ณ บ้านพักข้าราชการ ขอนแก่น
วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๔
กราบสวัสดีค่ะครู
วันนี้มีเรื่องประหลาด แล้วก็มีความรู้สึกอยากรู้ แต่พยายามระงับความอยากไว้ค่ะครู ตั้งแต่ตื่น อืมเป็นความรู้สึกรับรู้กับตนเองว่าตื่นเพราะมีเสียงของครูดังขึ้นประหนึ่งครูโทรศัพท์เข้ามาสอน ใจความของการพูดคุยประมาณว่า
“ให้ติ๋วตั้งใจละความชั่ว ก็จะเป็นการทำความดีแล้ว ไม่ใช้มุ่งแต่ความดี มันจะไปติดดี จนคิดว่า ฉันนี่แหละเป็นผู้ประเสริฐ ตั้งใจหน่อยซิวะติ๋วอย่าเหลาะแหละ”
คุยอยู่ดี ๆ แว๊บขึ้นมาว่า นอนครูกับครูได้ไง ไม่เป็นการเคารพครูเลย
มิน่าเสียงถึงงัวเงีย มีเสียงตำหนิภายในแทรกขึ้นมา
จึงมีการลุกขึ้นมานั่งพับเพียบ แล้วก็เหมือนคุยต่อ
ฟังคำสอนของครู รู้สึกเหมือนเข้าใจ แล้วน้อมรับพยักหน้าหยึก ๆ ค่ะครู
แล้วก็รู้สึกอีก อ้าว ทำไมหลับตาคุยกับครูหล่ะ จึงค่อย ๆ ลืมตา
อะ นี่อะไร รอบตัวมืดหมด !!
ในมือไม่มีโทรศัพท์!
แล้วเสียงของครูมาจากไหน ?
มองไปโทรศัพท์วางอยู่ห่างเตียงตั่งว่าสามเมตร นั่งพิจารณาว่า
“เอะ รึครูส่งมาจริง ๆ เพราะตอนก่อนนอนคร่ำครวญถึงครู รึว่าจิตหลอกจิต”
แต่คำสอนของครูเหมือนครูมาพูดเองเลยค่ะ เหมือนเมื่อครั้งตอนอยู่เมืองนนท์ครูเข้มงวดกับการฝึกของศิษย์ ตีสามครึ่งครูมักจะโทรมาเช็คว่าตื่นรึยัง แล้วก็สอน จากที่ศิษย์เคยงัวเงียครูก็จะสอนจนจิตตื่น หรือบางทีก่อนรับงัวเงียอยู่แต่พอโทรศัพท์ครูดัง มันตื่นทันที
ความอยากรู้ประดังเข้ามาค่ะครู แต่ก็ลุกขึ้นมาทำกิจวัตรของตนเอง สวดมนต์ภาวนา พอเสร็จโทรศัพท์ดังขึ้นเป็นพ่อ โทรมายืนยันว่า เย็นวันศุกร์ทั้งครอบครัว ลูกเล็กเด็กแดง ไปกันหมด ไปร่วมกันทำวัตรเย็นที่วัดแถว ๆ หนองวัดซอ โดยการนำของหลวงปู่ที่หนองบัวลำภู พอรุ่งเช้าวันเสาร์ก็จะเดินทางไปสักการะสังขารองค์พระหลวงตาแต่เช้าค่ะครู ติ๋วยังไม่ได้บอกครูหลังจากได้รับคำแนะนำจากครูว่า
“ให้ยกพ่อแม่ไว้เหนือหัวนั้น”
ก็ได้โทรไปสอบถามทางบ้านได้ความว่า
“จะไปกราบกับทีมของหลวงปู่ค่ะ”
จึงรู้สึกโล่งด้วยความเมตตาของท่าน ทำให้ติ๋วได้เห็นความเห็นแก่ตัวของตนเองชัดเจน ที่คิดว่าไปคนเดียวสบายดีค่ะ
อาบน้ำไปทำงานเช้านี้ตั้งใจกับตนเองว่า “จะพยายามสำรวม” ตลอดเช้าจึงเป็นการนั่งทำงานบนโต๊ะ เขียนงานอ่านงานไปเรื่อย ๆ ใกล้ ๆเที่ยงพี่อ้อเรียกมาคุยเรื่องงาน ช่วยกันคิดแล้วก็วางแผน พอแจ้งผู้บังคับบัญชาแล้วก็มีการปรับเปลี่ยน และท่านบอกว่าจะไปเอง ยอมรับค่ะครูว่าเห็นต่าง มีความงงบ้าง มีขุ่นมัวบ้างค่ะ ศีลข้อ ๑ ด่างพร้อย ทำไมถึงรู้สึกขุ่นมัว เพราะรู้สึกไม่เห็นด้วย จึงรู้สึกไม่พอใจในความคิดของท่านค่ะครู และก็ไม่อยากไปด้วย แต่ก็อดทน พยายามทำความเข้าใจ แต่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนัก จึงให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ
ตอนเที่ยงแวะไปทานข้าวรวมกับพี่ ๆ ที่จัดเสียงตามสาย มีหลายประเด็นที่หลายคนยังกังขาจากที่ประชุมเมื่อวาน หลายคนพร้อมจะเติมเชื้อ
ได้เรียนรู้ว่า หากเราไม่เป็นหนึ่งที่เติมเชื้อไฟ ไฟก็จะค่อย ๆเบาลง หากมีปัญญามากกว่านั้น เราก็สามารถระงับไฟได้ ทำให้นึกย้อนถึงคำกล่าวของครูที่บอกว่า
“ลองคิดดูว่าถ้าที่ทำงานมีอริยะสักคน ที่ทำงานจะเย็นแค่ไหน”
ความเย็นช่วยได้เช่นนี้ใช่ไหมครู เพียงเราไม่เป็นผู้เติมเชื้อทุกอย่างก็จะค่อย ๆ คลี่คลายไปตามกาล หากมีปัญญามากกว่านั้นความเย็นก็คงแผ่กระจายเป็นวงกว้าง ตอนนี้ติ๋วเองก็ไม่ใช่อริยะ เป็นเพียงแค่นักเดินทางผู้เขลาที่เดินทางแบบตุ๊บปั๊กตุ๊บเป๋ แต่ก็ทำไปแบบคนโง่ ก็พอได้สัมผัสความเย็นได้บ้าง อย่างน้อย ๆ ก็ภายในใจตนเอง
บ่าย ๆ พี่อ้อต้องออกพื้นที่ไปกับผู้บังคับบัญชา จึงนั่งทำงานสบาย ๆที่ห้อง พร้อม ๆ กับวางแผนงาน
เย็น ๆ พี่อ้อและผู้บังคับบัญชากลับมา แล้วก็ดูเหมือนมันซับซ้อนอย่างที่คาดไว้ ตัวชั่วดังขึ้นมาก่อนเลยค่ะครู “ว่าแล้ว” โชคดีที่ไม่ได้เอ่ยออกมา แต่ก็พยายามมองความจริง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเป็นธรรมดาที่เป็นเช่นนี้ใจจึงเบาลงค่ะ ได้เรียนรู้เพิ่มเติมกับตนเองอีกว่า “เรามักจะคาดหวังให้คนอื่นเป็นไปอย่างที่เราคาดหวัง แต่แท้ที่จริงแล้ว เขาก็เป็นของเขาเช่นนั้น” เหมือนเทศน์ของครูบาอาจารย์ที่บอกว่า “เรากำลังพยายามให้เป็ดมันเป็นไก่ และให้ไก่มันเป็นเป็ด แท้ที่จริงแล้ว เป็ดมันก็เป็นเป็ดเช่นที่มันเป็น” เขียนมาถึงตรงนี้นึกย้อนถึงคำพูดที่เคยเอ่ยกับพี่ ๆ ว่า “เรากำลังพยายามทำให้เหรียญบาทมันเป็นเหรียญสิบ ซึ่งครั้งนี้ก็ไม่ต่างกันค่ะครู”
แต่ทุกอย่างแก้ไขได้ นี่คือเสียงบอกของตนเอง “อดทน เรียนรู้ไป”
สภาวะของสมาธิไม่ปรากฏเลยค่ะครู กราบขอขมาครูค่ะ ไม่ก้าวหน้าอีกเช่นเคย
รักและเคารพครูค่ะ.................เจ้าติ๋ว
ขอบคุณที่แวะมาค่ะพี่โอ (^_^)
สดใสเบิกบานกับเช้าวันใหม่นะคะ