บัญชียา รพ.สต. (หมวดยาเม็ด/ยาแคปซูล2)


Exluton

ส่วนประกอบ 

                แต่ละเม็ดประกอบด้วยลินเนสตรินอล 500 ไมโครกรัม

ข้อบ่งใช้ 

ใช้เป็นยาคุมกำเนิด

ขนาดและวิธีการใช้ 

                รับประทานยาเม็ดตามลำดับที่กำหนดไว้ที่แผงทุกวันในเวลาเดียวกัน รับประทานยาหนึ่งเม็ดทุกวันติดต่อกัน 28 วัน เริ่มต้นแผงยาถัดไปทันทีหลังจากที่รับประทานยาแผงเดิมหมดแล้ว โดยเริ่มรับประทานยาในวันแรกของรอบประจำเดือน สามารถเริ่มต้นรับประทานยาในวันที่ 2-5 ได้ แต่ในช่วงรอบประจำเดือนรอบแรก แนะนำให้ใช้การคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย เช่น การใช้ถุงยางอนามัย ใน 7 วันแรกของการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด สำหรับสตรีที่ให้นมบุตรควรเริ่มใช้ยาหลังคลอดบุตรแล้วอย่างน้อย 6 สัปดาห์

กรณีที่ลืมรับประทานยา

ผลของการคุมกำเนิดอาจลดลงหากรับประทานยาเม็ดสองเม็ดห่างกันนานกว่า 27 ชั่วโมง

หากลืมรับประทานยาช้ากว่ากำหนดไม่เกิน 3 ชั่วโมง ควรรับประทานยาเม็ดที่ลืมทันทีที่นึกได้ และให้รับประทานยาเม็ดถัดไปตามเวลาปกติ หากลืมรับประทานยาช้ากว่ากำหนดเกิน 3 ชั่วโมง ควรรับประทานยาเม็ดที่ลืมทันทีที่นึกได้เช่นกัน แต่ต้องใช้การคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นร่วมด้วยใน 7 วัน และให้รับประทานยาเม็ดถัดไปตามเวลาปกติ หากลืมรับประทานยาในสัปดาห์แรกสุดของการใช้ยา และมีเพศสัมพันธ์ในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ท่านมีโอกาสตั้งครรภ์ได้

 คำเตือน   และข้อห้ามใช้

ห้ามใช้ยาในกรณีต่อไปนี้

1.ตั้งครรภ์หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์

2.มีภาวะลิ่มเลือดอุดหลอดเลือดดำ

3.เป็นโรคตับรุนแรงหรือมีประวัติเป็นโรคตับรุนแรง โดยที่ค่าการทำงานของตับยังไม่กลับมาสู่ปกติ

4.เป็นหรือสงสัยว่าเป็นมะเร็งที่ถูกกระตุ้นด้วยฮอร์โมนเพศ

5.แพ้ต่อตัวยาสำคัญหรือสารประกอบอื่นๆในเม็ดยา

อาการอันไม่พึงประสงค์

1.น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น

2.ปวดศีรษะ ไมเกรน วิงเวียน

3.คลื่นไส้ อาเจียน ปวดช่องท้อง ท้องเสีย

4.ผื่นคัน ผื่นลมพิษ ผิวหนังเป็นตุ่มแดงหรือมีผื่นแดง เป็นฝ้า

5.บวม มีการคั่งน้ำในร่างกาย

6.ประจำเดือนขาด หรือมาไม่สม่ำเสมอ

7.เต้านมตึง เจ็บ

8.อารมณ์ซึมเศร้า อารมณ์เปลี่ยนแปลง

 

Ferrous sulfate Tablet

ส่วนประกอบ
            ในยาแต่ละเม็ด 300 มิลลิกรัม ประกอบด้วย Ferrous Sulfate 60 มิลลิกรัม
ข้อบ่งใช้
- ใช้ป้องกันและรักษาอาการโลหิตจาง เนื่องจากขาดธาตุเหล็ก
- การสูญเสียเลือด เช่น โรคพยาธิปากขอ แผลในกระเพาะและลำไส้ ริดสีดวงทวาร และการมีประจำเดือนมาก
ขนาด และวิธีใช้
ผู้ใหญ่ รับประทาน 1 เม็ด วันละ 3 ครั้ง การให้ยาขณะท้องว่าง ทำให้การดูดซึมดีกว่า แต่ถ้ามีการระคายเคืองกระเพาะอาหาร ให้รับประทานพร้อมหรือหลังอาหาร
คำเตือน ข้อห้ามใช้ และข้อควรระวัง
1. ห้ามใช้กับผู้ป่วยที่เป็นโรคโลหิตจางชนิด Megaloblastic ที่ขาดวิตามินบี 12
2. ไม่ควรรับประทานร่วมกับยา Tetracycline เพราะจะทำให้การดูดซึมของยา Tetracycline ลดลง
3. ไม่ควรรับประทานร่วมกับยาลดกรด เพราะจะทำให้การดูดซึมธาตุเหล็กลดลง
4. รับประทานยานี้แล้วอุจจาระเป็นสีดำ หรืออาจเกิดอาการท้องผูก หรือท้องว่าง
5. ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่ซีดจากโรคธาลัสซีเมีย เพราะร่างกายของผู้ป่วยจะมีเหล็กสะสมมากเกินอยู่แล้วส่วนประกอบ

 

Folic  Acid  Tablet

 ส่วนประกอบ

                ในแต่ละเม็ด  ประกอบด้วยตัวยา   Folic  acid  5  มิลลิกรัม            

ข้อบ่งใช้

  1. ใช้รักษาโรคโลหิตจางที่เกิดจากการขาดธาตุโฟเลท (Megaloblastic  Anemia)
  2. ใช้เป็นธาตุเสริมขณะตั้งครรภ์

ขนาดและวิธีการใช้

  1. ใช้รักษาโรคโลหิตจางชนิด  Megaloblastic  Anemia

*  ผู้ใหญ่       รับประทานครั้งละ 1 – 2 เม็ด   วันละ 2 ครั้ง   หรือตามแพทย์สั่ง

เด็ก             รับประทานครั้งละ 1  เม็ด   วันละ 2 ครั้ง   หรือตามแพทย์สั่ง  

  1. ใช้เป็นธาตุเสริมสำหรับหญิงที่ตั้งครรภ์

รับประทานครั้งละ 1 เม็ด   วันละ 1 ครั้ง  หรือตามแพทย์สั่ง

ข้อควรระวัง  และข้อห้ามใช้

  1. ไม่ควรใช้ในผู้ป่วยที่แพ้ยาหรือส่วนประกอบของยานี้
  2. ไม่สามารถใช้รักษาผู้ป่วยโลหิตจางที่เกิดจากการขาดวิตามินชนิดอื่นได้

อาการอันไม่พึงประสงค์

                อาการแพ้โดยทั่วไปมักไม่ค่อยพบ   แต่ก็อาจจะสามารถทำให้หลอดลมหดเกร็ง (Bronchospasm) ,ผื่นคัน , flushing ได้

Glibenclamide / Glipizide Tablet

ส่วนประกอบ

                ในแต่ละเม็ด  ประกอบด้วยตัวยา   Glibenclamide หรือ Glipizide  5  มิลลิกรัม

ข้อบ่งใช้

รักษาผู้ป่วยเบาหวานชนิด noninsulin-dependent ในรายที่การควบคุมอาหารอย่างเดียวไม่สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ตามต้องการ

ขนาดและวิธีการใช้

ผู้ใหญ่ à ขนาดเริ่มต้น Glibenclamide รับประทานครั้งละ ½- 1 เม็ด ( 2.5-5 มิลลิกรัม ), Glipizide 1 เม็ด วันละ 1 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า ปรับขนาดยาได้ไม่เกิน 2.5 มิลลิกรัม ทุก 1 สัปดาห์ ตามความจำเป็น

          à ขนาดควบคุม  Glibenclamide รับประทานครั้งละ ¼  - 4  เม็ด ขนาดรับประทานที่ไม่เกิน 2 เม็ด ( 10 มิลลิกรัม ) ให้รับประทานวันละครั้งก่อนอาหารเช้า  ถ้าขนาดเกิน 2 เม็ด ให้แบ่งรับประทานวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น  ส่วน   Glipizide ขนาดสูงสุดที่ให้ต่อวัน คือ 40 มิลลิกรัม ถ้าให้ขนาดเกินวันละ 15 มิลลิกรัม ควรแบ่งให้วันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหาร เช้าและ เย็น

               **ในผู้ป่วยที่อ่อนเพลียมาก ขาดอาหาร ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่เสี่ยงต่อน้ำตาลในเลือดต่ำให้เริ่มต้นในขนาด 1.25 มิลลิกรัมต่อวัน สำหรับ Glibenclamide และ 2.5 มิลลิกรัมต่อวัน สำหรับ Glipizide

หมายเหตุ – ถ้าต้องการเปลี่ยนจากการใช้ยารักษาเบาหวานตัวอื่นมาเป็น Glibenclamide/Glipeizide สามารถหยุดยาอื่นได้ทันที

                   - ถ้าเปลี่ยนจากการใช้อินซูลินมาเป็น Glibenclamide ในผู้ป่วยที่ฉีดอินซูลินต่ำกว่า 40 ยูนิต ต่อวัน ( ต่ำกว่า 20 ยูนิตต่อวันสำหรับ Glipizide ) สามารถหยุดอินซูลินได้ทันที แต่ในรายที่ฉีดมากกว่า 40 ยูนิตต่อวัน ( มากกว่า 20 ยูนิตต่อวัน สำหรับ Glipizide ) ให้ลดขนาดอินซูลินลง 50% ในวันแรกพร้อมกับให้ Glibenclamide/Glipizide 5 มิลลิกรัม ครั้งเดียว แล้วค่อยๆ ปรับขนาดยารับประทานขึ้นตามความเหมาะสม

คำเตือน 

                -   ต้องใช้ตามแพทย์สั่งเท่านั้น หากมีอาการวิงเวียนจะเป็นลม ต้องปรึกษาแพทย์

ข้อควรระวัง 

-   ผู้ป่วยควรได้รับการประเมินการรักษาเป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่อง ในระหว่างการใช้ยา

- ผู้ป่วยควรได้รับคำแนะนำให้ทราบถึงอาการที่เกิดเนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำ รวมถึงการการแก้ไขอาการที่เกิดขึ้นด้วยตนเอง  ซึ่งภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำมักพบอาการดังนี้ คือ อาการรู้สึกเหมือนมีหนามแทงที่ริมฝีปากและลิ้น คลื่นไส้ หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออก มือสั่น หิว ชัก มึนงง การแก้ไขด้วยตนเองหากอาการไม่รุนแรง คือ ให้รับประทานน้ำตาลหรือลูกอม

ข้อห้ามใช้ 

                - ห้ามใช้กับผู้ป่วยเบาหวานชนิด insulin-dependent โรคเบาหวานที่เกิดภาวะ ketosis, acidosis, diabetic coma ผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดใหญ่ ติดเชื้ออย่างรุนแรงหรือเสียเลือดมาก ผู้ป่วยโรคตับ ไต หรือธัยรอยด์ขั้นรุนแรง ผู้ป่วยหัวใจวาย ผู้ป่วยแพ้ยากลุ่ม sulfonylurea/sulfonamide หญิงมีครรภ์และให้นมบุตร

อาการอันไม่พึงประสงค์

-                    คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ท้องอืด ท้องเดิน ท้องผูก แสบท้อง

-                    อาจมีผื่นแพ้ยาตามผิวหนัง คัน ผิวหนังแดง และเลือดออก

-                    อาจมีอาการทางระบบเลือด

HCTZ  Tablet

 ส่วนประกอบ

                ในแต่ละเม็ด  ประกอบด้วยตัวยาหลัก คือ    HCTZ (Hydrochlorothiazide)  25 / 50   มิลลิกรัม                   

ข้อบ่งใช้

-                    ใช้ลดอาการบวมน้ำในผู้ป่วยโรคตับ โรคไต และโรคหัวใจ

-                    ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูง

 

ขนาดและวิธีการใช้

ผู้ใหญ่ :

ลดอาการบวมน้ำ : รับประทานวันละ 25 – 200 มิลลิกรัม หลังอาหาร โดยแบ่งให้วันละ 1-2  ครั้ง

โรคความดันโลหิตสูง : รับประทานวันละ 12.5-50 มิลลิกรัม  วันละ 1 ครั้งหลังอาหารเช้า

** ผู้สูงอายุ รับประทานวันละ 12.5-25 มิลลิกรัม  วันละ 1 ครั้งหลังอาหารเช้า

คำเตือน  ข้อควรระวัง

- ห้ามใช้ในผู้ป่วย anuria และผู้ป่วยที่แพ้ยาในกลุ่ม thaizide หรืออนุพันธ์ของ sulfonamide

- ใช้ด้วยความระมัดระวังในผู้ป่วยโรคตับ ไต เบาหวาน เก๊าท์ และมารดาที่ให้นมบุตร

- ผู้ป่วยที่ได้รับยานี้ควรตรวจวัดระดับอิเลคโตรไลท์ น้ำตาล การทำงานขิงไต และไขมันในเลือดอย่างสม่ำเสมอ

 ข้อห้ามใช้

-                    ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่แพ้ยานี้ หญิงตั้งครรภ์

 อาการอันไม่พึงประสงค์

                - ภาวะขาดน้ำและเสียดุลเกลือแร่ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ ระดับกรดยูริก น้ำตาล และไขมันในเลือดสูง

                - อาการที่พบน้อยแต่อันตราย ที่อาจพบได้ คือผื่นแพ้ยาชนิดรุนแรง ( SJS, TEN ) ผมร่วง  ผลต่อระบบเลือด

 

Hyoscine – n – butylbromide Tablet

ส่วนประกอบ

                ในแต่ละเม็ด  ประกอบด้วยตัวยา   Hyoscine – n – butylbromide   10  มิลลิกรัม

ข้อบ่งใช้

                บรรเทาอาการหดเกร็งของทางเดินอาหารและอาการเสียดท้อง   หรือปวดเกร็งในช่องท้อง

ขนาดและวิธีการใช้

                -   เด็กอายุ 6 – 12 ปี                รับประทานครั้งละ 1 เม็ด  วันละ 3 ครั้ง

                -   ผู้ใหญ่ รับประทานครั้งละ 1 – 2  เม็ด  วันละ 3 - 4 ครั้ง

คำเตือน

                -   ผู้สูงอายุ  และเด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือน   ควรใช้ตามแพทย์สั่ง

                -   ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคต้อหิน

                -   หากเกิดอาการชีพจรเต้นเร็ว  มึนงง  หรือสายตาพร่า   ให้หยุดใช้ยา

 ข้อควรระวัง  และข้อห้ามใช้

-   ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่ต่อมลูกหมากโต   หรือผู้ป่วยที่มีทางเดินปัสสาวะอุดตัน , ลำไส้ไม่บีบตัว , หรือส่วนปลายกระเพาะปัสสาวะตีบซึ่งอาจอุดตันได้

-   ใช้อย่างระมัดระวังในผู้ป่วยสูงอายุ   เด็กซึ่งมีไข้   และในผู้ป่วยซึ่งมีภาวะหัวใจเต้นเร็ว

-   ยานี้อาจทำให้เกิดอาการง่วงซึม   จึงไม่ควรขับขี่ยานยนต์   หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล

อาการอันไม่พึงประสงค์

-    อาการที่พบบ่อย คือ ปากคอแห้ง   กระหายน้ำ   กลืนลำบาก   อาเจียน   งุนงง   เดินไม่ตรง   รูม่านตาขยาย   กลัวแสง   การปรับภาพของตาเสีย   และความดันภายในลูกตาเพิ่มขึ้น

-    ลดการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้

-    อาการแพ้   เกิดผื่นที่ผิวหนังบริเวณหน้า   และส่วนบนของร่างกาย

-    เกิดอาการหัวใจเต้นช้าชั่วครู่   แล้วตามด้วยอาการหัวใจเต้นเร็ว   ใจสั่น

 

Ibuprofen Tablet

 ส่วนประกอบ

                ในแต่ละเม็ด  ประกอบด้วยตัวยา   Ibuprofen   200  มิลลิกรัม

ข้อบ่งใช้

-         ใช้ลดการอักเสบของระบบกล้ามเนื้อและโครงกระดูก เช่น ในข้ออักเสบรูมาตอยด์ , Osteoarthritis , โรคเก๊าต์ระยะเฉียบพลัน  เป็นต้น

-         ใช้บรรเทาอาการปวดที่ไม่รุนแรง เช่น ปวดประจำเดือน  ปวดแผลภายหลังการผ่าตัด  เป็นต้น

ขนาดและวิธีการใช้

-  ยานี้ควรรับประทานพร้อมอาหารหรือหลังอาหารทันที   เพื่อลดการระคายเคืองต่อทางเดินอาหาร

-   สำหรับเด็กที่น้ำหนักตัวน้อยกว่า 30 กิโลกรัมให้ใช้ขนาดยาวันละ 20 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม   โดยแบ่งให้วันละ 3 – 4 ครั้ง   แต่ขนาดสูงสุดไม่ควรเกินวันละ 500 มิลลิกรัม

-   สำหรับผู้ใหญ่ หรือเด็กอายุ 30 กิโลกรัมขึ้นไป

*   ให้ใช้ขนาดยาวันละ 900 – 2,400 มิลลิกรัม   แบ่งให้วันละ 3 – 4 ครั้ง   ขนาดสูงสุดไม่ควรให้เกินวันละ 2,400 กรัม

*   ขนาดยาเพื่อบรรเทาอาการปวด   ให้รับประทานครั้งละ 200 – 400 มิลลิกรัม  ทุก 4 – 6 ชั่วโมง

คำเตือน  ข้อควรระวัง  และข้อห้ามใช้

 -   ห้ามใช้กับผู้ที่แพ้ยานี้ , ยาแอสไพริน  หรือ NSAIDs อื่นๆ

 -   ห้ามใช้ในหญิงมีครรภ์   หญิงให้นมบุตร

-   ระมัดระวังการใช้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร - ลำไส้อักเสบ , โรคหอบหืด , โรคหัวใจ , โรคเกี่ยวกับ bleeding  disorder , ผู้ป่วยที่ได้รับยากันเลือดแข็งตัวอยู่   และผู้ป่วยที่ตับและไตทำงานผิดปกติ

-   ถ้าใช้ร่วมกับยาแอสไพริน   หรือแอลกอฮอล์   จะมีผลเพิ่มการเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้

อาการอันไม่พึงประสงค์

-   อาการที่พบบ่อย  คือ มีแผลและเลือดออกในทางเดินอาหาร  คลื่นไส้  อาเจียน  เยื่อบุช่องปากอักเสบ  อุจจาระเป็นสีดำ

-   อาการอื่น เช่น ปวดศีรษะ  กระวนกระวาย  บวมน้ำ  ผิวหนังเป็นผื่นแดงคัน  หูอื้อ  ตามัว  นอนไม่หลับ  อาจพบการทำงานของตับและไตผิดปกติ

-   อาการแพ้พบน้อย   แต่อาจเกิด Agranulocytosis และ Thrombocytopenia ได้

Indomethacin capsule

ส่วนประกอบ

                ในแต่ละแคปซูล  ประกอบด้วยตัวยา   Indomethacin   25  มิลลิกรัม             

ข้อบ่งใช้

-   ใช้รักษาอาการปวดข้อ  ข้ออักเสบ  ข้อเสื่อม  ปวดข้อรูมาตอยด์  โรคเก๊าท์

-   อาจใช้เป็นยาลดไข้ในผู้ป่วยที่เป็น Hodgin’ s  disease  เมื่ออาการไข้นั้นไม่ตอบสนองต่อยาลดไข้ชนิดอื่นที่มีพิษน้อยกว่า   แต่ไม่ควรใช้เป็นยาแก้ปวดลดไข้ในกรณีทั่วๆ ไป

ขนาดและวิธีการใช้

-   ยานี้ระคายเคืองกระเพาะอาหาร    ควรให้รับประทานพร้อมอาหารหรือนม   หรือรับประทานหลังอาหารทันที   และดื่มน้ำตามมากๆ

-   ใช้แก้ปวดข้อ   จากโรคปวดข้อรูมาตอยด์  ข้อเสื่อม   ให้ครั้งละ 1 แคปซูล (25 มิลลิกรัม)   วันละ 2 – 3 ครั้ง (สูงสุด 150 – 200 มิลลิกรัมต่อวัน)

-   ใช้รักษาโรคเก๊าท์   รับประทานครั้งละ 2 แคปซูล (50 มิลลิกรัม)   วันละ 3 ครั้ง   แล้วค่อยลดขนาดยาลงเมื่ออาการดีขึ้น

ข้อควรระวัง 

-  ใช้ยาอย่างระมัดระวังในผู้ป่วยโรคหืด  โรคลมชัก  โรคพาร์กินสัน  โรคเลือดไหลไม่หยุด  และโรคเลือดชนิดอื่นๆ

-   ยานี้จะบดบังอาการติดเชื้อได้

-   ควรใช้ด้วยความระมัดระวังในผู้ป่วยสูงอายุ

-  ผู้ที่ใช้ยานี้ไม่ควรขับรถ  หรือทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรกล   เพราะอาจเกิดอันตรายได้

-   ควรตรวจเลือดและตรวจตาระหว่างที่ใช้ยานี้อยู่   และผู้ป่วยที่แพ้แอสไพรินอาจแพ้ยานี้ได้

ข้อห้ามใช้

-  ห้ามใช้กับผู้ป่วยโรคแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้  บวมน้ำ   ความดันโลหิตสูง  โรคหัวใจ   อาการผิดปกติของเม็ดเลือด  ตับหรือไต

-   ห้ามใช้กับผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้ยาในกลุ่มนี้

-   ห้ามใช้ในเด็ก   สตรีมีครรภ์   และหญิงให้นมบุตร

-   ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่เกิดอาการหอบหืด   น้ำมูกไหล   คัน หลังได้รับยานี้   และผู้ป่วยที่ได้รับยาแอสไพริน  หรือ NSAIDs ตัวอื่น

อาการอันไม่พึงประสงค์

-   อาการที่พบบ่อย คือ มีผลต่อระบบทางเดินอาหาร   ปวดศีรษะ   เวียนศีรษะ

-   พบอาการเบื่ออาหาร   คลื่นไส้   อาเจียน   อาหารไม่ย่อย   ซึ่งอาจก่อให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร   ทำให้มีเลือดออกในทางเดินอาหาร   เลือดออกทางช่องคลอด

-   อาการอื่นๆ ได้แก่ ความผิดปกติทางเม็ดเลือด   มีเลือดออกในปัสสาวะ   บวมน้ำ และน้ำหนักเพิ่ม   ความดันโลหิตสูง

Mebendazole Tablet

ส่วนประกอบ

                ในแต่ละเม็ด  ประกอบด้วยตัวยา   Mebendazole   100  มิลลิกรัม

ข้อบ่งใช้

                ใช้รักษาพยาธิแส้ม้า   พยาธิปากขอ   พยาธิเส้นด้าย   พยาธิไส้เดือน   พยาธิเข็มหมุด   และภาวะการติดเชื้อพยาธิหลายชนิด (Mixed  infection)

ขนาดและวิธีการใช้

-   ขนาดยาที่ใช้ในเด็กและผู้ใหญ่เหมือนกัน

*  ในการรักษาโรคพยาธิเส้นด้าย   ให้รับประทานยาในขนาด 100 มิลลิกรัม เพียงครั้งเดียว   และอาจให้ซ้ำอีกครั้ง 2 สัปดาห์หลังจากครั้งแรก

*  ในการรักษาพยาธิตัวอื่นๆ  ให้รับประทานยาขนาด 100 มิลลิกรัม   วันละ 2 ครั้ง  หลังอาหารเช้า – เย็น   ติดต่อกัน 3 วัน   และหลังจากการใช้ยาครั้งแรก 3 – 4 สัปดาห์   ถ้ายังไม่ได้ผลอาจใช้ยาต่ออีกเป็นครั้งที่ 2

-   ยาเม็ดอาจอยู่ในรูปเคี้ยว   หรือกลืนทั้งเม็ด   หรือบดแล้วนำมาผสมกับอาหาร

คำเตือน  ข้อควรระวัง  และข้อห้ามใช้ 

-   ห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี

-   ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่แพ้ยานี้   หรือในหญิงมีครรภ์

-   ใช้อย่างระมัดระวังในผู้ป่วยโรคตับ   หรือโรคแผลในลำไส้ใหญ่

-   ผู้ป่วยที่ได้รับยาขนาดสูง   ควรได้รับการตรวจนับเม็ดเลือด

-   ต้องรักษาสุขภาพอนามัย   เพื่อป้องกันไม่ให้พยาธิกลับสู่ร่างกายใหม่

อาการอันไม่พึงประสงค์

                อาจพบอาการท้องเดิน   ปวดท้อง   คลื่นไส้   อาเจียน   เวียนศีรษะ   มีไข้   มีผื่นขึ้นตามผิวหนังและคัน   นอกจากนี้อาจมีอาการมึนงงในวันที่ 2 ของการใช้ยานี้

Metformin Hydrochloride Tablet

ส่วนประกอบ

                ในแต่ละเม็ด  ประกอบด้วยตัวยา   Metformin   500  มิลลิกรัม

ข้อบ่งใช้

  1. รักษาผู้ป่วยเบาหวานชนิด noninsulin-dependent โดยอาจจะใช้เป็นยาเดี่ยวหรือใช้ร่วมกับยากลุ่มอื่น ๆ
  2. ใช้ร่วมกับอินซูลินในการรักษาผู้ป่วยเบาหวานชนิด insulin-dependent เพื่อลดขนาดการใช้อินซูลิน

ขนาดและวิธีการใช้

ผู้ใหญ่ à ขนาดเริ่มต้น รับประทานครั้งละ 1 เม็ด ( 500 มิลลิกรัม ) วันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น หลังอาหาร เพิ่มขนาดยาได้สัปดาห์ละ 1 เม็ด จนสามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ และต้องไม่เกินวันละ 6 เม็ด

           à ขนาดควบคุม  รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2-3 ครั้ง หลังอาหาร

คำเตือน 

-   ต้องใช้ตามแพทย์สั่งเท่านั้น หากมีอาการวิงเวียนจะเป็นลม ต้องปรึกษาแพทย์

ข้อควรระวัง

-  ไม่ควรใช้ยานี้กับหญิงมีครรภ์ ระยะให้นมบุตร และเด็ก

-  การใช้ยานี้ติดต่อกันนาน อาจทำให้การดูดซึมกรดโฟลิก และวิตามินบี 12 ลดลง

-  ตรวจวัดการทำงานของไตเป็นระยะในระหว่างการใช้ยานี้ เนื่องจากยาถูกขับออกทางไต

-  ผู้ป่วยที่ได้รับยานี้ร่วมกับยากลุ่มซัลโฟนิลยูเรีย หรืออินซูลิน ควรได้รับการตรวจน้ำตาลในเลือดเป็นระยะ เพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ

-  ควรระวังการใช้ยานี้ร่วมกับยาอื่นเช่น Alcohol, cimetidine, furosemide

อาการอันไม่พึงประสงค์

                อาการที่พบบ่อย ได้แก่ เบื่ออาหาร มีกรดในกระเพาะมาก ท้องอืด metallic taste คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ น้ำหนักลด

                อาการที่รุนแรง ได้แก่ lactic acidosis ผู้ป่วยควรทราบถึงอันตรายและอาการแสดงถึงสภาวะนี้ ( ได้แก่ ท้องเสีย หายใจเร็ว เหนื่อยและอ่อนเพลียผิดปกติ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และนอนไม่หลับ ) และควรได้รับการรักษาโดยเร็วที่สุดเมื่อเกิดอาการเหล่านี้

 

Metronidazole Tablet

ส่วนประกอบ

                ในแต่ละเม็ด  ประกอบด้วยตัวยา   Metronidazole  200  มิลลิกรัม                  

ข้อบ่งใช้

-   เพื่อรักษาและป้องกันการติดเชื้อจากโปรโตซัวชนิดอะมีบา , Trichomonas , Giardia   ซึ่งพบในโรค

                                *   ฝีบิดมีตัวในตับและเนื้อเยื่อ , ลำไส้

                                *   การอักเสบของช่องคลอดจากเชื้อ Trichomonas

-   รักษาและป้องกัน Anaerobic   bacterial   infection

ขนาดและวิธีการใช้

 ในเด็ก    

  -   Amoebiasis     รับประทานวันละ 35-50  mg/kg  แบ่งให้ 3 ครั้ง  หรือทุก 8 ชั่วโมง   เป็นเวลา 5 – 10 วัน

  -   Trichomonas   รับประทานวันละ 15-30  mg/kg  แบ่งให้ 3 ครั้ง  หรือทุก 8 ชั่วโมง   เป็นเวลา 7 วัน

  -   Giardiasis        รับประทานวันละ       15 mg/kg  แบ่งให้ 3 ครั้ง  หรือทุก 8 ชั่วโมง   เป็นเวลา 5 วัน

  -   Anaerobic   bacterial   infection   รับประทานวันละ 15 – 35 mg/kg  แบ่งให้ 3 ครั้ง  หรือทุก 8 ชั่วโมง   และขนาดยาสูงสุดไม่เกิน 2 กรัมต่อวัน

 ในผู้ใหญ่

  -   Amoebiasis  รับประทานครั้งละ 500 - 750 mg  วันละ 3 ครั้ง  หรือทุก 8 ชั่วโมง   เป็นเวลา 5 – 10 วัน

   -   Trichomonas  รับประทานครั้งละ 250 mg  วันละ 3 ครั้ง  หรือทุก 8 ชั่วโมง   ติดต่อกัน 7 วัน   หรือรับประทาน 2  กรัมครั้งเดียว  วันเดียว

   -   Giardiasis       รับประทานครั้งละ 250 mg  วันละ 3 ครั้ง  หรือทุก 8 ชั่วโมง   เป็นเวลา 5-7 วัน   หรือให้รับประทานวันละ 2 กรัม  วันละครั้ง  เป็นเวลา 3 วัน  ในผู้ที่มีเชื้อบิดร่วมด้วยให้รับประทานครั้งละ 750 mg   วันละ 3 ครั้ง  เป็นเวลา 5-10 วัน

   -   Anaerobic   bacterial   infection    รับประทานครั้งละ 500 mg  ทุก 6-8 ชั่วโมง   แต่ไม่เกิน 4 กรัมต่อวัน

คำเตือน  ข้อควรระวัง  และข้อห้ามใช้ 

-   ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่แพ้ยา   หรือส่วนประกอบของยานี้  

-   ห้ามใช้ในหญิงมีครรภ์   โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์

-   ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีโรคทางระบบประสาทส่วนกลาง

-   ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีภาวะการทำงานของระบบเลือดผิดปกติ

-   ระวังการใช้กับหญิงให้นมบุตร   และผู้ป่วยที่มีภาวะการทำงานของตับ – ไต ผิดปกติ

-   อาจทำให้เกิดมะเร็ง

-   ระหว่างใช้ยานี้ควรหลีกเลี่ยงการบริโภคเครื่องดื่มที่มีแอลกฮฮอล์

อาการอันไม่พึงประสงค์

-   อาการที่พบบ่อย คือ คลื่นไส้ (จึงควรให้ร่วมกับอาหาร)   ปวดศีรษะ   เบื่ออาหาร   ปากแห้ง   metallic  taste  อาการอื่นๆ ที่พบ เช่น อาเจียน   ท้องร่วง   ปวดแน่นท้อง  และท้องผูก

-   มีอาการของประสาทส่วนปลาย เช่น รู้สึกชาตามแขน-ขา   ซ่า   ความรู้สึกทางประสาทสัมผัสผิดปกติ   เวียนศีรษะ   รู้สึกหมุน   สับสน   ซึมเศร้า   อ่อนเพลีย

-   อาจมีอาการปัสสาวะขัด   ช่องคลอดแห้ง   ปัสสาวะมีสีเข้มหรือน้ำตาลแดง

-   อาการแพ้ยา เช่น เป็นลมพิษ   คัน   ผื่นแดง   หน้าแดง   คัดจมูก   มีไข้   ปวดข้อ

-   อาการอื่นๆ ที่พบ เช่น ลิ้นเป็นฝ้าอักเสบ   ปากอักเสบ

          

หมายเลขบันทึก: 427944เขียนเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2011 11:34 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 16:59 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท