การค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของความหม่นหมอง


เรื่องที่เมืองไทยแก้อย่างไรก็ยังแก้ไม่ได้

          ระยะนี้จิตใจผมเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ เห็นอะไรก็ไม่น่าภิรมย์ไปหมด จะว่าเป็นเพราะงานเขียนที่ต้องเขียนส่งสำนักพิมพ์ก็ไม่ใช่ เพราะต้นฉบับทุกเล่มส่งหมดแล้ว ในระยะเวลาที่กำหนด  หรือเงินไม่พอใช้ ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะตัวผมเองต้องรู้ตัวเองในกรณีนี้ แล้วอะไรละคือสาเหตุที่แท้จริง ถ้าขืนปล่อยไว้อย่างนี้ คงอึดอัดตายเลย

          สามวันมาแล้ว ผมตั้งสติให้มั่น คิดหาสาเหตุ เริ่มจากระยะเวลา กี่โมง กี่ยามที่ผมจะวิตกกังวล คำตอบคือประมาณ 4 โมงเช้า ย้อนกลับไปดูว่า ตั้งแต่ตื่นนอนจนถึง 4 โมงเช้าทำอะไรบ้าง ทำภาระกิจส่วนตัว ดูแลต้นไม้ ทานอาหารเช้า ดูทีวี และอ่านหนังสือพิมพ์สองฉบับ ทั้ง 3 วันที่ผ่านมา พอพ้น 3 วัน ผมลองตัดบางรายการออก ไม่ดูทีวี ไม่อ่านหนังสือพิมพ์ เออดีขึ้น ผมเริ่มรู้ว่าการดูทีวี กับอ่านหนังสือพิมพ์ น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมเครียด ถามว่าไม่อ่าน ไม่ดู ตลอดไปได้ไหม คงไม่ได้ เพราะข่าวสารเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ในชีวิตประจำวันของทุกคน ถามต่อไปว่า ผมดู ผมอ่านข่าวอะไร รู้ทันทีว่าอะไรคือสาเหตุของความเครียด ครับ ผมอ่านและดูข่าวการเมือง

          สถานการณ์บ้านเมืองเรา แย่ลงไปทุกวัน ความไม่สามัคคีของคนในชาตินับวันจะหนักข้อไปทุกที พอปี่กลองของการเลือกตั้งเริ่มมีเค้า ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลหาเสียงกันยกใหญ่ สุดท้ายคนหน้าเก่า ๆ พฤติกรรมเก่า ๆ ก็มานั่งกันหน้าสลอนในสภา หน้าเบื่อใหมละครับ จะให้ผมทำอย่างไรดี โอนสัญชาติไปเป็นคนลาวดีใหม

 

หมายเลขบันทึก: 428650เขียนเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2011 10:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:37 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)
  • สวัสดีค่ะ อาจารย์
  • แม้ว่า....อาจารย์จะโอนสัญชาติไปเป็นลาวได้ แต่จิตใจก็ยังคงเป็นคนไทยอยู่ดีค่ะ 
  • โดยส่วนตัวแล้ว อะไรที่ทำให้ ไม่สบายใจจะมองข้ามไปค่ะ เมื่อเกิดทุกข์ก็จะหลบหนี 
  • แต่...ทั้งนี้ทั้งนั้น ความรับผิดชอบของแต่ละคน ก็มีไม่เหมือนกันนะคะ
  • ........ 
  • ไม่เฉพาะข่าวการเมืองหรอกนะคะ ที่ทำให้ไม่สบา่ยใจ ข่าวบันเทิง ก็ยังไม่บันเทิงเลยอ่ะค่ะ 
  • ขอบคุณอาจารย์ีค่ะ 

สวัสดีครับคุณป้า

          สิ่งที่คนไทยมีมากกว่าคนชาติอื่นคือ การรักบ้านเกิดเมืองนอน จริงครับ ไม่ว่าเราจะเปลี่ยนเป็นคนชาติใด แต่จิตใต้สำนึกมันบอกตลอดเวลาว่า ถึงจะตายไปแล้วกี่ชาติกี่ภพ ก็จะขอเกิดเป็นคนไทย (ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าจะได้เกิดหรือไม่) ขอบพระคุณมากครับ ที่เข้ามาแลกเปลี่ยนกัน

ผมชอบครับที่คุณรู้จักจิตใจตัวเอง

เพราะผู้ใดตามดูจิตผู้นั้นจะพ้นบ่วงมาร ขอบคุณที่แบ่งปันครับ

บทความนี้เขียนเมื่อ6ปีที่แล้ว เมื่อได้อ่านอีกครั้งก็ยังพบว่า การเมืองยังเป็นปัจจัยที่ทำให้เครียดเหมือนเดิม เวลาผ่านไป แต่ความยุ่งเหยิงของการเมืองไทยก็ยังคงอยู่ แถมเศรษฐกิจเวลานี้ก็แสนแย่ ชีวิตมันดูเหนื่อยล้า สิ่งหนึ่งที่ทำให้ความรู้สึกดีขึ้นคือการปรับเปลี่ยนความคิด วิธีการคิดและพฤติกรรม เสพข่าวเมื่ออยู่นอกบ้าน จะเครียดจะรู้สึกแย่แค่ไหนก็ทิ้งมันนอกบ้าน กลับเข้าบ้านก็ทำอะไรที่สำราญใจปลูกต้นไม้ ฟังเพลง อ่านหนังสือเล่มโปรด เล่นกับหมาแมว พูดคุยกับคนในครอบครัว ทำกับข้าว เหมือนเป็นการเติมพลังให้ชีวิตซ่อมแซมความรู้สึกตัวเอง ก่อนจะต้องไปเผชิญเรื่องหนักๆที่เลี่ยงไม่ได้ อีกหกปีข้างหน้าไม่รู้ว่าจะเป็นแบบไหนนะประเทศไทย

ถือซะว่าเป็นเรื่อง เอาไว้คุยกัน ในทุกยุคทุกสมัยเลยนะคะ เพราะความก้าวข้ามปัญหานี้ยังไม่ก้าวกระโดดพอที่จะทำให้ไทยเป็นไทยศิวิลัยกันได้จริงๆมั้งคะ แต่เราก็ต้องไม่ทุกข์กับปัญหา ไม่เอาใจผูกกับปัญหาแม้ว่าเราอยู่ในปัญหานั้นๆก็ตามคะ ส่วนตัวแล้วรู้ว่ามันอยากเพราะเราจะอยู่ในประเทศในสังคม แต่เราต้องใช้พลังบวก บวกไเรื่อยๆและทำหน้าที่ ของตัวเองให้ที่สุด เรื่องบัตเตอร์ฟลายเอฟเฟคค์ก็อาจจะเกิดได้จริงๆนะคะ ยิ่งสังคมลบเรายิ่งต้องใส่พลังบวกเรายิ่งต้องทำฐานใจของเราให้แข็งแรงเพื่อที่จะมีกำลังใจยืนหยัดและสู้ สู้กันต่อคะ มาส่งแรงใจกันต่อไปคะ ตราบใดที่โลกยังไม่หยุดเราก็ยังมีโอกาส มีโอกาสให้คนต่อๆไปด้วยคะ

สวัสดีค่ะคุณอา หนูนั่งอ่านบทความนี้ ก็นึกตัวเองเช่นกัน หนูเองก็เป็นคนที่มีความหม่นหมองในใจ บางทีไม่อยากจะเปิดแม้กระทั่งทีวี หรือ หนังสืออะไรเลย ไม่อยากพบผู้คน ไม่อยากใคร ยิ่งคนรู้จัก เคยเป็นกระทั่ง ไม่อยากพบใครเลย ....แต่เรากระทำเช่นนั้น ..มานั่งนึกดูแล้ว เราก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย ... กลับแย่ยิ่งกว่าเดิมอีกค่ะ..แต่การเปิดใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น..ว่าสิ่งนั้น..สิ่งที่กระทบใจเรา...มันทำให้เราบาดเจ็บมาก..หากเจ็บมากก็ปล่อยวางค่ะ...ของหนักที่ถือไว้ ถือนานๆ ก็หนักนะค่ะ วางไว้บ้าง หลง ลืม ไปบ้างก็ดี... บางทีการเป็นโรคหลงลืมนี่ก็ดีอย่างนึงนะค่ะ ...ทำให้เราไม่ต้องจำอะไรมาก...ยิ่งช่วงนี้..มีลูก..วัน ๆ แทบไม่ได้ทำอะไร เล่นกับลูก..ลืมไปเลยค่ะ ว่าบางทีก็เคยมีอาการหม่นหมองในใจบ้าง มองหน้าลูกแล้วก็หายแล้ว...อ่านบทความของคุณลุง...ขอเป็นกำลังใจให้นะค่ะ...

แม่ข้าวสวย

..... อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/428650
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท