วันนี้ผู้เขียนขออ้างคำสอนของหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน พระอรหันต์ของชาวอุดรฯ ถ้าเราท่านทั้งหลายได้พิจารณา โดยใช้หลักโยนิโสมนสิการ อย่างละเอียด ถี่ถ้วนแล้ว จะเห็นได้ว่าชีวิตคนเราก็ไม่มีอะไรมากมาย วนเวียนทุกข์สุขสลับกันไป เหนื่อยล้าในบางครั้ง พอมีกำลังใจก็ลุกขึ้นมาใหม่เฉกนี้เรื่อยไป
ท่านหลวงตาฯเคยสอนว่า "เหตุที่เราท่านทั้งหลายเป็นเช่นนี้ก็ด้วยมัวยึดมั่นถือมั่นจนกลายเป็นภูเขาทั้งลูก ทับถมจิตใจให้ได้รับความเดือดร้อนวุ่นวาย หาความสงบสบายใจไม่ได้ ก็เนื่องจากสัญญาความสำคัญมั่นหมาย ยกสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาเป็นตนโดยไม่ทราบสิ่งเหล่านนี้เป็นภูเขาทั้งลูกนั่นเอง ใจจึงหาเวลาจะขยับขยายตัวออกจากความทุกข์ ความร้อนภายในใจไม่ได้เนื่องจากตัวได้นำสิ่งเหล่านี้แบกไว้บนบ่า คือ บนดวงใจเสมอ"
จริงๆแล้วเราท่านควรจะชินความทุกข์ลำบากภายในจิตได้แล้ว เพราะมันวนเวียนมาถามข่าวคราวเราท่านอยู่เป็นนิตย์...แล้วเราทำไมไม่ชินล่ะ? เราท่านจะพบคำตอบนี้ก็ต่อเมื่ออายุปาเข้าไปครึ่งค่อนคนแล้วล่ะ แต่ถึงขณะนั้นก็มีบ้างใครบางคนที่ยังไม่ชินรับมือกับความทุกข์ในจิต
ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่การไม่ยึดมั่นถือมั่น หมั่นสร้างความหนักหน่วงให้ใจ นั่นเอง...เริ่มหายเหนื่อยแล้วใช่ไหมคะ
เป็นอีกคนที่รักหลวงตามากครับ
เคยไปกราบท่านครั้งเดียวต้นปี 2553
ปีนี้ว่าจะไปกราบท่านอีก แต่ญาติมิตรไม่พร้อม
เลยไม่ได้ไป ปรากฏว่าท่านละสังขารก่อนเราได้บุญอีกครั้งจนได้
เรื่องการติดตามการเขียนกลอนนั้น
ติดตามได้ที่เว็บนี้ครับ
หากรักทางนี้ก็ขยันอ่านกลอนมากหน่อย สุนทรภู่ ดีที่สุดเลย
แล้วสักเกตลีลากวีไว้
อ่านบ่อยไม่นานก็เขียนได้ครับ
แต่ต้องก้าวที่ละก้าวครับ
ขอบคุณมากนะคะอาจารย์สำหรับคำแนะนำ ครั้งต่อไปจะพยายามลองแต่งมาให้อาจารย์ได้แนะนำอีกนะคะ
ความทุกข์...ทนได้ยากจึงหนักเหนื่อย พวกเรื่อยๆมาเรียงๆเกี่ยงขอไหว้
ถอยห่างธรรมเิกิดปัญหาระอาใจ ไปหลงไหว้บนบานศาลอินทร์พรหม
พิฆเนศวรชูชกยกกันใหญ่ นักบวชไทยทำเหลวไหลไม่เหมาะสม
พุทธองค์ให้ปัญญาอย่าโง่งม น่าขื่นขมนักบวชเพี้ยนเปลี่ยนศาสดา
จริงๆแล้วคนไทยเรางมงายเรื่องพรรคนี้กันมากเหมืนกัน อีกทั้งน้อยนักที่จะมีนักบวชที่เป็นนักปฏิบัติไม่หลงกรอบปฏิบัติของตน จึงเป็นเหตุทำให้คนเราหมดศรัทธาแล้วหันไปพึ่งอย่างอื่นแทนโดยลืมนึกถึงเหตุผลไป