เกือบสองปีให้หลังนี้ ผมเน้นย้ำเหลือเกินกับวาทกรรมว่า "สอนงานสร้างทีม"
เพราะอยากให้วาทกรรมนี้ เป็นเสมือน "วัฒนธรรมขององค์กร"
วาทกรรมที่ว่านี้ เกิดจากการทบทวนรอยเท้าของการขับเคลื่อนตัวเองและองค์กรมาอย่างยาวนาน จนที่สุดแล้วก็พบว่า การจะพัฒนาคนในองค์กรและยกระดับองค์กรนั้น หัวใจหลักมันหนีไม่พ้นการ "สอนงาน-สร้างทีม"
เป็นบทความที่มีพลังมากๆครับ..
ผมกับลูกศิษย์กำลังทำเรื่อง Self-managed team อยู่พอดี
เรื่องนี้สร้างพลังการเปลี่ยนแปลงได้จริงๆครับ
การสอนงาน อิสระภาพ และการให้โอกาสครับ
สวัสดีครับ ดร.ภิญโญ
สอนงาน สร้างทีม...จริงๆ ก็มาจากบาดแผล หรือบทเรียนชีวิตของผมเอง เพราะผมประสบมากับตัวเอง เรียนรู้ด้วยตนเองมามากแบบไร้พี่เลี้ยง พอมาบริหารงาน ก็ถูกระบบงานที่สูงขึ้นดึงเวลาออกไปจากการงานประจำ พลอยให้ไม่มีเวลาสอนงาน หรือร่วมเรียนรู้กับลูกทีม จนล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า...
เมื่อกลับมาอีกรอบ บทเรียนเหล่านั้น ถูกหยิบมาเป็นโจทย์สร้างความท้าทายในเรื่องการขับเคลื่อน ซึ่งถึงตรงนี้ ก็ถือว่า ได้เริ่มต้นและมาถูกทางแล้ว...
ได้คน...ได้งาน...เหมือนครอบครัวเล็กๆ ที่ซ้อนอยู่ในองค์กรนั้นๆ...
ขอบพระคุณครับ
สวัสดีครับ คุณ✿อุ้มบุญ✿
ไม่ว่าสถานะใดก็ตาม เราล้วนเป็นนิยามการเติมเต็งให้กันและกัน เพราะนั่นคือความเป็นสังคม...และสัตว์สังคม (สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "คน")
ท่านแผ่นดิน
ใช่เลยยค่ะบทบาทของผู้นำ ค่อยๆห้เขาเรียนรู้ค่ะ
สุขสันต์วันวาเลนไทน์ค่ะ
Note-taker ที่จริงมีบทบาทสำคัญมาก เป็นพระรองหรือตัวประกอบที่ขาดไม่ได้ทีเดียว เป็นให้ดีก็ไม่ใช่ง่ายๆ ต้องมีสมาธิ และ honor สิ่งที่ได้ยิน เขียนบันทึกโดยไม่แต่งเติมแต้มตนลงไป ข้อสำคัญคือช่วยปลดภาระของคนเรียนให้มีสมาธิ "ฟัง" เต็มที่ โดยไม่ต้องพะวงกับการจดซึ่งจะทำให้เสียสมาธิได้ง่ายมาก
สวัสดีครับ คุณท้องฟ้า
สุขสันต์วันวาเลนไทน์ครับ..
และขอให้ทุกๆ วันมีความหมายเฉกเช่นวันนี้เสมอไป นะครับ
สวัสดีครับ อ.Phoenix
ขอบพระคุณที่แวะมาเติมเต็มบันทึกนะครับ..
ผมยังมองว่าที่สุดแล้ว "สุ จิ ปุ ลิ" นี่แหละคือมหัศจรรย์ของการเรียนรู้ หลักคิดนี้หัวใจแห่งการพัฒนาชีวิตและสังคมผ่านกระบวนการทางการศึกษาอย่างแท้จริง
แปลกตรงทุกวันนี้ วิชาเรียนในห้องเรียนที่ว่าด้วยการอ่านและย่อความต่างๆ นั้นดูจะลดน้อยถอยลง หรือมีความเข้มข้นน้อยลง จนทำให้ผมรู้สึกว่านักเรียน-นักศึกษา จำนวนไม่น้อยประสบปัญหาเรื่องการจับใจความ สรุปใจความสำคัญมากโข (รวมทั้งผมด้วย-ขอบพระคุณครับ)
สวัสดี วันแห่งความรักค่ะ
ความรักทำให้เกิดสิ่งดีๆเสมอนะคะ
สวัสดีครับ..พี่กานดา น้ำมันมะพร้าว
เช่นกันนะครับ..ขอให้ดอกรักเบ่งบานในดวงใจ เสมอไป..
ขอให้ทุกๆ วันเป็นวันแห่งความรัก นะครับ
หัวใจการศึกษา... จริงเลยนะครับ
ตอนหลังๆผมพบว่า trick ในการจดฟังบรรยายนั้นต่างจากการอยู่ในวงสนทนา สมัยก่อนเราบรรยายเยอะ เกิดนักจด lecture มืออาชีพเยอะ ชนิดมือถอดเทปเดียวนี้อาจจะอายเลยทีเดียว ตอนหลังๆเรามี lecture น้อยลง ใช้ interactive session มากขึ้น เนื้อหาทฤษฎีน้อยลง มีเรื่องอารมณ์ความรู้สึกและอวจนภาษามากขึ้น ชีวิตไปด้วยกันกับการเรียนรู้ สาระไปด้วยกันกับพฤติกรรม ในแบบหลังนี่ ระหว่าง session เราอาจจะต้องใช้สมาธิและการรับรู้ของอวัยวะต่างๆมากขึ้น ไม่งั้นเราไม่เห็นสีหน้า ท่าทาง และสาระแห่งความเงียบ อันเป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ข้างหน้าได้ แบบนี้จดทีหลัง (ดีที่สุดคือ ทันทีหลังเสร็จ session เหมือนวิธีทำวิจัยเชิงคุณภาพ พวก in-depth interview) จะได้อะไรเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่อาจจะมี note keywords เป็นคำๆไว้ และดีสุดคือ มี dedicated note-takers เป็นผู้ช่วยสอนอีกคนสองคน
สวัสดียามเช้านะคะอาจารย์มาเยี่ยมนานๆที ได้สาระมากๆที่จะนำไปพัฒนาในการสร้างทีมงาน และการทำงานในองค์กร ขอบคุณค่ะ
สวัสดีครับ คุณครูอรวรรณ
สุขสันต์วันความรัก (ย้อนหลัง) นะครับ ยังไงก็ขอให้ทุกๆ วันมีความหมายไม่ด้อยไปกว่าวันวาเลนไทน์แล้วกัน ทั้งความรักในมิติของคนในครอบครัว และมิติของความเป็นสังคม
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ อ.Phoenix
ผมเองก็ค่อนข้างเห็นด้วยอย่างมากเลยครับกับกระบวนการเรียนรู้ที่มุ่งให้เห็น "ปฏิสัมพันธ์" ระหว่างคนมากขึ้น และนั่นก็หมายถึงการเรียนการสอนที่ไม่เน้นการ "บรรยาย" อย่างมากมายก่ายกอง โดยกำหนดกติกาหลักให้ผู้เรียนได้ lecture อย่างไม่ลืมหูลืมตา ถึงขั้นกลัวการจดบันทึกไม่ทัน ก็ใช้ระบบบันทึกเสียงควบคู่กันไป
จริงๆ แล้ววิธีเช่นนี้ก็ถือว่าดียิ่งแล้วเหมือนกัน เพราะมันคือภาพสะท้อนของความสนใจ ตั้งใจ รับผิดชอบและเก็บเกี่ยวในทุกท่วงท่าของการสื่อสารจากวิถีของการ "เรียนเพื่อจะให้รู้"
กรณีคล้ายกันนี้ ผมมักุดกับนิสิตเสมอในยามต้องลงพื้นที่ หรือออกไปเรียนรู้เรื่องราวชีวิตภายนอก ผมไม่ปรารถนาให้พวกเขาทำตัวเป็น "นักจดบนทึก" โดยมี "เครื่องมือ" หลากหน้าตา ทั้งเทปเสีย หรือแม้แต่แบบสอบถามเด่นหราอยู่ในมือ จนขาดความเป็นกันองกับ"ผู้คนต้นเรื่อง" ที่นั่งอยู่ตรงหน้า และผมก็เห็นว่านิสิตขาดทักษะในเรื่องพรรค์นี้มากไม่ใช่ย่อย จนได้เสนอต่อมหาวิทยาลัยว่า ควรมีวิชาที่ว่าด้วยการจัดกิจกรรมในพื้นที่ให้นิสิตได้เรียนรู้อย่างจริงๆ จังๆ เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์
สำหรับผมแล้ว ในยามลงชุชน หรือแมแม้แต่ในห้องประชุม ผมมักให้คามสำคัญกับการสนทนา, ฟังอย่างตั้งใจ (ลึกซึ้ง) และเขียนเป็น "วาทกรรม" สั้นๆ มาจำกัดความหมายไว้ให้ได้มากที่สุด นั่นคือวิธี หรือกระบวนการฝึกจิต ฝึกสมาธิไปในตัว โดยไม่พะวงกับการจดบันทึกจนแทบไม่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในวงเสวนา แต่ทันทีที่กระบวนการเหล่านั้นยุติลง ผมจะไม่ละเลยที่จะสกัดเรื่องราวเป็นข้อมูล
จนลูกทีมหลายต่อหลายคนแซวตลอดว่า "กินอะไรมา ถึงได้มีความจำดีนัก" (โดยเจาะจำและจับผิด)
สวัสดีครับ อ.อิงจันทร์
ผมเองก็ชักสงสัยเหมือนกันว่าอยู่กันไปก็ยิ่งผูกพันมากขึ้นหรือเปล่า มีหลายคนได้งานใหม่ ดูดีกว่าเดิม น่าจะก้าวหน้ากว่าเดิม ทั้งการไปสอนหนังสือ ทั้งการไปติดดาวเป็นนายร้อย (ซึ่งมีโอกาสค่อนข้างสูง) แต่ก็ไม่ยอมไปในเส้นทางสายนั้น บางทีมันอาจหมายถึงความสุข ความผูกพันกับองค์กร และความผูกพันกับทีมด้วยก็เป็นได้
ทีมเราทำงานกันเข้มนะครับ เข้มจนดูเป็นเครียดๆ...แต่เราก็ไม่เคยได้เปลี่ยนทีม ตรงกันข้ามกับสายงานอื่นๆ "มาแล้ว...ก็...ไป"
แน่นอนครับ ทุกคนล้วนมีสิทธิ์เลือกในสิ่งที่ดีกว่า หรือเลือกความสุขที่สุขกว่าที่เป็นอยู่
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ Rinda
กว่าจะได้เป็นวาทกรรม "สอนงานสร้างทีม" ก็ลองผิดลองถูกกันมามาก ตอนนี้พยายามสกัดความรู้ออกมาเป็นสื่อสาธารณะในองค์กรให้ได้มากที่สุด เพื่อให้แต่ละคนสามารถนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว ทันทีและมีประสิทธิภาพ..
ขอบพระคุณครับ
สวัสดีครับ พี่เบดูอิน
เช่นกันครับ ขอให้มีพลังในการใช้ชีวิตและเรียนรู้ชีวิตสืบไป นะครับ
ที่จริงคนเราจำอะไรเป็นเรื่อง เป็นราว นั้นง่ายกว่าจำเป็น text อยู่แล้ว น่าสงสัยเหมือนกันว่าทำไมนักศึกษาจำนวนมาก (รวมทั้งนักศึกษาแพทย์ด้วย) จึงขาดทักษะ narrative ไปอย่างน่าฉงน
เวลาเราชมภาพยนต์ที่สนุกสักเรื่องหนึ่ง เวลาออกมา mouth กัน แทบจะจำได้ทุกบท ทุกบาท ทุกสีหน้าท่าทาง อุธัจรันทดระทมระทวย ได้หมดเลย หากเราจะใช้ทักษะเดียวกันในเรื่องการเรียนการรู้ ก็จะประสบความสำเร็จได้ใกล้เคียงกัน
สงสัยก่อนอื่นเราต้องให้ความหมายการเรียนว่ามันสนุก มันน่าสนใจ เหมือนกับการไปชมภาพยนต์ เรียนจบแล้วเอามา mouth กันแลกเปลี่ยนสะท้อนกันอย่างเมามันเหมือนไปดู concert กระมัง
สวัสดีค่ะ
เป็นบันทึกที่สร้างพลัง ให้แนวคิดได้ดีมากๆ
ทุกครั้งที่ลูกศิษย์นำเสนอผลงาน แสดงนิทรรศการต่างๆ ดิฉันก็แอบภูมิใจในความสามารถของเด็กๆ ที่กล้าแสดงออกและมีภาวะความเป็นผู้นำ...แต่ยังมีปัญหาเรื่องทีม เมื่ออ่านหลายๆบันทึกคุณแผ่นดิน ได้แนวคิด และเข้าใจ"สอนงานสร้างทีม"
ขอบคุณมากๆค่ะ