ไปฟังนักวิทย์รางวัลโนเบลพูดเรื่องโลกร้อนกับการเกษตร


เมื่อสภาพภูมิอากาศของโลกเปลี่ยนไป ไม่เพียงแต่อากาศ แต่ว่าสังคมก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วยพร้อมกัน “The world will co-evolve with climate change”

ฟ้าครับ

หลายวันก่อนนี้ (7 กุมภาพันธ์ 2554 ) ไปฟัง Nobel Dinner Talk เรื่อง Adaptation of Agriculture to Climate Change: Lessons for Thai Ariculture

คนพูดเป็นศาสตราจารย์ชื่อ Professor William Ewart Easterling แกยังเป็นคณบดีอยู่ที่ College of Earth and Mineral Sciences, The Pennsylvania State University เหตุเกิดที่โรงแรมโซฟิเทล เซนทาราแกรนด์ กรุงเทพ

เก็บมาเล่าให้ฟังได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ราว ๆ นี้ครับ

Easterling เริ่มการบรรยายด้วยการกล่าวถึงการเพิ่มขึ้นของระดับ CO2 ในบรรยากาศที่คู่กับการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลก น้ำแข็งและหิมะขั้วโลกและที่อื่น ๆ ที่ละลายมากขึ้น และระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น  ข้อมูลช่วงนี้นำมาจากรายงานของ IPCC เกือบทั้งหมด เป็นช้อมูลที่ทุกคนที่สนใจเรื่อง climate change คุ้นเคยดีอยู่แล้ว ไม่มีข้อมูลใหม่

จากนั้น Easterling ก็นำเรื่องเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงที่กระทบต่อการเกษตร โดยให้ข้อมูลว่าช่วงเวลาในการเพาะปลูกพืชผลแต่และปีนั้นยืดยาวขึ้น แต่อุบัติภัยที่เรียกว่า extreme events ก็มีแนวโน้มเกิดถี่ขึ้น (David Battisti, Science, 2009) โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับน้ำ Easterling กล่าวว่า น้ำที่ไหลเอ่อจากดินเข้าสู่แหล่งน้ำต่าง ๆ (runoff) เป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญมากที่จะบอกให้เรารู้ถึง water availability ยกตัวอย่างเช่น จากข้อมูลการทำ model พบว่าในปี 2100 ภาคพื้นยุโรปจะแห้งแล้งกว่าปัจจุบันมาก ในขณะที่บริเวณไซบีเรียและอาร์เยนติน่าอาจจะมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการทำเกษตรกรรมมากขึ้น

จากนั้นผู้บรรยายได้พูดถึงผลกระทบจากทั้ง CO2 ที่เพิ่มขึ้น และ climate change (ผลโดยอ้อม) ที่มีต่อผลผลิตทางการเกษตร (yield) ทั่วโลกว่า มีแนวโน้มจะส่งผลโดยตรงต่อการสังเคราะห์แสงของพืช นอกจากนี้ผลของการรันโมเดลได้ให้บทเรียน (เชิงคาดการณ์อนาคต) ดังนี้

1.       ผลผลิตของพืชในเขตอบอุ่นจะลดลงอย่างเห็นได้ชัดต่อเมื่อุณหภูมิเฉลี่ยสูงขึ้นราว 3°C

2.       สำหรับเขตร้อน ผลผลิตจะลดลงเกือบจะทันทีที่อุณหภูมิสูงขึ้น (เพียงเล็กน้อย)

3.       การปฏิบัติในเรื่อง adaptation เพียงอย่างง่าย ๆ สามารถช่วยยืดผลผลิตของพืชให้คงที่ต่อไปได้อีก 2-3°C

คำแนะนำสำหรับการปรับตัวของเกษตรกรรมในประเทศไทยคือ

  • เตรียมพร้อมสำหรับการสูญเสียผลผลิตราว -5 ถึง -2.5%
  • ถ้าโลกสามารถหยุด CO2 ไว้ได้ที่ระดับความเข้มข้น 550ppm จะช่วยให้ระดับความสูญเสียผลผลิตทางการเกษตรลดลงเหลือไม่เกิน 2.5%
  • ในบางกรณี ผลผลิตของมันสำปะหลังอาจจะสูญเสียไปได้ถึง 30%
  • ในกรณีที่ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 2 เมตร พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลจะจมอยู่ใต้น้ำ

มาถึงช่วงนี้ Easterling เริ่มกล่าวถึงแนวความคิดสำคัญของเขา (ซึ่งผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง) นั่นคือ adaptation เป็นความพยายามที่เปรียบเสมือนการยิงเป้าเคลื่อนที่ เมื่อสภาพภูมิอากาศของโลกเปลี่ยนไป ไม่เพียงแต่อากาศ แต่ว่าสังคมก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วยพร้อมกัน “The world will co-evolve with climate change”. สิ่งที่จะเปลี่ยนไปก็คือ

  • การบริโภคอาหารของมนุษย์ เช่น จะมีการบริโภคเนื้อสัตว์มากขึ้น (อันนี้ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่) รวมทั้งน้ำตาล น้ำมัน และธัญพืช สิ่งที่จะมีการบริโภคน้อยลงคือข้าว coarse grains, roots, and tuber และ
  • จากนี้ไป Biofuels จะได้รับความนิยมมาก แต่ปัญหามีอยู่ว่า เราจะยอมสูญเสีย (พื้นที่ปลูก) อาหารได้เท่าไหร่เพื่อให้ได้มาซึ่งเชื้อเพลิง
  • เราต้องระวังไม่ให้การเติบโตของผลผลิตลดลงเกินกว่า 1.3% ต่อปี มิเช่นนั้นโลกจะไม่สามารถตอบสนองทันความต้องการของ demand ที่เพิ่มขึ้น (ไม่ว่าจะมี climate change หรือไม่)
  • ในการพัฒนาพันธุ์พืชให้เหมาะสมกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนไปนั้น อาจใช้พันธุ์ปลูก (cultivar) ที่เติบโตได้ในสภาพอุณหภูมิที่สูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะช่วยป้องกันหรือลดอัตราการสูญเสียได้ดีคือการบริหารจัดการน้ำให้เหมาะสม (adequate water supply) กล่าวคือกลยุทธ์ของ adaptation ที่ดีที่สุดคือการจัดการเรื่องอุณหภูมิและน้ำ

ประเด็นสำคัญที่เป็นจุดสนใจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ วทน. คือ การลงทุนในการวิจัยและพัฒนาควรมุ่งโฟกัสไปในเรื่องใด เกี่ยวกับประเด็นนี้ Easterling อธิบายว่า โจทย์วิจัยที่สำคัญคืองานวิจัยพื้นฐานเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ของพืช (fundamental research in basic plant science) และเทคโนโลยีด้านพืช เช่น พืชดัดแปลงพันธุกรรมที่สามารถรักษาระดับการสังเคราะห์แสงได้สูงในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ซึ่งขณะนี้มีงานวิจัยเรื่องนี้ที่ใช้ยืนของ Arabidopsis ใส่ลงไปในต้นยาสูบ เป็นต้น

ประเด็นสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง (ซึ่งใหญ่กว่า) เป็นเรื่องของการเพิ่มขีดความสามารถในการยืดหยุ่น (ประคองตัว?) ให้คืนสู่สภาพสมดุลดังเดิม (resilience) ให้กับระบบ แต่ต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้ในอนาคตด้วยว่า ถ้าการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในอัตราที่สูงมาก หรือถ้าระบบของเรายืดหยุ่นไม่พอ ก็จะนำไปสู่การสูญเสีย resilience ซึ่งจะเกิดผลกระทบทำให้ระบบเกษตรต้องเปลี่ยนโฉมหน้าไป โดยพึ่งพาระบบนิเวศน์น้อยลง ผู้บรรยายได้แสดงแผนภูมิที่ใช้ในการอธิบายความคิดนี้ด้วย

 

ในการที่จะเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ระบบเกษตร เราจำเป็นที่จะต้องมีแนวรับที่แข็งแกร่ง ทางเลือกที่ทำได้เองและทำได้ทันที (ด้วยการมีนโยบาย) คือ

1.       การมีข้อมูลการปลูกที่ครบถ้วน

2.       เปลี่ยนพันธุ์ที่ปลูกให้เหมาะสม

3.       เปลี่ยนชนิดของพืชที่ปลูก (เช่น จากปาล์มเป็นถั่วเหลือง) เนื่องจากพื้นที่ที่เหมาะสมที่จะปลูกพืชบางอย่างในประเทศของเราอาจจะเคลื่อนที่ไปทางเหนือ กลายเป็นอยู่ในพื้นที่ประเทศอื่น

ในระยะยาวสิ่งที่จะต้องทำคือ

1.       สร้างโครงสร้างพื้นฐานให้มีความยืดหยุ่น (รับมือได้หลาย ๆ สถานการณ์)

2.       เพิ่มพูนทักษะความรู้ใหม่ ๆ

3.       เมื่อพบว่าปริมาณน้ำในพื้นดินเริ่มลดลง การปรับตัวต้องเริ่มขึ้นทันที (ตรงนี้ผู้บรรยายอธิบายความสำเร็จในการปรับตัวของการใช้พื้นที่เพาะปลูกในแถบ High Plains ทางตะวันตกของสหรัฐ)

4.       ปรับปรุงการอนุรักษ์น้ำ เพราะน้ำเป็นกุญแจสำคัญของ adaptation (Easterling ใช้คำว่า linchpin ซึ่งในพจนานุกรมแปลว่า สมาชิกที่สำคัญที่สุดของกลุ่มหรือระบบ)

ผู้บรรยายย้ำด้วยว่า IPCC ประเมินว่าผลกระทบในทางลบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะมากกว่าผลกระทบในเชิงบวก และกล่าวต่อว่า นโยบายเกี่ยวกับน้ำที่สำคัญ 5 ประการคือ

1.       บรรจุประเด็นสำคัญเรื่องการปรับตัวและการลดก๊าซเรือนกระจกสำหรับภาคเกษตรและการบริหารจัดการน้ำให้เป็นวาระสำคัญหนึ่งของแผนพัฒนาประเทศ 

2.       เพิ่มความยืดหยุ่นของระบบเกษตรกรรมทั้งแบบพึ่งพาฝนธรรมชาติและแบบมีระบบชลประทาน และลดการสูญเสียน้ำในระบบชลประทาน โดยการส่งเสริมมาตรการทางเทคโนโลยีและการจัดการ

3.       เพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและน้ำ แล้วแลกเปลี่ยนความรู้และแนวปฏิบัติที่ดีในระหว่างประเทศและภูมิภาค

4.       ส่งเสริมการบริหารจัดการความเสี่ยงในนโยบายของรัฐโดยสร้างเครือข่ายติดตาม (monitoring network) และนวัตกรรมของผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ทางด้านการประกัน (ความเสี่ยง)

5.       ใช้ประโยชน์จากกองทุน adaptation fund ต่าง ๆ เพื่อให้รับมือกับความท้าทายด้านความมั่นคงของน้ำและอาหารท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

Easterling สรุปการบรรยายว่า national adaptation policy เป็นสิ่งที่จำเป็น และเราควรมีแผนล่วงหน้าในการเปลี่ยนโฉมหน้าของระบบเกษตร ในเรื่องความรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนี้ ไม่ว่าจะศึกษาเท่าไหร่ก็ยังไม่พอ (You can’t have too much knowledge about climate change and its impact.)

ในช่วงถามตอบ Easterling กล่าวถึงการใช้พืชดัดแปลงพันธุกรรม (มีพูดถึงไปแล้วส่วนหนึ่งในการบรรยาย) อย่างค่อนข้างระมัดระวังว่า โดยส่วนตัวเขาไม่ได้เชียร์ GMOs และยังเห็นด้วยที่จะใช้วิธีการดั้งเดิมในการปรับปรุงพันธุ์พืช (conventional breeding) แต่ยอมรับว่าเราก็มีทางเลือกเหลือไม่มากแล้ว (It’s an uphill battle.)

สรุปสาระสำคัญ

Nobel Dinner Talk

Adaptation of Agriculture to Climate Change: Lessons for Thai Ariculture

By

Professor William Ewart Easterling

Dean, College of Earth and Mineral Sciences, The Pennsylvania State University

 

จันทร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา 18:00 – 20:30 น.

โรงแรมโซฟิเทล เซนทาราแกรนด์ กรุงเทพ

 

Easterling เริ่มการบรรยายด้วยการกล่าวถึงการเพิ่มขึ้นของระดับ CO2 ในบรรยากาศที่คู่กับการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลก น้ำแข็งและหิมะขั้วโลกและที่อื่น ๆ ที่ละลายมากขึ้น และระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น  ข้อมูลช่วงนี้นำมาจากรายงานของ IPCC เกือบทั้งหมด เป็นช้อมูลที่ทุกคนที่สนใจเรื่อง climate change คุ้นเคยดีอยู่แล้ว ไม่มีข้อมูลใหม่

จากนั้น Easterling ก็นำเรื่องเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงที่กระทบต่อการเกษตร โดยให้ข้อมูลว่าช่วงเวลาในการเพาะปลูกพืชผลแต่และปีนั้นยืดยาวขึ้น แต่อุบัติภัยที่เรียกว่า extreme events ก็มีแนวโน้มเกิดถี่ขึ้น (David Battisti, Science, 2009) โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับน้ำ Easterling กล่าวว่า น้ำที่ไหลเอ่อจากดินเข้าสู่แหล่งน้ำต่าง ๆ (runoff) เป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญมากที่จะบอกให้เรารู้ถึง water availability ยกตัวอย่างเช่น จากข้อมูลการทำ model พบว่าในปี 2100 ภาคพื้นยุโรปจะแห้งแล้งกว่าปัจจุบันมาก ในขณะที่บริเวณไซบีเรียและอาร์เยนติน่าอาจจะมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการทำเกษตรกรรมมากขึ้น

จากนั้นผู้บรรยายได้พูดถึงผลกระทบจากทั้ง CO2 ที่เพิ่มขึ้น และ climate change (ผลโดยอ้อม) ที่มีต่อผลผลิตทางการเกษตร (yield) ทั่วโลกว่า มีแนวโน้มจะส่งผลโดยตรงต่อการสังเคราะห์แสงของพืช นอกจากนี้ผลของการรันโมเดลได้ให้บทเรียน (เชิงคาดการณ์อนาคต) ดังนี้

1.       ผลผลิตของพืชในเขตอบอุ่นจะลดลงอย่างเห็นได้ชัดต่อเมื่อุณหภูมิเฉลี่ยสูงขึ้นราว 3°C

2.       สำหรับเขตร้อน ผลผลิตจะลดลงเกือบจะทันทีที่อุณหภูมิสูงขึ้น (เพียงเล็กน้อย)

3.       การปฏิบัติในเรื่อง adaptation เพียงอย่างง่าย ๆ สามารถช่วยยืดผลผลิตของพืชให้คงที่ต่อไปได้อีก 2-3°C

คำแนะนำสำหรับการปรับตัวของเกษตรกรรมในประเทศไทยคือ

·        เตรียมพร้อมสำหรับการสูญเสียผลผลิตราว -5 ถึง -2.5%

·        ถ้าโลกสามารถหยุด CO2 ไว้ได้ที่ระดับความเข้มข้น 550ppm จะช่วยให้ระดับความสูญเสียผลผลิตทางการเกษตรลดลงเหลือไม่เกิน 2.5%

·        ในบางกรณี ผลผลิตของมันสำปะหลังอาจจะสูญเสียไปได้ถึง 30%

·        ในกรณีที่ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 2 เมตร พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลจะจมอยู่ใต้น้ำ

มาถึงช่วงนี้ Easterling เริ่มกล่าวถึงแนวความคิดสำคัญของเขา (ซึ่งผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง) นั่นคือ adaptation เป็นความพยายามที่เปรียบเสมือนการยิงเป้าเคลื่อนที่ เมื่อสภาพภูมิอากาศของโลกเปลี่ยนไป ไม่เพียงแต่อากาศ แต่ว่าสังคมก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วยพร้อมกัน “The world will co-evolve with climate change”. สิ่งที่จะเปลี่ยนไปก็คือ

·        การบริโภคอาหารของมนุษย์ เช่น จะมีการบริโภคเนื้อสัตว์มากขึ้น (อันนี้ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่) รวมทั้งน้ำตาล น้ำมัน และธัญพืช สิ่งที่จะมีการบริโภคน้อยลงคือข้าว coarse grains, roots, and tuber และ

·        จากนี้ไป Biofuels จะได้รับความนิยมมาก แต่ปัญหามีอยู่ว่า เราจะยอมสูญเสีย (พื้นที่ปลูก) อาหารได้เท่าไหร่เพื่อให้ได้มาซึ่งเชื้อเพลิง

·        เราต้องระวังไม่ให้การเติบโตของผลผลิตลดลงเกินกว่า 1.3% ต่อปี มิเช่นนั้นโลกจะไม่สามารถตอบสนองทันความต้องการของ demand ที่เพิ่มขึ้น (ไม่ว่าจะมี climate change หรือไม่)

·        ในการพัฒนาพันธุ์พืชให้เหมาะสมกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนไปนั้น อาจใช้พันธุ์ปลูก (cultivar) ที่เติบโตได้ในสภาพอุณหภูมิที่สูงขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะช่วยป้องกันหรือลดอัตราการสูญเสียได้ดีคือการบริหารจัดการน้ำให้เหมาะสม (adequate water supply) กล่าวคือกลยุทธ์ของ adaptation ที่ดีที่สุดคือการจัดการเรื่องอุณหภูมิและน้ำ

ประเด็นสำคัญที่เป็นจุดสนใจของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ วทน. คือ การลงทุนในการวิจัยและพัฒนาควรมุ่งโฟกัสไปในเรื่องใด เกี่ยวกับประเด็นนี้ Easterling อธิบายว่า โจทย์วิจัยที่สำคัญคืองานวิจัยพื้นฐานเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ของพืช (fundamental research in basic plant science) และเทคโนโลยีด้านพืช เช่น พืชดัดแปลงพันธุกรรมที่สามารถรักษาระดับการสังเคราะห์แสงได้สูงในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ซึ่งขณะนี้มีงานวิจัยเรื่องนี้ที่ใช้ยืนของ Arabidopsis ใส่ลงไปในต้นยาสูบ เป็นต้น

ประเด็นสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง (ซึ่งใหญ่กว่า) เป็นเรื่องของการเพิ่มขีดความสามารถในการยืดหยุ่น (ประคองตัว?) ให้คืนสู่สภาพสมดุลดังเดิม (resilience) ให้กับระบบ แต่ต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้ในอนาคตด้วยว่า ถ้าการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในอัตราที่สูงมาก หรือถ้าระบบของเรายืดหยุ่นไม่พอ ก็จะนำไปสู่การสูญเสีย resilience ซึ่งจะเกิดผลกระทบทำให้ระบบเกษตรต้องเปลี่ยนโฉมหน้าไป โดยพึ่งพาระบบนิเวศน์น้อยลง ผู้บรรยายได้แสดงแผนภูมิที่ใช้ในการอธิบายความคิดนี้ด้วย

ในการที่จะเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ระบบเกษตร เราจำเป็นที่จะต้องมีแนวรับที่แข็งแกร่ง ทางเลือกที่ทำได้เองและทำได้ทันที (ด้วยการมีนโยบาย) คือ

1.       การมีข้อมูลการปลูกที่ครบถ้วน

2.       เปลี่ยนพันธุ์ที่ปลูกให้เหมาะสม

3.       เปลี่ยนชนิดของพืชที่ปลูก (เช่น จากปาล์มเป็นถั่วเหลือง) เนื่องจากพื้นที่ที่เหมาะสมที่จะปลูกพืชบางอย่างในประเทศของเราอาจจะเคลื่อนที่ไปทางเหนือ กลายเป็นอยู่ในพื้นที่ประเทศอื่น

ในระยะยาวสิ่งที่จะต้องทำคือ

1.       สร้างโครงสร้างพื้นฐานให้มีความยืดหยุ่น (รับมือได้หลาย ๆ สถานการณ์)

2.       เพิ่มพูนทักษะความรู้ใหม่ ๆ

3.       เมื่อพบว่าปริมาณน้ำในพื้นดินเริ่มลดลง การปรับตัวต้องเริ่มขึ้นทันที (ตรงนี้ผู้บรรยายอธิบายความสำเร็จในการปรับตัวของการใช้พื้นที่เพาะปลูกในแถบ High Plains ทางตะวันตกของสหรัฐ)

4.       ปรับปรุงการอนุรักษ์น้ำ เพราะน้ำเป็นกุญแจสำคัญของ adaptation (Easterling ใช้คำว่า linchpin ซึ่งในพจนานุกรมแปลว่า สมาชิกที่สำคัญที่สุดของกลุ่มหรือระบบ)

ผู้บรรยายย้ำด้วยว่า IPCC ประเมินว่าผลกระทบในทางลบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะมากกว่าผลกระทบในเชิงบวก และกล่าวต

หมายเลขบันทึก: 427002เขียนเมื่อ 18 กุมภาพันธ์ 2011 20:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:36 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

สถานการณ์โลกร้อน ยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่กลับร้อนขึ้นจริงๆ 

There are many warnings that Thailand should pay attention (and fund researchers) to set up 'measurement' (change tracking) for them. For examples:

...สำหรับเขตร้อน ผลผลิตจะลดลงเกือบจะทันทีที่อุณหภูมิสูงขึ้น (เพียงเล็กน้อย)...(Thailand) เตรียมพร้อมสำหรับการสูญเสียผลผลิตราว -5 ถึง -2.5%...เราต้องระวังไม่ให้การเติบโตของผลผลิตลดลงเกินกว่า 1.3% ต่อปี...เมื่อพบว่าปริมาณน้ำในพื้นดินเริ่มลดลง การปรับตัวต้องเริ่มขึ้นทันที...

We need to put in place urgently 'measuring instruments' (methodology, manpower, funding) so we can adjust to change more appropriately [market price cannot be reliably used to detect change or to give basis for direction of change].

Provincial agricultural officers could work with local researchers and students to obtain and record data for national analysis.

 

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท