 2006 12:57 น. (
)
แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 15:33 น. (
)
สัญญาอนุญาต:
จำนวนที่อ่าน
จำนวนที่อ่าน:
ความเห็น (1)
ไม่บอกค่ะ ^__^
เขียนเมื่อ 7 สิงหาคม 2006 21:03 น. (
)
เลิกดูไอทีวีไปนานแล้ว ตั้งแต่กลุ่มชินเทคโอเวอร์
ชื่อ
อีเมล
เนื้อหา
จัดเก็บข้อมูล
หน้าแรก
สมาชิก
นาย ณัฐวุฒิ พลครุฑ
สมุด
สำนักงานสาธารณสุข...
อนันตริยกรรมของสื...
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท