เพื่อให้เข้าใจง่ายเราดูคำว่า Standard (มาตรฐาน) ก่อน พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายว่า คือ สิ่งที่ถือเป็นหลักสำหรับเทียบกำหนด
“มาตรฐาน” มีหลายประเภทตามบริบทและความเป็นไปของสังคม (โลก) เช่น เดิมมี “มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม” ต่อมาสังคมให้ความสำคัญกับการจัดการก็เกิด “มาตรฐานระบบการบริหารจัดการ” ที่เราคุ้นหูกันคือ ISO ในประเทศไทย “มาตรฐานชุมชน” เกิดขึ้นตามโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ส่วนมาตรฐานที่ใช้เป็นเกณฑ์หรือหลักสำหรับการเปรียบเทียบเรียกว่า มาตรฐานอ้างอิง (Reference standard)
อาจแปล Standardization (การมาตรฐาน) ว่าคือการกำหนดหลักเกณฑ์และนำมาใช้ เพื่อให้ได้สินค้าและบริการที่มีคุณภาพคงที่ หรือพัฒนาคุณภาพให้ดีขึ้น (เมื่อดีขึ้นแล้วก็คงคุณภาพนั้นไว้ได้) แปลง่ายๆ คือ ให้มีคุณภาพที่คงเส้นคงวานั่นเอง
Calibration (การสอบเทียบ) คือ การตรวจสอบและปรับความถูกต้องของเครื่องมือวัด ตามหลักวิชาการโดยเปรียบเทียบกับมาตรฐานอ้างอิง เพื่อสร้างหลักประกันว่า กระบวนการ/วิธีการใหม่นี้จะมีมาตรฐาน ซึ่งเมื่อผนวกกับคุณภาพตามมาตรฐานของ input อื่นๆ เช่น วัสดุ บุคลากรหรือแรงงาน ก็จะได้สินค้า/บริการ ที่มีคุณภาพมาตรฐาน
Test (การทดสอบ) คือ การตรวจหาลักษณะเฉพาะ/สมรรถนะ/องค์ประกอบของวัสดุ/เครื่องมือ/ กระบวนการ/สินค้าบริการ/ปรากฏการณ์ ตามวิธีดำเนินการที่ระบุไว้โดยต้องทำตามหลักวิชาการและมีการบันทึกผลการทดสอบเป็นเอกสาร
หากทดสอบเครื่องมือแล้วจบที่การรายงานผล ก็คือ Test นั่นเอง แต่สำหรับ Calibration จะเพิ่มการเปรียบเทียบผลการทดสอบที่ได้กับเครื่องมือที่เป็นมาตรฐานอ้างอิงและมีการปรับให้มีความเที่ยง (validity) แม่นยำ (precision) เชื่อถือได้ (reliability) เท่ากับหรือใกล้เคียงมาตรฐานอ้างอิงในระดับที่ยอมรับได้ตามหลักวิชาการ Test จึงเป็นขั้นตอนหนึ่งของ Calibration
ตัวอย่างเช่น การ Calibrate การตรวจช่องปากเพื่อให้ผู้ตรวจสามารถตรวจได้มาตรฐานเดียวกัน นอกจากจะปรับที่ทักษะของผู้ตรวจแล้วยังต้องคำนึงถึงเครื่องมือและวิธีการด้วย หากมุ่งที่ความถูกต้องของผลการตรวจ นอกเหนือจากตัวผู้ตรวจแล้ว เครื่องมือและอุปกรณ์ก็มีบทบาทสำคัญด้วยเพื่อให้การมองเห็นและตรวจพบ (detect) ได้ใกล้เคียง Reference standard
ที่ต้องทำความเข้าใจคือ Reference standard ไม่ได้ถูกกำหนดอย่างตายตัว แต่ขึ้นกับวัตถุประสงค์ของเรื่องนั้นๆ ว่าจะมีคุณภาพมาตรฐานอย่างไร เช่น ต้องการให้ครูตรวจฟันเด็กนักเรียนที่มีฟันแท้ผุเพื่อส่งต่อมาให้หมอฟันรักษา มาตรฐานคือ ส่งแต่เด็กที่มีฟันแท้ผุมาหาหมอฟัน ไม่ใช่ฟันน้ำนมผุ หรือฟันแท้ดีๆ ผู้เป็นมาตรฐานอ้างอิงให้ครูเปรียบเทียบอาจเป็นทันตาภิบาลหรือทันตแพทย์ก็ได้ แต่ให้มุ่งผลตรวจฟันแท้ผุได้อย่างถูกต้อง ไม่ต้องสนใจการตรวจเหงือกหรือฟันน้ำนม และต้องใช้เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ อย่างที่ครูต้องใช้ในชีวิตจริง ไม่ใช่ดำเนินการปรับมาตรฐานในคลินิกทันตกรรม แต่สถานที่ที่ครูต้องทำงานจริงคือในโรงเรียนซึ่งต่างจากคลินิกทันตกรรมทั้งตัวสถานที่และเครื่องมืออุปกรณ์
ไม่มีความเห็น