ช่วงนี้เรามีการฝึกการฟังภาษาอังกฤษกันทุกบ่ายวันศุกร์ที่หน่วยเคมีคลินิกโดยจะนำเอาบทความเกี่ยวกับสุขภาพที่น่าสนใจ แล้วก็ใช้วิธีอัดเสียงคำอ่านบทความนั้นโดยใช้คุณ Julie จาก http://www.oddcast.com/home/demos/tts/tts_example.php เป็นผู้อ่านให้ เลือกคุณ Julie เพราะเป็นเสียงที่อ่านแล้วสมาชิกในหน่วยบอกว่าฟังง่ายหน่อยค่ะ ที่เว็บไซต์นี้จะอ่านได้ทีละประโยคที่ไม่เกิน 2 บรรทัด ก็ใช้วิธีอัดแล้วก็เอามาตัดต่อกันเป็นเรื่อง แล้วก็เอามาเปิดให้สมาชิกในหน่วยฟัง โดยที่จะให้เติมคำบางคำในแต่ละย่อหน้า เพื่อทดสอบการฟัง ก่อนที่จะเฉลยก็จะมีการแปลทั้งบทความให้ฟังก่อน แล้วก็อนุญาตให้ฟังกี่รอบก็ได้จนกว่าจะพอใจ คะแนนก็ดีกันขึ้นเรื่อยๆ ครั้งสุดท้ายนี่มีคนได้เต็มตั้ง 4-5 คนแน่ะค่ะ
พบว่าสมาชิกของเราเก่งขึ้นเรื่อยๆ จากที่จับไม่ได้ว่าเขาพูดถึงไหนแล้ว ตอนนี้เริ่มฟังออกมากขึ้น คำที่เคยได้ยินบ่อยๆก็เริ่มจำได้แล้ว ถือว่าก้าวหน้าเป็นที่น่าพอใจทีเดียวค่ะ แต่พอวันอังคารที่เราได้พูดคุยและฟังอาจารย์ Glen ซึ่งเป็นอาจารย์ฝรั่งตัวเป็นๆ ก็ยังเห็นว่าพวกเรายังมีปัญหากับการฟังอยู่ แสดงว่าการฝึกฟังบ่อยๆและจากหลากหลายแบบเป็นสิ่งสำคัญจริงๆค่ะ
สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ฟังอาจารย์พูดหลายๆคำที่ลงท้ายด้วย -ed ทำให้อยากเอามาเขียนอีกสักที แม้จะเคยเขียนวิธีมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้คิดว่าเทคนิคนี้น่าจะชัดขึ้นและขอแนะนำให้ลองไปฟังตามบทเรียนที่ลิงค์นี้ด้วย เพราะเขามีการออกเสียงคำที่เติม -ed โดยแยกเป็นชุดๆทั้งสามแบบ ที่ทำให้เราติดหูถึงเสียงที่ถูกต้อง รับรองว่าถ้าฟังทั้งแบบฝึกหัดที่เขาจัดไว้ให้แล้ว น่าจะจำได้แบบนานกว่าที่เคยแน่นอนค่ะ เพราะตัวเองลองมาแล้วติดใจเลยค่ะ
ส่วนเทคนิคที่ว่าก็คือ จะมีการออกเสียงได้เป็น 3 แบบที่เราเคยบอกกันมาแล้ว คือ /t/ หรือ /d/ หรือ /id/ ที่นี้การที่จะรู้ว่าคำไหนจะออกยังไง ก็มาดูตัวอย่างคำต่อไปนี้นะคะ
kissed, hoped, learned, played, wanted, mended
ลองทายดูซิคะว่า คำไหนออกเสียงยังไง... เทคนิคก็คือ
ถ้าเป็นคำที่ลงท้ายเสียงที่ไม่ก้องซึ่งเขาเรียกว่า unvoiced อย่างเช่น kiss กับ hope (ยกเว้นที่ลงท้ายด้วย t) ให้ออกเป็นเสียง /t/ เพราะฉะนั้น kiss กับ hope เวลาเติม -ed จึงอ่านเป็น kist กับ hopt (คือต่อคำปกติด้วยเสียง t)
ส่วนคำว่า learn กับ play นั้นเสียงลงท้ายเป็นแบบที่เขาเรียกว่า voiced คือเป็นเสียงก้อง ยกเว้นคำที่ลงท้ายด้วย d เวลาเติม -ed แล้วจะออกเสียงเป็น /d/ ดังนั้น สองคำนี้จะออกเสียงเป็น lernd กับ pleid คือ เลินดึ กับ เพล-ดึ (ออกเสียงดึนิดเดียวเป็นลมเบาๆเท่านั้น)
คราวนี้ถ้าเสียงลงท้ายเป็น /d/ หรือ /t/ พอเติม -ed จะออกเสียงเป็น อิด ตามมา คือเป็นคำสองพยางค์ ดังนั้น want กับ mend เมื่อเติม -ed ก็จะออกเสียงว่า ว้อนถิด และ เม็นดิด
แต่ต้องดูให้ดีๆนะคะว่าเทคนิคนี้เขาหมายถึงเสียง ไม่ใช่ตัวสะกด เพราะฉะนั้นก็เลยจะยากสำหรับเราถ้าออกเสียงคำธรรมดาไม่ถูกก็จบเลย เช่น คำว่า cough ที่แปลว่า การไอ จะอ่านว่า คอฟ ที่เป็นเสียงไม่ก้อง ดังนั้นเมื่อเติม -ed จะออกเสียงว่า คอฟทึ (ทึเบาๆมากๆ)
เขาแนะนำว่า ถ้าเราอยากทดสอบว่าคำนั้นเป็นแบบเสียงก้อง (voiced) หรือไม่ก้อง (unvoiced) ให้ใช้มือแตะที่คอเวลาออกเสียง ถ้ามีการสั่นที่คอเป็นเสียงก้อง ถ้าไม่่สั่นก็ไม่ใช่เสียงก้อง วิธีนี้ใช้ได้ยากกับคนไทยเราที่เรียนวิธีออกเสียงตัวอักษรเอบีซีกันมาแบบนี้นะคะ เพราะฝรั่งเขาออกเสียงแบบใช้เสียงจริงๆคือ เออะ เบอะ ซ.. เขาเลยออกถูกว่าเสียงไหนคอสั่นเสียงไหนไม่สั่น
สำหรับพวกเราถ้าจะให้ขึ้นใจก็คือต้องฟังเป็นคำๆกันไปเลย แล้วจะจำได้เป็นอัตโนมัติค่ะ ขอให้ไปลองฝึกฟังกันได้ที่ลิงค์นี้แหละค่ะ รับรองติดหูแน่นอน
ดีจังค่ะ จะได้ฝึกด้วยอีกคน
วันนี้ได้เรียนภาษาเพิ่ม.....ขอบคุณนะคะ
สวัสดีค่ะ
หัวใจเต็มเลยพี่ดาตาลายรักไปหมด
เพิ่มหัวใจอีก 2 ดวงนะคะ คิดถึงเสมอค่ะ
สวัสดีค่ะ
แวะมาอ่านบันทึกนี้ค่ะ
พร้อมกับมาเรียนรู้กับบันทึกนี้ค่ะ
เป็นบันทึกที่ทำให้ได้เรียนรู้
กับภาษาอังกฤษเพิ่มมากขึ้นค่ะ
ขอบคุณสำหรับบันทึกนี้นะคะ
ขอบคุณค่ะ^^
..วิธีนี้ใช้ได้ยากกับคนไทยเราที่เรียนวิธีออกเสียงตัวอักษร เอบีซี กันมาแบบนี้นะคะ เพราะฝรั่งเขาออกเสียงแบบใช้เสียงจริงๆคือ เออะ เบอะ ซ.. เขาเลยออกถูกว่าเสียงไหนคอสั่นเสียงไหนไม่สั่น
..
ขอบคุณค่ะพี่โอ๋ กล่าวได้ตรงใจค่ะ
เด็กรุ่นใหม่ น่าจะเปลี่ยนจาก A-Apple มาเป็น การออกเสียงจากบ่อยไปไม่บ่อย เช่น A แอะ, อะ, ออ
หรือ S ซือ (ในปาก voiceless) และ ซือออ (= /Z/voice สั่นในคอ)