ร้านหนังสือเก่าของพ่อ


สิ่งที่ฉันชอบมากที่สุด ที่พ่อนำมาขายก็คือของเก่า

                                                

                   “ ร้านขายหนังสือเก่าของพ่อ”
                  เมื่อ 40 ปีก่อน   ที่บ้านเกิดของฉัน   ต. บ้านเพชร อ. บำเหน็จณรงค์  จ.ชัยภูมิ    ยังไม่มีไฟฟ้าใช้   ต้องอาศัยแสงสว่างจากตะเกียง (ตะเกียงเจ้าพายุ, ตะเกียงน้ำมันก๊าด) เทียนไข, ไต้, และยังไม่มีโทรทัศน์ ความบันเทิงหาได้จากมหรสพในงานวัด    เช่น   วงดนตรี   ลิเก  หมอลำ  เพลงโคราช   หนังกลางแปลงหรือหนังขายยา(การนำภาพยนตร์มาฉายให้ชมฟรี ไม่เก็บเงิน แต่มีการโฆษณาขายยาคั่นเป็นระยะๆ) หนังกักวิก(การนำภาพยนตร์มาฉายแล้วล้อมผ้าเก็บเงินค่าผ่านประตู) นอกจากนั้นสิ่งที่ให้ความบันเทิงได้ทุกวันก็คือวิทยุและหนังสือ
              พ่อเปิดบ้านเป็นร้านค้า  ไม่ใช่เป็นร้านขายของชำอย่างเดียว  แต่เป็นร้านขายของแบบรวมมิตร  คือมีทั้งของแห้ง (พริก หอม กระเทียม กะปิ ) ของสด (ผักสด ผลไม้สด)  ของหวาน(น้ำแข็งไส ลอดช่อง กล้วยทอด มันทอด สอดไส้ ขนมแห้งต่างๆ )   ของคาว (ปลาทู พะโล้ กับข้าว) บางครั้งก็ขายกล่องกระดาษ  เศษวัสดุต่างๆ    ต้นไม้ ดอกไม้  สรุปแล้วร้านเราขายของทุกอย่างที่ขายได้  ถ้ามีคนซื้อ  แม้กระทั่งการขายบริการ  แม่ก็ขาย  เพราะแม่เป็นหมอนวดแผนโบราณและเป็นหมอตำแย(ผดุงครรภ์)ประจำหมู่บ้าน    แต่สิ่งที่พ่อกับแม่ไม่เคยนำมาขายก็คือของดี(พระเครื่อง) กับของเถื่อน(ของผิดกฎหมาย)    แต่สิ่งที่ฉันชอบมากที่สุดที่พ่อนำมาขายก็คือของเก่า (ไม่ใช่แม่แน่นอน แต่เป็นหนังสือมือสอง)
              สมัยนั้นการขายหนังสือเก่ายังไม่เฟื่องฟูเหมือนสมัยนี้  ในอำเภอบำเหน็จณรงค์มีร้านขายหนังสือใหม่  หนังสือพิมพ์อยู่ไม่กี่ร้าน  แต่ร้านที่ขายหนังสือเก่ามีร้านพ่ออยู่ร้านเดียว สาเหตุที่พ่อขายหนังสือเก่า  เพราะพ่อเคยรับราชการมาก่อน  พ่อชอบอ่านหนังสือมาก  จะซื้อหนังสือใหม่มาอ่านก็คงไม่ไหว  เพราะพ่อมีลูกตั้ง7 คน เป็นภาระหนักที่ต้องใช้จ่ายมาก พ่อจึงไปหาซื้อหนังสือเก่าซึ่งราคาถูกกว่ามาอ่าน พออ่านๆไป     หนังสือเริ่มมากแม่ก็เริ่มบ่น  บางครั้งแม่ก็แอบเอาไปชั่งกิโลขาย  เพราะแม่จะขายของทุกอย่าง(ที่ขวางหน้า)   พ่อจึงเปิดเป็นร้านขายหนังสือเก่าไปเสียเลย เพื่อเป็นการหมุนเวียนความรู้ ความสุข  และช่วยเหลือเศรษฐกิจของครอบครัว (พ่อบอกอย่างนี้  เมื่อฉันอยากเก็บหนังสือไว้อ่านเองหลายๆ เล่ม โดยไม่นำออกมาขายต่อ) 
                    พ่อจะไปซื้อของสด  ของแห้งต่างๆ ที่ตลาดในเมืองโคราชประมาณอาทิตย์ละ 2 ครั้ง และทุกครั้งพ่อจะไปซื้อหนังสือเก่ามาด้วย ถ้าพ่อไปตรงกับวันเสาร์อาทิตย์   พ่อก็จะเอาฉันไปทิ้งไว้ที่ร้านขายของเก่า ฉันมีความสุขมาก  เพราะที่นั่นนอกจากจะมีของเก่าหลายอย่างแล้ว  ยังมีหนังสืออีกมากมายกองพะเนินเทินทึก   ฉันสามารถรอพ่ออยู่ที่นั่นได้ทั้งวัน   โดยมีภารกิจสำคัญคือการเลือกหนังสือเก่าเพื่อนำไปขายต่อ 
                    การเลือกหนังสือเก่านั้น  พ่อสอนฉันว่า หนึ่งเลือกหนังสือ  นิตยสารที่ลูกค้าชอบอ่านและคนในครอบครัวเราชอบอ่านด้วย   สองเลือกหนังสือนิตยสารที่มีสภาพรูปเล่มสมบูรณ์ไม่ฉีกขาดยับเยินเกินไป สามไม่เลือกซื้อหนังสือชื่อเรื่องเดียวกันมากเกิน 2 เล่ม และไม่เลือกซื้อนิตยสารฉบับเดียวกันมากเกินกว่า  5 เล่ม  นอกจากมีลูกค้าสั่ง  นิตยสารเก่าไม่มีปัญหาเพราะจะมีฉบับใหม่เข้ามาให้เรื่อย ๆ  จะเลือกได้ง่าย   แต่หนังสือเล่ม  พ็อคเก็ตบุ๊ค  ประเภท นวนิยาย  เรื่องสั้น  วรรณกรรมเด็ก  ฉันต้องอ่านคร่าวๆ แบบสำรวจเสียก่อน   ฉันจึงอ่านหนังสือเก่งโดยไม่รู้ตัว  (ความจริงต้องขอบพระคุณ  คุณครูทุกท่านและพ่อที่สอนฉันอ่านหนังสือแทบทุกวัน จนฉันอ่านออกมาก่อนแล้ว)    
                    แม่ค้าที่ร้านนี้ใจดีมาก โดยเฉพาะกับเด็ก(หน้าตาดี)อย่างฉัน เดี๋ยวเอาน้ำมาให้  เอาขนมมาให้ บางครั้งก็เอาเสื่อเอาหมอนมาโยนให้ เมื่อเลือกเสร็จฉันก็จะนอนอ่านหนังสือต่อแล้วหลับข้างกองหนังสือนั่นแหละจนกว่าพ่อจะมารับ ที่นั่นขายหนังสือเก่าให้เราโดยชั่งขายเป็นกิโล แต่เมื่อมาถึงร้านเราจะขายเป็นเล่ม  ก็ได้กำไรบ้างพอสมควร  แต่สิ่งที่พ่อได้กำไรมากกว่าเงิน  ก็คือลูกๆ ของพ่อทุกคนอ่านหนังสือออก  ประเภทที่เรียกอ่านเก่ง  อ่านคล่อง  อ่านเร็วเลยล่ะ     และครอบครัวเราก็มีความสุขจากการอ่านมาก     
                    ตอนฉันเป็นเด็กเล็กๆ  ยังอ่านหนังสือไม่ออก จะเห็นพ่ออ่านหนังสือทุกวัน  บางวันอ่านในใจบางวันก็อ่านออกเสียงให้แม่และลูกๆ ฟังทั้งบ้าน  บางครั้งก็เล่านิทาน(จากการอ่านหนังสือเก่าที่นำมาขาย)ให้ฟังแทนการดูโทรทัศน์  เล่าจบบ้าง  ไม่จบบ้าง  ฉันกับน้องๆ จึงต้องพยายามอ่านหนังสือเอง (ถ้าอยู่ที่บ้านอ่านคำไหนไม่ออกก็ถามพ่อถามพี่ ถ้าอยู่ที่โรงเรียนก็ถามคุณครู)  เพราะติดใจนิทานที่พ่อเล่าอยากรู้เรื่องต่อว่าจะจบอย่างไร   และก็อยากรู้เรื่องอื่นๆ  ต่อๆ ไปอีก จึงต้อง อ่าน  อ่าน และอ่าน  อย่างกระตือรือร้นและมีความสุข
                  หนังสือเก่าที่ซื้อมา  ก่อนนำออกขาย  พ่อ  ฉัน และน้อง ๆ  จะอ่านหนังสือเหล่านั้นก่อน  ฉันกับน้องๆ ส่วนใหญ่จะชอบ หนังสือรวมนิทาน  วรรณกรรมเด็ก  นวนิยายผี  ลึกลับสยองขวัญ   และนิตยสาร  เช่น เบบี้ หนูจ๋า รวมรสสำราญ ชัยพฤกษ์การ์ตูน (ถ้ามี คู่สร้าง-คู่สมในสมัยนั้น ฉันต้องอ่านแน่นอนเพราะปัจจุบันชอบมาก )  พ่อจะชอบนวนิยายบู๊  สืบสวนสอบสวน  ผจญภัยและนิตยสาร  เช่นบางกอก จักรวาล สกุลไทย  ฟ้าเมืองทอง ฟ้าเมืองไทย ฟ้าอาชีพ แต่นิตยสารอื่นๆ เช่น ดาราบันเทิง ดาราภาพยนตร์  โลกดารา พวกเราก็อ่าน  แล้วจึงจะนำมาขายต่อ
                      การนำหนังสือเก่าออกมาขายก็ค่อนข้างจะแปลกๆ อยู่เหมือนกัน  เพราะพ่อจะตอกตะปูตัวเล็กๆ ไว้ที่ต้นฝรั่ง 2  ต้น   ต้นยอ  1  ต้นและต้นมะขาม อีก 1  ต้น ที่อยู่หน้าร้าน   โดยตอกไล่ตั้งแต่โคนต้นเรียงเป็นแถวไปตามลำต้น กิ่ง ก้านใหญ่ ๆ  ที่พอรับน้ำหนักหนังสือได้  แล้วเอาที่หนีบเสื้อไปหนีบหนังสือห้อยกับตะปูที่ตอกไว้  เมื่อใครมองเข้ามา  ก็จะเห็นต้นไม้หนังสือตั้งตระหง่านแลดูเด่นเป็นสง่าอยู่หน้าร้าน แต่สำหรับฉันแล้วมันช่างเป็นเสมือนฉากในเทพนิยายเลยล่ะ  ต้นไม้ที่มีใบสีเขียวสด  มีลำต้น กิ่ง ก้านเป็นหนังสือมากมาย  หลากสีสัน   แลดูมีพลังลึกลับยังกับอยู่ในดินแดนมหัศจรรย์     ถ้ามองในช่วงเวลาเช้าตรู่ ฟ้าเริ่มสาง ดวงอาทิตย์สาดแสงเรืองๆ  โผล่พ้นขอบฟ้า  จะแลเห็นต้นไม้หนังสือลางๆ  มีแสงสีทองทาทาบเป็นช่วงๆ  แล้วค่อยๆ ชัดขึ้นๆ จนเห็นต้นไม้หนังสือทั้ง 4 ต้นสว่างไสวด้วยแสงอ่อนๆ ของดวงอาทิตย์ บางครั้งฉันยังมองเห็นยักษ์ใหญ่ใจดีเดินมา  แล้วทรุดตัวลงหยิบหนังสือมานั่งอ่าน  อ่านไปหัวเราะไป     เหล่านางฟ้าสีส้ม   สีชมพู   ภูตน้อยสีฟ้า สีแดง   และแม่มดหลากสีสันตัวจิ๋วๆ ขี่ไม้กวาดเฉวัดเฉวียนไปเปิดหนังสือเล่มโน้นที …..    เล่มนี้ที …ดูทุกคนช่างมีความสุขกับหนังสือเหลือเกิน …….
                    หลายคนหลงเสน่ห์ต้นไม้หนังสือที่บ้านฉันมาก   โดยเฉพาะเด็กนักเรียน ตั้งแต่ประถมไปจนถึงมัธยม  ทั้งโรงเรียนเดียวกันและต่างโรงเรียนจะรู้จักร้านหนังสือเก่าของพ่อทั้งนั้น  ฉันมีเพื่อนมากก็เพราะหนังสือเก่านี่แหละ   ถ้าเป็นเด็กเล็กก็จะมีพ่อแม่มาด้วย(ทีนี้ก็อ่านกันทั้งครอบครัว)   บางคนสั่งไว้เลยว่าถ้ามีรูปสุริยา ชินพันธ์  ไม่ว่าจะส่วนไหนของหนังสือจองซื้อทุกเล่ม บางคนชอบทัศวรรณ  เสนีย์วงศ์ ณ อยุธยา, ปิยมาศ โมณยะกุล ก็สั่งซื้อทุกเล่มที่มีเหมือนกัน  บางคนติดการ์ตูนเด็ก นิทานภาพ ถ้าเล่มไหนไม่เหมือนเล่มที่เคยซื้อ  เอาหมดทุกเล่ม …  ยิ่งมีคนชอบอ่านมากเท่าไร  ฉันก็ยิ่งชอบการขายหนังสือมาก ขึ้นเท่านั้น   เพราะฉันมีความรู้เกี่ยวกับหนังสือแทบทุกเล่มที่อยู่ในร้าน   ฉันสามารถพูดเสนอขายได้เป็นอย่างดี  ละเอียดลออ  เร้าใจให้ซื้อ ….
                     แทบทุกเสาร์อาทิตย์เพื่อนๆ และลูกค้าอื่นๆที่มาที่ร้าน จะเลือกหนังสือจากต้นไม้  แล้วไปนั่งอ่านนอนอ่านในสวนของบ้านเรา ที่มีพื้นที่ประมาณ  2 งาน  สวนนั้นมีม้านั่ง  เก้าอี้  เสื่อให้บริการ ใครจะอ่านตรงไหนก็ได้แต่ต้องหาร่มเงาและที่เฉพาะตัวเอาเอง    เพราะในสวนมีต้นมะเฟือง ละมุด มะละกอ   มะพร้าว  ฝรั่ง  ขนุน   
ต้นอ้อย  ต้นคูน  ทั้งหมดที่กล่าวถึงมีเพียงอย่างละต้นสองต้นเท่านั้นเอง  ยกเว้นมะพร้าวปลูกรอบๆ  สวน  เกือบ 10    ต้น   แล้วก็มีแปลงปลูกมันเทศและเผือก   อย่างละ  3    แปลง  ใครจะอ่านกี่เล่ม  ตั้งแต่เช้าจรดเย็นก็ไม่มีใครว่า   อ่านแล้วจะซื้อหรือไม่ซื้อพวกเราก็ไม่ว่าเช่นกัน   แต่ส่วนใหญ่ทุกคนที่มามักจะซื้อแทบทุกคน    คนละหลายๆ  เล่มเสียด้วย   และผลพลอยได้ก็คือระหว่างอ่าน  ลูกค้าจะซื้อน้ำแข็งไส  ขนม ไปกินด้วย      เรียกว่า     “ กินไป   อ่านไป   สำราญใจจริง”  
                  ร้านหนังสือเก่าของพ่อเป็นอดีตที่ฉันถวิลหามาตลอด   ขอขอบพระคุณพ่อแม่ที่สร้างต้นไม้หนังสือขึ้นมาในวันนั้น  ขอขอบคุณหนังสือทุกเล่มและผู้เกี่ยวข้องทุกคนที่ทำให้ฉันรักหนังสือ  รักการอ่าน  รักคนอ่าน   และอยากให้ทุกคนอ่านหนังสือ …….
                    วันนี้ฉันยืนมองเด็กๆ ที่กำลังอ่านหนังสืออยู่เบื้องหน้า   บ้างก็นั่งอ่านเป็นระเบียบเรียบร้อย   บ้างก็นอนเกลือกกลิ้งไปด้วย อ่านไปด้วยอย่างมีความสุข  ภายในห้องสี่เหลี่ยมที่ตกแต่งสวยงาม อากาศเย็นเฉียบ   ไม่เคยเบื่อเลยเมื่อมีเด็กวิ่งมาถามว่า    “ครูขา  คำนี้อ่านว่าอะไรค่ะ”   “ครูครับ …ผมขอยืมหนังสือเล่มนี้กลับบ้านนะครับ”       “  ครูขา ….  เล่านิทานให้ฟังหน่อยค่ะ”   “ครูขา …  ทำไมลูกโป่งถึงลอยได้ละค่ะ”
                  ปัจจุบัน ถึงแม้ฉันจะไม่มีต้นไม้หนังสือที่แสนมหัศจรรย์   ไม่มีร้านหนังสือเก่าของพ่ออีกแล้ว และไม่มีร้านหนังสือเป็นของตนเอง แต่ฉันก็มีห้องสมุดของโรงเรียน ฉันเป็นครูบรรณารักษ์   ฉันมีความสุขมากที่ยังได้เกี่ยวข้องกับหนังสือ   การอ่าน   ผู้อ่าน    การยืม-การคืนหนังสือ    การเล่านิทาน และกิจกรรมส่งเสริมการอ่านต่างๆ     
                    กาลเวลาผ่านไปทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่ฝังรากลึก คงทนถาวรอยู่ในตัวฉันก็คือนิสัยรักการอ่านและความปรารถนาดีอยากให้ทุกคนได้อ่าน เพื่อเติมเต็มอาหารให้สมอง เก็บเกี่ยวความรู้ มวลประสบการณ์ต่างๆ  แล้วนำมาใช้ในการดำรงชีวิตอย่างชาญฉลาด ให้อยู่ในโลกนี้ได้อย่างมีความสุข 
    ……………………………………………………………………………………………………………
                                                                     อัมพร    ทานประสิทธิ์
                                                                  12   กุมภาพันธ์  2554
                                               ขอขอบคุณ    ข้อมูลจากการตีพิมพ์ครั้งแรก       
                                        นิตยสารคู่สร้าง – คู่สม   ( 10-20 กรกฏาคม   2552)

 


 

หมายเลขบันทึก: 425722เขียนเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2011 23:11 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 ธันวาคม 2012 13:36 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลงจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (24)

สวัสดีค่ะ

เสียดายจังที่ "ไม่มีต้นไม้หนังสือที่แสนมหัศจรรย์   ไม่มีร้านหนังสือเก่าของพ่ออีกแล้ว"

ถ้ามีรูปให้เห็นก็ดีนะคะ อ่านเรื่องนี้แล้วคิดถึง ก๋ง ของ meepole ก๋งชอบเก็บหนังสือเก่าๆ ตัดหนงสือพิมพ์ปะติดในสมุด แล้วเก็บไว้อ่าน จน meepole เอาเป็นแบบอย่างเช่นกัน

ร้านของพ่อสร้างคนมากมาย น่าชื่นใจที่ลูกๆ ได้รับผลบุญที่มากค่านั้นมาด้วย

ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่ชอบอ่านหนังสือ  แต่ตอนนี้ชักจะล้าบ้าง  แต่ก็พยายาม  จะขอเรียนจากประสบการณ์ของอาจารย์เพื่อนำไปสอนลูก  และลูกศิษย์ให้เป็นคนรักการอ่าน และรักหนังสือต่อไป

อยากให้เด็กๆได้อ่านหนังสือมากกว่านี้

“รักตัวเรา” เท่าใดรักให้ทั่ว

“รักครอบครัว” ทุกคราพาอบอุ่น

รับผิดชอบกอปรเกื้อและเจือจุน

เป็นต้นทุนแนวทางแห่งสังคม

 ..............นำกลอนสุขสันติ์วันแห่งความรัก มาฝาก (ตามเทรนด์)................


 

          ขอบคุณมากค่ะ คุณpiyaporn88 และคุณแก้ว

               สำหรับดอกไม้ในการเริ่มต้น ณ ที่นี้

สวัสดีเช่นกันค่ะ   คุณmee_pole

ตอนนี้  ไม่มีต้นไม้หนังสือ ... ไม่มีพ่อแล้วล่ะค่ะ

แต่ในใจยังมีอยู่ครบค่ะ  เสียดายและคิดถึงจัง 

 

 

ยินดีมากค่ะที่ได้รู้จักคุณครูหยุย  ลูกของพ่อตอนนี้เหลือ 5 คน

เป็นข้าราชการครูรับใช้แผ่นดินทุกคนค่ะ

คุณครูพจนีย์ค่ะ   ดีใจมากค่ะที่ได้รู้จักกับคนรักการอ่าน  

แล้วจะตามไปอ่านบันทึกของคุณครู   เพื่อเรียนรู้ประสบการณ์

จากคุณครูเช่นกันค่ะ

 

 คุณpiyaporn88 fon sana ค่ะ   ดิฉันก็คิดเหมือนคุณ  และหลายๆ

องค์กรในสังคมก็พยายามช่วยเราอยู่ 

 

ผศ.โสภณ  เปียสนิท

ขอบคุณอาจารย์ค่ะ  ที่กรุณาแวะมาเยี่ยมและนำกลอนมาฝาก

แวะมาเก็บความรู้ ขอขอบคุณมาก ๆ ครับ

คุณครูประทีป

     ขอบคุณค่ะที่แวะมาเยี่ยมให้กำลังใจ

 

น้ำ ณัฏฐา(ลูกศิทย์ที่รักและเคารพครูมากๆๆๆๆที่สุดค่ะ)

หนูชอบเรื่องนี้มากๆเลยค่ะเนื้อเรื่องดีมากๆๆๆๆเลยค่ะตั้งแต่หนูอ่านหนังสือมาหนูยังไม่เคยเจอเนื่อเรื่องดีๆยังนี้มาก่อนเลยค่ะว่างๆหนูจะเข้ามาบอร์ดเว็บไซค์บ่อยน่ะค่ะครูส้ม

 ขอบใจจ้ะ ... น้ำ

           ตั้งใจอ่านหนังสือ  หาความรู้ในสาขาวิชาที่เราจะเรียนล่วงหน้าไว้แต่เนิ่นๆ  ก่อนที่จะเปิดภาคเรียนนะจ้ะ เปิดเทอมใหม่  สถาบันใหม่  เป็นผู้ใหญ่แล้วนะ  คิดให้รอบคอบในทุกเรื่องก่อนจะพูด  ก่อนจะทำ  ...

 

ค่ะครูส้มหนุจะทำตามที่ครูบอกเลยค่ะ

น้ำ ณัฏฐา(ลูกศิษย์ที่รักและเคารพครูมากๆๆๆๆที่สุดค่ะ)

หนูอ่านบอร์ดครูส้มทั้งหมดแล้วทำให้รู้เรื่องราวสมัยครูส้มเด็กๆค่ะและทำให้หนูรู้จักครูส้มมากขึ้นเรื่อยค่ะจากที่รู้จากมากพอแล้วยิ่งรู้จักมากกว่าเดิมอีกค่ะและยิ่งรักและเคารพมากๆๆๆๆๆๆกว่าเดิมอีกค่ะ

  •  น้ำ
  • ครูรับรู้แล้ว  ขอให้มีความสุขกับการอ่านนะจ้ะ         

ชีวิตครูส้มโตมากับหนังสือจริงๆเลยค่ะ เหมาะสมแล้วกับการเป็นครูบรรณารักษ์

อิอิไม่เหมือนชีวิตครูกายโลดโผนทะโมนลิงเพราะโตมาในค่ายตชด.ฝันอยากเป็นตำรวจเหมือนพ่อแต่ดันสูงไม่ขึ้น55

สวัสดีค่ะ

*** ได้อ่านเรื่องนี้แล้ว คิดถึงร้านหนังสือตอนที่ดิฉันยังเป็นเด็ก

*** ร้านหนังสือเล็กๆอยู่ข้างโรงเรียนบ้านพราน ที่นั่นเป็นแหล่งเรียนรู้ที่กว้างขวางที่สุดของดิฉันในเวลานั้น

*** ขอบคุณที่นำเสนอเรื่องราวดีๆนี้ค่ะ

สวัสดีค่ะ 'ครูส้ม' แวะมาอ่าน'ร้านขายหนังสือเก่าของพ่อ'เป็นบันทึกที่น่าจดจำมากค่ะ

 

  • สวัสดีจ้ะ  Ico48
  • ก่อนจะจบ ม.3 เคยไปขอหนังสือรับรองเพื่อไปสมัครเรียนพลร่มหญิงป่าหวาย ชอบมาก แต่ชีวิตถูกลิขิตให้มาเป็นครู  เลยมีเหตุให้ไม่ได้ใบรับรองในวันนั้น    

สวัสดีค่ะ คุณครูIco48 กิติยา

  • ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ
  • เมื่อก่อนชอบไปเดินอ่านหนังสือที่สนามหลวงมากค่ะ  ที่นั่นมีร้านขายหนังสือเก่ามากมายให้เราเลือกซื้อได้ทั้งวัน
  • เสียดาย  เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว
  • เดี๋ยวนี้  ว่างเมื่อไรก็ยังชอบไปร้านหนังสือ ไปห้องสมุดเหมือนเดิมค่ะ  
  • ขอบคุณมากค่ะที่แวะมาเยี่ยมเยียน

สวัสดีค่ะ Ico48 ดร.พจนา-แย้มนัยนา

  • อาจารย์ค่ะ  
  • สบายดีนะค่ะ  คิดถึงค่ะ 
  • ที่เขียนบันทึกนี้  เพราะคิดถึงพ่อ  คิดถึงสิ่งดีๆ ในวัยเด็กที่มีโอกาสได้ซึมซับมา  จึงอยากจะบอกเล่าไว้ เผื่อจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่แวะเวียนมาอ่านบ้างนะค่ะ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท