วันนี้ดิฉันได้มีโอกาสพักผ่อนอยู่บ้านว่างเว้นจากการทำงานบ้าน(ทำหน้าที่แม่บ้านที่ดีภูมิใจก็วันนี้แหละ)ก็หยิบหนังสือพิมพ์มาอ่านจะได้มีความรู้บ้างไม่มากก็น้อย และอยากแบ่งปันเรื่องราวดีๆ ให้ทุกท่านได้รู้บ้างเผื่อจะเป็นประโยชน์เป็นแรงจูงใจในการทำงานนะคะ
ทุกคนย่อมมีความฝัน และต้องพยายามทำฝันให้เป็นจริง.... เช่นเดียวกับฝันของ ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ฝันอยากให้องค์กรอันเป็นแหล่งปลูกฝังประชาธิปไตยแห่งนี้ได้รับความเชื่อมั่นและศรัทธาจากประชาชนให้มากที่สุด
หลังจากจบการศึกษาปริญญาตรีนิติศาสตร์บัณฑิต (เกียรตินิยม) จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เนติบัณฑิตไทย ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ ได้รับพระราชทานทุนมูลนิธิอานันทมหิดล ไปศึกษาต่อปริญญาโท ทางนิติศาสตร์มหาบัณฑิต (LL.M.) ใบแรกที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และใบที่สอง ที่มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย
ต่อมาได้รับปริญญาเอก นิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต (S.J.D.) จากมหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย
หลังจากจบการศึกษา ดร.หนุ่ม ยังได้ประสบการณ์การทำงานด้านกฎหมายหลายแห่งที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. นครฟิลาเดลเฟีย และนครซานฟรานซิสโกประเทศสหรัฐอเมริกา
แทนที่จะเลือกทำงานในต่างประเทศอย่างถาวร ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ ตัดสินใจเลือกที่จะกลับมาทดแทนแผ่นดินเกิดรับราชการเป็นผู้พิพากษา และอาจารย์พิเศษสอนวิชากฎหมายหลายสถาบัน
ตลอดอายุราชการ 12 ปีที่อยู่ในรั่วศาลยุติธรรม ดร.สุทธิพล ทวีชัยการตั้งใจจะดำรงตำแหน่งตุลาการจนเกษียณอายุโดยไม่คิดลาออก ตามรอยบิดา (นายเสงี่ยม ทวีชัยการ) อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา
แต่แล้วมีผู้ให้ความเคารพท่านหนึ่งชักชวนให้สมัครเป็น เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) เพราะอยากให้นักกฎหมายที่มีความสื่อสัตว์ สุจริต ทำให้ชีวิตพลิกผันสู่โลกใหม่ที่เต็มไปด้วยขวากหนาม
จากเลขานุการ ชาญชัย ลิขิตจิตถะ ประธานศาลฎีกา (ตำแหน่งในขณะนั้น) และโฆษกศาลยุติธรรม ก้าวเข้าสู่การเป็น ซีอีโอในองค์กรอิสระในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการ กกต. ขณะที่อายุย่าง 46 ปีเท่านั้น
ทว่า......กว่าจะได้ตำแหน่งซีอีโอ กกต. และได้รับการยอมรับจากบุคลากรและสังคมภายนอก ดร.สุทธิพล ยอมรับว่า ฟันฝ่าอุปสรรคเยอะมาก การคัดสรร หัวหน้าสำนักงาน กกต. ต้องผ่านการแข่งกับผู้สมัครจำนวนมาก จนเหลือ 6 คนสุดท้าย ที่ต้องแสดงวิสัยทัศน์ต่อหน้ากรรมการ กกต. และสื่อมวลชน และได้รับเลือกด้วยคะแนนเอกฉันท์
หลังฝ่าด่านหินเข้ามาได้ต้องเผชิญกับวัฒนธรรมองค์กรที่ไม่คุ้นเคย ตลอดจนภาพลักษณ์ขององค์กร ที่ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความไม่เป็นกลาง
แต่ ดร.สุทธิพล ก็ไม่ยอมท้อถอยและใช้ประสบการณ์จากการเป็นผู้พิพากษาสายบริหาร เอาชนะขวากหนามได้ด้วยความร่วมมือของคนในองค์กรด้วยดี
แทบไม่น่าเชื่อว่าก่อนที่ ดร.สุทธิพล จะเข้ามาเป็นเลขาฯ องค์กรอิสระที่ทำหน้าที่สะท้อนความเป็นกลางและความเป็นประชาธิปไตยแห่งนี้ ปัญหา “เด็กฝาก” กลายเป็นอุปสรรคของการบริหารองค์กรไม่น้อย
“สิ่งแรกที่เน้นคือ การวางรากฐานระบบการบริหารบุคคลให้เน้นเพราะทรัพยากรบุคคลสำคัญที่สุด” เลขาธิการ กกต. เล่าว่า แต่ไหนแต่ไรมา องค์กรแห่งนี้ไม่มีการพัฒนาบุคลากรที่ทันสมัยและได้มาตรฐาน พนักงานส่วนใหญ่ เข้ามาโดยระบบเส้นสาย บางคนมีฝีมือ บางคนไม่มีฝีมือ เข้ามาแล้วอยู่กันเป็นกลุ่ม ๆ พนักงาน กกต. ไม่ได้มีเฉพาะในส่วนกลาง แต่มี กกต. จังหวัดด้วยการบริหารงานจึงต้องใช้หลักบูรณาการและปรับทั้งหมดไปพร้อม ๆ กัน
“ช่วงแรก ๆ ของการปรับปรุงระบบบริหารใหม่ ผมถูกต่อต้านมาก จึงจำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเอง ซึ่งหลักการของผมคือ หยิบจุดแข็งของตัวเอง และจุดอ่อนขององค์กร มาพิสูจน์ให้คนในองค์กรยอมรับ ศรัทธา เชื่อมั่น ไม่เล่นพรรคเล่นพวก ให้โอกาสทุกคน ไม่ได้เข้ามาเพื่อสร้างฐานอำนาจ หรือกอบโกยผลประโยชน์ ถ้าเป็นที่ยอมรับแล้วทุกอย่างก็ราบรื่น”
เมื่อเป็นที่ยอมรับในองค์กรแล้ว ภารกิจต่อไปคือการเร่งฟื้นฟูองค์กรด้วยการเรียกขวัญกำลังใจของพนักงานกลับคืนมา ด้วยการแต่งตั้งโยกย้ายอย่างเป็นระบบ สร้างระบบการทำงานในรูปของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการชุดต่าง ๆ เช่น คณะอนุกรรมการกลั่นกรองการแต่งตั้งโยกย้ายและเลื่อนเงินเดือน
โดยเน้นการมีส่วนร่วมของพนักงานเพื่อช่วยกันคิดและพัฒนาองค์กรและลดการผูกขาดอำนาจของผู้บริหารสูงสุดขององค์กรคือ เลขาฯ กกต. ลงไปด้วยทำให้ทำงานยากขึ้น จากที่เลขาฯ สั่งได้เลย ต้องฟังคนอื่นพูด ฟังความเห็นในที่ประชุม
“การแต่งตั้งโยกย้าย ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้งผู้บริหารระดับกลาง หรือผู้บริหารระดับสูงเราทำระบบทุกระบบที่เป็นมาตรฐาน ซึ่งการเคลื่อนแต่ละเรื่องเกิดปัญหาทั้งสิ้น เพราะไม่เคยทำพอผมมาทำ คนที่ผลักดันตรงนี้ ย่อมได้รับผลกระทบ ช่วงผมผลักดันอะไรต่าง ๆ ผมโดนทั้งหนังสือร้องเรียน หนังสือสนเท่ห์อะไรต่าง ๆ แต่เดี๋ยวนี้พนักงานเริ่มรู้แล้ว
ผมดูว่าองค์กรของเราต้องเปลี่ยนแปลง เป็นการเปลี่ยนแปลงทิศทางที่ดีขึ้น เพื่อให้องค์กรมีมาตรฐานมากขึ้น แล้วเราอย่าไปมองว่า กกต. เป็นองค์กรอิสระที่สามารถออกกติกา จริงอยู่ที่เราสามารถออกกติกาได้ แต่ว่าเราต้องมีมาตรฐานซึ่งคนที่วัดคือ สังคม เราไม่สามารถวัดตัวเราได้
เดืมทีเดียวสังคมอาจจะมองว่า เลขาฯ กกต. ก็คงเหมือนๆ กัน เลขาฯ คนนี้ ก็คงเหมือนคนอื่น ๆ แต่ต้องยอมรับว่า ผมไม่เหมือนคนอื่น ๆ เพราะกระตือรือร้นในการทำงาน และไม่ได้เข้ามาเพื่อกอบโกย แต่ต้องการพัฒนาองค์กรให้ดีขึ้น ผมจะไม่ทำงานโดยใช้พระเดช แต่จะทำงานโดยใช้พระคุณ เช่นตรงนี้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ทำนะ โดยที่เราไม่ต้องบังคับว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้”
นอกเหนือจากการปรับปรุงระบบการบริหารงานบุคคลให้เข้าที่เข้าทางแล้ว การปฏิรูปองค์กร เป็นเรื่องสำคัญที่ ดร.สุทธิพล ให้ความสนใจและใส่ใจกับสวัสดิการของบุคลากร มีการตรวจสุขภาพประจำปีให้กับทุกคน เกษียณอายุก่อนกำหนด การจัดทุนการศึกษาต่อต่างประเทศ และขอรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตลอดจนการปรับปรุงระเบียบการจัดการเลือกตั้ง และการสืบสวนสอบสวน เป็นต้น
ดร.สุทธิพล เหลือเวลาที่จะปฏิบัติภารกิจในฐานะ ซีอีโอ กกต. อีกปีเศษก็จะหมดวาระ (วันที่ 15 พฤศจิกายน 2554) แต่ยังมีพันธกิจที่ต้องเดินหน้าอีกมาก อาทิ การปรับปรุงระบบการจัดพิมพ์บัตรเลือกตั้ง ซึ่งเป็นการปฏิรูปกระบวนการจัดพิมพ์บัตรเลือกตั้งอย่างสิ้นเชิงขยายผลทดลองการใช้เครื่องใช้ลงคะแนนได้ และผลักดันกฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่นให้สอดคล้องกับกฎหมายเลือกตั้งระดับชาติ (ส.ส และ ส.ว.)
“ผมว่าตอนนี้ กกต. เดินหน้าไปในทิศทางที่ควรจะเป็น แต่ถามว่าสมบูรณ์ 100 % หรือไม่ ยังไม่สมบูรณ์ แต่เป็นไปขณะนี้จัดว่าดีมากแล้ว” ดร.สุทธิพล กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ปีกว่า ที่เหลืออยู่ ผมตั้งใจจะให้เป็นระยะเวลาที่มีคุณค่ามากที่สุด”
เป็นคำมั่นจาก ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ ทัพหน้า กกต. องค์กรอิสระที่คนในสังคมคาดหวังในกระบวนการประชาธิปไตยของประเทศไทย
ภายใต้สโลแกน “กกต.ยุคใหม่ สุจริต โปร่งใส และเที่ยงธรรม”
-การปรับปรุงระบบการแต่งตั้งโยกย้าย พัฒนาบุคลากร
-การจัดทุนการศึกษาต่อต่างประเทศให้กับพนักงาน
-การขอรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์
-ประสานงานกับกรมบัญชีกลาง และกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้พนักงาน กกค.
-สามารถเบิกจ่ายตรงค่ารักษาพยาบาล กับโรงพยาบาลของรัฐได้
ไม่ว่าองค์กรไหนถ้าทำได้อย่างนี้คงพัฒนาอย่างแน่นอนครับ
น่าเอาไปเป็นแบบอย่าง
เอ้า เข้ามาช่วยย้ำในสฐานะคนที่คุ้นเคยรู้จักกัน เลขาธิการคนนี้ เข้าข่ายบุคคลที่ดีเยี่ยมคนหนึ่งในบ้านเมืองไทย
ถ้าข้าราชการไทย คนไทยทุกคนไม่ว่าจะทำงานอะไร สายงานไหน ทำงานอย่างมุ่งมั่น ซื่อสัตย์สุจริต คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัว ประเทศไทยคงก้าวหน้ามากกว่าที่เป็นอยู่ ไม่สับสน วุ่นวายอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
อ่านกี่ครั้งก็ไม่เบื่อเลยครับ...