บัญชียา รพ.สต.(หมวดยาเม็ด/ยาแคปซูล3)


Multivitamin Tablet

 ส่วนประกอบ 

          ในแต่ละเม็ด  ประกอบด้วย     Vitamin A              2,500       ยูนิตสากล

                                                Vitamin D                 300       ยูนิตสากล

                                                Vitamin C                   15       ยูนิตสากล

                                                Thiamine  HCL            1       มิลลิกรัม

                                                 Riboflavin                  0.5       มิลลิกรัม

                                                 Nicotinamide           7.5        มิลลิกรัม

ข้อบ่งใช้ 

                ใช้ทดแทนวิตามินที่ขาดไป   โดยเฉพาะในคนที่ขาดอาหาร   เบื่ออาหาร   หรือเจ็บป่วยนานๆ

ขนาดและวิธีการใช้ 

                รับประทานครั้งละ 1 เม็ด   วันละ 3 ครั้ง

 ข้อควรระวัง

                ระวังการได้รับวิตามินเอ   และวิตามินดี   ในขนาดสูงจนอาจเกิดพิษได้

อาการอันไม่พึงประสงค์

                อาจเกิดอาการคลื่นไส้   อาเจียน   ปวดศีรษะ   ท้องร่วง

 

Niclosamide Tablet

 ส่วนประกอบ 

                ในแต่ละเม็ด  ประกอบด้วยตัวยา   Niclosamide 500  มิลลิกรัม

 ข้อบ่งใช้ 

                ใช้รักษาพยาธิตัวตืด เช่น พยาธิตัวตืดวัว   พยาธิตัวตืดหมู   พยาธิตัวตืดปลา   และพยาธิตัวตืดอื่นๆ

ขนาดและวิธีการใช้ 

                -  เด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี          รับประทานครั้งละ 1 เม็ด  วันละครั้งเดียว

                -  เด็กอายุ 2 – 6 ปี   รับประทานครั้งละ 2 เม็ด   วันละครั้งเดียว

                -  เด็กอายุมากกว่า 6 ปี  และผู้ใหญ่          รับประทานครั้งละ 4 เม็ด  วันละครั้งเดียว

                **  ให้ยาระบายหลังการให้ยา niclosamide 2-3 ชั่วโมง   ในการฆ่าพยาธิตืดหมู (T. solium)   เพื่อป้องกันการเกิด cysticerosis **

 

Paracetamol Tablet

ส่วนประกอบ 

                ในแต่ละเม็ด  ประกอบด้วยตัวยา   Paracetamol  325 มิลลิกรัม  และ 500 มิลลิกรัม

ข้อบ่งใช้

1.  ใช้ระงับอาการปวดทั่วๆ ไปที่ไม่รุนแรงมากนัก เช่น ปวดศีรษะ   ปวดฟัน   ปวดกล้ามเนื้อ   ปวดบาดแผล  เป็นต้น

2.   ใช้ลดไข้  เช่น  ไข้หวัด   ไข้ที่เกิดจากการอักเสบติดเชื้อทั่วๆ ไป

ขนาดและวิธีการใช้

     เด็ก  (10-15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม)

                -   อายุ 1-6 ปี           ใช้ขนาดครั้งละ 125-250 มิลลิกรัม   ทุก 4-6 ชั่วโมง

                -   อายุ 6-12 ปี         ใช้ขนาดครั้งละ 250-500 มิลลิกรัม   ทุก 4-6 ชั่วโมง

 

    ผู้ใหญ่  (10-15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม)

-   ใช้ขนาดครั้งละ 500-1,000 มิลลิกรัม   ทุก 4-6 ชั่วโมง   ขนาดยาสูงสุดไม่เกินวันละ 4 กรัมถ้าใช้ยาในช่วงระยะเวลาสั้นๆ   แต่ถ้าใช้ยาในระยะยาว   ไม่ควรเกินวันละ 2.6 กรัม

คำเตือน  ข้อควรระวัง  และข้อห้ามใช้ 

1. เด็กอายุ 6-12 ปี   ไม่ควรรับประทานยานี้ติดต่อกันนานเกิน 5 วัน   ส่วนผู้ใหญ่ไม่ควรรับประทานยานี้ติดต่อกันนานเกิน 10 วัน

2. ควรระมัดระวังในการใช้ยากับผู้ป่วยที่ตับหรือไตทำงานผิดปกติ   ถ้าต้องการใช้ยาติดต่อกันหลายๆ ครั้ง   ควรใช้ขนาดลดลงเท่าที่จำเป็น

3.  เด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี    แนะนำให้ใช้ยาน้ำเชื่อมแทน 

อาการอันไม่พึงประสงค์

1.  อาการแพ้มักพบได้น้อย เช่น เหนื่อยง่าย  และอ่อนเพลีย   เลือดจาง methaemoglobinemia   ตาและผิวหนังเหลืองเนื่องจากตับอักเสบ

2.  อาการแพ้ยามักมีอาการคัน   หรือผื่นขึ้นบนผิวหนัง

Penicillin V Tablet

ส่วนประกอบ

                ในแต่ละเม็ด  ประกอบด้วยตัวยา   Penicillin V  125 มิลลิกรัม  และ 250 มิลลิกรัม

ข้อบ่งใช้

1.   ใช้รักษาอาการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เช่น คออักเสบ   ต่อมทอลซิลอักเสบ   คอตีบ   หลอดลมอักเสบ   ไซนัสอักเสบ   เยื่อจมูกอักเสบชนิดเป็นหนอง เป็นต้น

2.    การติดเชื้อของผิวหนัง เช่น แผลเปื่อย   แผลอักเสบ   ไฟลามทุ่ง   ฝี   ตุ่มหนอง   บาดแผลไฟไหม้  น้ำร้อนลวก  เป็นต้น

3.   โรคติดเชื้อของตาและหู เช่น ตาอักเสบ   ถุงน้ำตาอักเสบ   กุ้งยิง

4.   อื่นๆ เช่น ปีกมดลูกอักเสบ   มดลูกอักเสบ   เหงือกอักเสบ  เป็นต้น

ขนาดและวิธีการใช้

                -   เด็ก         อายุ 1-5 ปี           รับประทานครั้งละ 125 มิลลิกรัม   ทุก 6 ชั่วโมง   ก่อนอาหาร 30 นาที

                -   ผู้ใหญ่   รับประทานครั้งละ 250-500 มิลลิกรัม   ทุก 6 ชั่วโมง   ก่อนอาหาร 30 นาที

ข้อควรระวัง  และข้อห้ามใช้ 

1.   ห้ามใช้ในผู้ป่วยสนที่แพ้ยากลุ่ม Penicillins  และ Cephalosporins

2.   หากเกิดอาการผื่นแดง   ระคายเคืองหรือบวม   ให้หยุดใช้ยาและปรึกษาแพทย์

3. ไม่ควรใช้กับผู้ป่วยที่มีการติดเชื้ออย่างรุนแรงและเรื้อรังในเนื้อเยื่อที่อยู่ลึก เช่น  โรคเยื่อบุหัวใจอักเสบอย่างเฉียบพลันที่มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย , เยื่อหุ้มสมองอักเสบ , ซิฟิลิส

4.    ใช้อย่างระมัดระวังในผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ , หญิงมีครรภ์ , หญิงให้นมบุตร

อาการอันไม่พึงประสงค์

-   ในผู้ป่วยที่แพ้ยานี้อาจเกิดคัน  ลมพิษ   ผิวหนังร้อนแดง   จนถึงอาจเกิดแบบ Anaphylactic  shock  และตายได้ใน 1-2 นาที

-   ยาขนาดสูงอาจทำให้ชัก   ไตพิการได้

-   อาจมีอาการคลื่นไส้   อาเจียน   ท้องเดิน

 

Ranitidine Tablet

 ส่วนประกอบ

                ในแต่ละเม็ด  ประกอบด้วยตัวยา   Ranitidine  150  มิลลิกรัม

 

ข้อบ่งใช้

                ใช้รักษาแผลของลำไส้ส่วนบน, แผลของกระเพาะอาหาร, กรดไหลย้อน, Zollinger-Ellison Syndrome

ขนาดและวิธีการใช้

-  เด็กอายุ 1 เดือน – 16  ปี

*  ในการรักษาโรคแผลในลำไส้และกระเพาะอาหาร ให้รับประทาน 2-4 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว1กิโลกรัมต่อวัน แบ่งให้ วันละ 2 ครั้ง เช้า เย็น ขนาดสูงสุดไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน โดยรับประทานยาติดต่อกัน 4 สัปดาห์ จากนั้น maintenance therapy 2-4 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว1กิโลกรัมต่อวัน วันละครั้งก่อนนอน ขนาดสูงสุดไม่เกิน  150 มิลลิกรัมต่อวัน

*  ในการรักษาโรคกรดไหลย้อน ให้รับประทาน 5-10 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว1กิโลกรัมต่อวัน แบ่งให้ วันละ 2 ครั้ง เช้า เย็น ขนาดสูงสุดไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน

-  ผู้ใหญ่

 * ในการรักษาโรคแผลในลำไส้และกระเพาะอาหาร ให้รับประทาน 150 มิลลิกรัมให้ วันละ 2 ครั้ง เช้า เย็น  หรือ 300 มิลลิกรัมวันละ 1 ครั้งก่อนนอน โดยรับประทานยาติดต่อกัน 4 สัปดาห์ จากนั้น maintenance therapy ให้รับประทาน 150 มิลลิกรัม ก่อนนอน

*  ในการรักษาโรคกรดไหลย้อน  ให้รับประทาน 150 มิลลิกรัมให้ วันละ 2 ครั้ง เช้า เย็น  หรือ 300 มิลลิกรัมวันละ 1 ครั้งก่อนนอน โดยรับประทานยาติดต่อกัน 2 เดือน

 

คำเตือน  ข้อควรระวัง  และข้อห้ามใช้ 

-   ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่แพ้ยานี้  

-   ใช้อย่างระมัดระวังในผู้ป่วยโรคตับ หรือไต

                -   การใช้ยาติดต่อกันเป็นเวลานานอาจทำให้ร่างกายขาดวิตามินบี 12 ได้

อาการอันไม่พึงประสงค์

                อาจพบอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ง่วงซึม สับสน นอนไม่หลับ ตับอ่อนอักเสบ ตับวาย  เม็ดเลือดขาวต่ำและอาการแพ้ยา

R-den

ส่วนประกอบ

                ในแผงยา 28 เม็ด ประกอบด้วยยาเม็ดสีขาว 21 เม็ด แต่ละเม็ดประกอบด้วย

0.15 มก. เลโวนอร์เจสตรีล และ0.03 มก. เอทินิลเอสตราไดออล และยาเม็ดแป้งสีเหลืองอีก 7 เม็ด            

ข้อบ่งใช้

ใช้เป็นยาคุมกำเนิด

ขนาดและวิธีการใช้

                การเริ่มต้นรับประทานยาแผงแรก ต้องรอให้ประจำเดือนมาก่อนและให้รับประทานยาวันละ 1 เม็ด โดยรับประทานยาในวันแรกของการมีรอบเดือน หรืออาจเริ่มรับประทานยาในวันที่ 2-5 ของรอบเดือนก็ได้ แต่กรณีนี้ต้องแน่ใจว่าได้คุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นเพิ่มเติมด้วย การรับประทานยาเม็ดแรกให้เริ่มจากเม็ดสีขาวซึ่งมีลูกศรขนาดใหญ่กำกับอยู่และรับประทานเรียงตามลูกศรจนกระทั่งหมดแผง เมื่อหมดแผงแรกแล้วให้เริ่มรับประทานยาแผงต่อไปโดยไม่ต้องหยุดยา การรับประทานยาให้รับประทานในเวลาเดียวกันทุกวัน เช่น หลังอาหารเย็น หรือก่อนนอน

กรณีลืมรับประทานยาตามวันและเวลา

ถ้าลืมกินยา 1 วัน ให้กินยาทันทีที่นึกได้ และกินมื้อต่อไปตามเวลาปกติ ถ้าลืมกินยา 2 วันติดกัน ให้กินยา 2 เม็ดในวันที่นึกได้ว่าลืมกินยา จากนั้นกินยาอีก 2 เม็ดในวันรุ่งขึ้นแล้วกินยาตามปกติในวันถัดไป และควรคุมกำเนิดวิธีการอื่นร่วมด้วยใน 7วันแรก ถ้าลืมกินติดต่อกัน 3 วัน ควรปรึกษาแพทย์ โดยอาจต้องเริ่มใช้ยาแผงใหม่ และใช้วิธีการคุมกำเนิดแบบอื่นร่วมด้วยใน 7 วันแรกที่เริ่มทานยาแผงใหม่ แต่ถ้าลืมกินยาใน 7 เม็ดสุดท้าย(ซึ่งเป็นเม็ดยาสีขาวที่ไม่มีตัวยาฮอร์โมนผสมอยู่) สามารถเพิ่มยาเป็น 2 เม็ด หรือข้ามไปเลยก็ได้ แต่ที่สำคัญคือต้องเริ่มยาในรอบใหม่ให้ตรงเวลาหรือวันที่กำหนด

คำเตือน   และข้อห้ามใช้

1.  ห้ามใช้ยานี้กับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดอุดตัน และโรคตับ

2. ไม่ควรใช้ในสตรีที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดอุดตัน เช่น มีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดอักเสบ โรคอ้วน เบาหวาน และความดันโลหิตสูง

3.  ระมัดระวังการใช้ในสตรีที่สูบบุหรี่โดยเฉพาะสตรีที่อายุมากกว่า 35 ปี ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา    

อาการอันไม่พึงประสงค์ที่ต้อแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรทันที

1.ปวดหน้าอกไอเป็นเลือดมึนงงหรือเป็นลม,ปวดขาแขนหรือขาหนีบ, ปวดศีรษะอย่างรุนแรงหรือเฉียบพลันหรือ ปวดศีรษะไมเกรน,ปวดท้องอย่างรุนแรง

2.หายใจลำบากอย่างเฉียบพลัน สูญเสียการประสานงานในข้างใดข้างหนึ่งของร่างกาย มือ เท้า หรือข้อเท้าบวมหรือน้ำหนักขึ้นอย่างรวดเร็ว

3.มีปัญหาในการมองเห็นและการพูด แขนหรือขาอ่อนแรง หรือชา โดยเฉพาะข้างใดข้างหนึ่งของร่างกาย

4.เนื้อเยื่อเต้านมมีการเปลี่ยนแปลงหรือ มีสารคัดหลั่ง มีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติระหว่างมีประจำเดือน

5.ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น

6.มีอาการของการติดเชื้อที่ช่องคลอด ท้องด้านบนมีอาการกดเจ็บ อาเจียน ผิวหนังหรือตามีสีเหลือง

Roxithromycin

ส่วนประกอบ

ใน 1 เม็ด ประกอบด้วยตัวยา roxithromycin 150 มิลลิกรัม              

ข้อบ่งใช้

รอกซิโทรมัยซิน (roxithromycin) เป็นยาปฏิชีวนะในกลุ่มแมคโครไลด์ (macrolides) ที่ใช้รักษาโรคติดเชื้อแบคทีเรียที่ไวต่อยานี้ เช่น โรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ และโรคติดเชื้อที่ผิวหนัง เป็นต้น

ขนาดและวิธีการใช้

ยานี้สามารถให้หลังอาหารได้ แต่พบว่าการให้ก่อนอาหาร 15 นาที จะทำให้ผลการรักษาดีที่สุด

ขนาดที่ใช้สำหรับผู้ใหญ่ คือ ครั้งละ 150 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหาร 15 นาที

ขนาดที่ใช้สำหรับเด็ก คือ ครั้งละ 3-5 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม แบ่งให้วันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหาร

คำเตือน   และข้อห้ามใช้

หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วันหรืออาการยิ่งแย่ลงกว่าเดิม ควรกลับไปพบแพทย์

  • ก่อนใช้ยารอกซิโทรมัยซิน (roxithromycin) ควรแน่ใจก่อนว่าผู้ป่วยไม่เคยมีประวัติแพ้ยาอื่นในกลุ่มแมคโครไลด์ (macrolides) และควรสังเกตอาการแพ้ยาอย่างใกล้ชิดถ้าผู้ป่วยเคยมีประวัติแพ้ยาดังกล่าวและได้รับยารอกซิโทรมัยซินเพราะมีโอกาสเกิดการแพ้ข้ามกันได้
  • การใช้ยารอกซิโทรมัยซิน (roxithromycin) อาจทำให้เกิดภาพคลื่นไฟฟ้าหัวใจคิวทียืดออก (Prolonged QT interval) ควรระวังการใช้ยาในผู้ป่วยโรคหัวใจ
  • การใช้ยารอกซิโทรมัยซิน (roxithromycin) อาจทำให้เกิดพิษต่อตับได้
  • การใช้ยารอกซิโทรมัยซิน (roxithromycin) จะเปลี่ยนแปลงเชื้อที่อาศัยอยู่ตามปกติในลำไส้ใหญ่ และอาจทำให้เชื้อคลอสทริเดีย(clostridia) เจริญมากเกินไป ทำให้เกิดท้องร่วงจากเชื้อแบคทีเรีย คลอสทริเดียม ดิฟฟิไซล์ (Clostridium difficile associated diarrhea) รวมทั้งลำไส้ใหญ่อักเสบเหตุจากยาต้านจุลชีพ (pseudomembranous colitis) ควรพบแพทย์ทันทีหากมีอาการถ่ายเหลวเป็นน้ำหรือท้องร่วงรุนแรงซึ่งอาจมีเลือดปนโดยมีหรือไม่มีอาการปวดเกร็งหน้าท้องและไข้ก็ได้ และห้ามใช้ยารักษาอาการท้องร่วง โดยไม่ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน เพราะการใช้ยาแก้ท้องร่วงอาจทำให้อาการเหล่านี้ยิ่งรุนแรงขึ้น

 อาการอันไม่พึงประสงค์

ยาอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงบางอย่างที่ไม่ต้องการ ถึงแม้ว่าอาการข้างเคียงต่อไปนี้อาจไม่ได้เกิดขึ้นทั้งหมด แต่หากเกิดอาการข้างเคียงขึ้นควรได้รับการรักษาที่เหมาะสม

ก. หยุดใช้ยานี้และควรได้รับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน หากมีอาการข้างเคียงต่อไปนี้

  • ผื่นลมพิษ, หายใจลำบาก, หน้าพองหรือบวม ,คัน, ท้องร่วงอย่างรุนแรง

ข. อาการข้างเคียงอื่นๆ อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา อาการข้างเคียงเหล่านี้จะหายไปในระหว่างการรักษาหรือหยุดยาไปแล้วเนื่องจากร่างกายจะปรับตัว เข้ากับยา ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรถ้าอาการข้างเคียงเหล่านี้เกิดขึ้นติดต่อกันนาน หรือรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของท่าน

  • ท้องร่วง (ไม่รุนแรง), ติดเชื้อราที่ช่องคลอด, คลื่นไส้อาเจียน, ปวดท้อง,

Salbutamol Tablet

ส่วนประกอบ

                ในแต่ละเม็ด  ประกอบด้วยตัวยา   Salbutamol   2   มิลลิกรัม 

ข้อบ่งใช้

ใช้บรรเทาอาการหดเกร็งของหลอดลมในโรคหอบหืด   หลอดลมอักเสบชนิดเรื้อรัง   และถุงลมปอดโป่งพอง

ขนาดและวิธีการใช้

-    เด็กอายุ  6-12  ปี       รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3-4  ครั้งหรือตามคำแนะนำของแพทย์

-   ผู้ใหญ่   รับประทานครั้งละ 1-3  เม็ด    วันละ 3-4  ครั้ง  หรือตามคำแนะนำของแพทย์

คำเตือน   ข้อควรระวัง  และข้อห้ามใช้ 

-     ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้ยา   หรือส่วนประกอบของยานี้

-   ถึงแม้ว่าจะมีผลการยืนยันความปลอดภัยในการใช้ยานี้   แต่การใช้ก็ควรเป็นไปตามคำแนะนำของแพทย์   ไม่ควรใช้พร่ำเพรื่อ   เนื่องจากพบว่าทำให้การควบคุมโรคเป็นไปได้ยากขึ้น

อาการอันไม่พึงประสงค์

                ยานี้อาจทำให้เกิดอาการสั่น (Tremor)  ปวดศีรษะ   มึนงง   อ่อนแรง   ง่วงซึม   ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย   นอกจากนี้ยังอาจพบอาการ ใจสั่น   หรือหัวใจเต้นเร็วได้บ้าง

Sodium Bicarbonate Tablet

ส่วนประกอบ

                ในแต่ละเม็ด  ประกอบด้วยตัวยา   Sodium  Bicarbonate   300   มิลลิกรัม 

ข้อบ่งใช้

-   ใช้บรรเทาอาการจุกเสียด   ขับลม   ลดกรดในกระเพาะอาหาร

-   ใช้แก้ไขภาวะเลือดเป็นกรด

-   ใช้รักษาโรคนิ่วชนิดกรดยูริกได้

ขนาดและวิธีการใช้

-   รับประทานหลังอาหาร  1 ชั่วโมง   หรือเมื่อมีอาการ

-   ผู้ใหญ่   รับประทานครั้งละ 2-6 เม็ด   โดยการอมให้ละลายอย่างช้าๆ ในปาก

-   เด็กอายุ 6-12 ปี   รับประทานครั้งละ 1-3 เม็ด   หรือลดลงตามส่วน

คำเตือน  ข้อควรระวัง  และข้อห้ามใช้ 

1.   ไม่ควรใช้ในผู้ป่วยโรคหัวใจ   ไตพิการ   ไส้ติ่งอักเสบ   หญิงมีครรภ์   ระยะให้นมบุตร   และในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี

2.   ไม่ควรใช้ยาติดต่อกันเป็นเวลานานเกินกว่า 2 สัปดาห์

3.  ไม่ควรรับประทานยาร่วมกับนม  หรือแคลเซียมในเลือดสูง   ไตไม่ดี   เลือดเป็นด่างมากเกินไป   เกิดอาการอ่อนเพลีย   คลื่นไส้   อาเจียน   ปวดศีรษะ   ความจำสับสน   เบื่ออาหาร

4.   ไม่ควรรับประทานยานี้ร่วมกับยาในกลุ่ม Tetracycline

5.    การใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่ปัสสาวะไม่ออก   หรือมีอาการบวมน้ำ   จะเกิดอันตรายได้ง่าย

6. ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่มีด่างเพิ่มขึ้นในกระแสเลือดจากการเมตาโบไลต์   ภาวะที่ร่างกายสูญเสียคาร์บอนไดออกไซด์มากเกินไป   ภาวะที่มีระดับแคลเซียมในกระแสเลือดต่ำกว่าปกติ   หรือภาวะที่น้ำย่อยในกระเพาะอาหารมีกรดเกลือในกระเพาะอาหารน้อยเกินไป

อาการอันไม่พึงประสงค์

                เมื่อใช้ยานี้ติดต่อกันเป็นเวลานาน   ทำให้ถ่ายปัสสาวะบ่อย   ปวดศีรษะเรื้อรัง   เบื่ออาหาร   คลื่นไส้   อาเจียน   หรืออ่อนเพลีย   และอาจเกิดอาการเรอขึ้นได้

Vitamin B complex Tablet

 ส่วนประกอบ

                ในแต่ละเม็ด  ประกอบด้วยตัวยา                                                  Vitamin  B1 (Thaiamine  mononitrate)              5    มิลลิกรัม

Vitamin  B2 (Riboflavine)                                2    มิลลิกรัม

Vitamin  B6 (Pyridoxine   Hydrochloride)           2    มิลลิกรัม

Nicotinamide                                               20  มิลลิกรัม

ข้อบ่งใช้

-   ใช้ป้องกันและรักษาอาการขาดวิตามิน  เช่น  ลิ้นอักเสบ   ริมฝีปากอักเสบ   ช่วยเจริญอาหาร

-   ใช้เป็นยาบำรุง

ขนาดและวิธีการใช้

                รับประทานครั้งละ  1-2  เม็ด   วันละ  3  ครั้ง

คำเตือน   ข้อควรระวัง   และข้อห้ามใช้ 

-   ห้ามใช้กับผู้ที่แพ้วิตามินบี   หรือส่วนประกอบในเม็ดยา

-   ระมัดระวังการใช้ในหญิงมีครรภ์   และระยะให้นมบุตร

อาการอันไม่พึงประสงค์

                มีพิษน้อยเมื่อให้โดยการรับประทาน   แต่อาจพบอาการคลื่นไส้  อาเจียนได้บ้าง

 

Vitamin C Tablet

ส่วนประกอบ

                ในแต่ละเม็ด  ประกอบด้วยตัวยา   Vitamin C 50 มิลลิกรัม  และ 100 มิลลิกรัม

ข้อบ่งใช้

ในรายที่ขาดวิตามินซี ใช้รักษาโรคลักปิดลักเปิด

ขนาดและวิธีการใช้

                อมให้ละลายช้าๆ หรือเคี้ยวก่อนกลืน 1-2 เม็ด วันละ 1-2 ครั้ง

 

จัดทำโดย คณะทำงานพัฒนาระบบบริการเภสัชกรรม

              โครงการพัฒนาระบบยาในหน่วยบริการปฐมภูมิฯ จ.ขอนแก่น

หมายเลขบันทึก: 427950เขียนเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2011 11:47 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 01:57 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท