445 Soft Power ตกลงว่าอำนาจขาวของไทยคืออะไร


ความเป็นไทย

 

จากบันทึกมหาธรรมยาตรา จนถึงบันทึกเรื่อง Soft Power ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและบันทึกเรื่อง กกต.ไทยกับอินเดีย ทำให้ผมต้องคิดต่อว่า ตกลงแล้ว Soft Power ที่ผมใช้คำว่าอำนาจขาวนี้ (มีนักวิชาการบางท่านใช้คำว่า อำนาจละมุน หรือ พลังอ่อน) สำหรับประเทศไทยคืออะไรกันแน่ คือการส่งออกวัฒนธรรมหรือ คืออาหารไทย ตามที่กระทรวงบางกระทรวงใช้ผ่านโครงการครัวไทยสู่โลกเท่านั้นหรือ......

ก็ต้องมาดูที่ผมเคยบอกในบันทึกแรกเรื่องนี้ว่า (*โดยสรุป)

หมายถึงอำนาจที่ทำให้ประเทศอื่นๆ ปฏิบัติตามความต้องการของเราโดยไม่รู้สึกว่าถูกบังคับ ในทางตรงกันข้ามอาจรู้สึกพอใจ(และนิยม)ด้วยซ้ำไปเพราะได้ผลประโยชน์ร่วมกันในระดับหนึ่ง....

และตัวอย่างจากประเทศพัฒนาแล้วที่ใช้กับประเทศอื่นๆ มานานหลายศตวรรษคือจัดตั้งองค์กรเผยแพร่ภาษาและวัฒนธรรมเพื่อสร้างความนิยมวัฒนธรรมและประเทศของเขาให้เกิดขึ้น ซึ่งเวลาเขาดำเนินการ เขาบุกทุกด้านพร้อมกัน คือสร้างความนิยมทั้งรูป รส กลิ่นและเสียง ล่าสุด เกาหลีกำลังใช้อำนาจนี้อย่างสูงสุด ดังนั้นตัวอย่างที่จะชี้ให้เห็นก็คือบรรดา British Council ของอังกฤษ, Goethe ของเยอรมัน, Alliance Francaise ของฝรั่งเศส ฯลฯ ถือได้ว่าเป็นการใช้ Soft Power ที่มีประสิทธิภาพทั้งนั้น 

ในส่วนของไทย ถามว่า เรามีวัฒนธรรมใดที่คนต่างชาติยอมรับและประทับใจ

ภาษาไทย รอยยิ้ม ประเพณีพุทธศาสนาต่างๆ เครื่องแต่งกาย อาหาร ศิลปะป้องกันตัว ภาพยนตร์ไทย คนไทยและประเทศไทยทั้งประเทศ....ฯลฯ หรือ

เรามีหน่วยงานที่ทำหน้าที่ส่งออกวัฒนธรรมไทยไหม คล้ายกับหน่วยงานต่างประเทศที่กล่าวมาแล้ว หรือว่าเรามีเพียงกระทรวงวัฒนธรรม ที่ดูแลเรื่องนี้สำหรับคนไทยในประเทศเท่านั้น

เรามีศูนย์วัฒนธรรมไทยในต่างประเทศหรือไม่ หรือมีเพียงการส่งอาจารย์ภาษาไทย(ส่งกันเอง)ไปสอนเด็กไทยในต่างประเทศ

หรือเรามีการสร้างภาพยนตร์ไทยเพื่อส่งออกความเป็นไทยไปฉายทั่วโลก นอกเหนือไปจากภาพยนตร์แอ๊คชั่นที่ต้องการสร้างรายได้เท่านั้นหรือไม่

เราได้เคยคิดไหมว่าวัฒนธรรมเป็นอาวุธสำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ...ด้วยและควรเป็นยุทธศาสตร์หนึ่งในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหนึ่งที่มีประสิทธิภาพ....หรือไม่ ดังเช่นที่ผมได้ยกตัวอย่างในเรื่องธรรมยาตราและเรื่องประชาธิปไตยของ กกต.อินเดียที่รู้จักวิธีใช้อย่างแยบยล

ที่สำคัญ ประเทศไทยได้เริ่มดำเนินการส่งออกวัฒนธรรมอย่างเป็นระบบหรือยัง จะใช่การทำโครงการครัวไทยสู่โลกอย่างเดียวหรือไม่

คำถามเหล่านี้ สมควรที่ผู้รับผิดชอบจะได้นำไปคิดพิจารณาให้แตก เพื่อที่ไทยจะสามารถสร้างศักยภาพในการแข่งขันให้เกิดขึ้น ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงจากนานาประเทศในเรื่องอำนาจหรือพลังขาวเหล่านี้

สำหรับผม ถ้าให้คิดและตอบ ณ บัดนี้ อำนาจขาวของเราอยู่ที่พุทธศาสนาเป็นลำดับต้น คือต้องมาจากจิตวิญญานและจิตใจก่อน ทุกวันนี้ ประเทศใดที่มีพุทธศาสนาที่เจริญและเข้มแข็งที่สุดทั้งโครงสร้าง กล่าวคือมีพุทธบริษัท 4 ครบถ้วน สถาบันในประเทศให้การสนับสนุนเต็มที่ทั้งตามกฏหมายและโดยการปฏิบัติ.......สภาพการเมืองการปกครองสอดคล้องในตั้งมั่นของพุทธศาสนา

ที่ปรากฏอยู่จึงคือไทยได้รับเกียรติให้เป็นประเทศศูนย์กลางพุทธศาสนาและจัดวันวิสาขบูชาโลกมาทุกปี รวมทั้งองค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์โลกก็ตั้งอยู่ที่เมืองไทยโดยมีคนไทยเป็นประธานมาโดยตลอด เรามีพระสงฆ์ที่มีความรู้จำนวนมากมายหลายแสนคน มีวัดวาอารามและพุทธโบราณสถานที่เป็นมรดกโลกและอยู่ในข่ายมากมาย

เมื่อมีพุทธศาสนาในจิตใจ ก็จะสามารถส่งออกไปสร้างความนิยมในต่างประเทศไทยและ อย่างอื่นก็จะตามมา เพราะความนิยมสร้างกันที่จิตใจ โดยผ่านรูป รส กลิ่น เสียงและใจหรือประสาททั้ง 5 ดังนั้นความเป็นพุทธแท้ หลักธรรมที่แท้ ความรักสันติ ก็ใช่ ศิลปะไทย ชุดไทย แฟชั่นไทย ไหว้แบบไทย ยิ้มแบบไทย มวยไทย นวดไทยก็ใช่ ละครไทย ภาษาไทย อาหารไทย การทำนาไทย แพทย์แผนไทย...จึงใช่หมด

สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดคืออำนาจขาวของประเทศไทยที่สมควรได้รับการพิจารณาส่งออกอย่างมีระบบโดยมีหน่วยงานที่ชัดเจน เพราะผู้ที่ต้องการในประเทศต่างๆ ทั่วโลกล้วนเป็นประเทศมหาอำนาจทั้งนั้น ไม่ว่าจะอเมริกา ยุโรป จีน อินเดียซึ่งประเทศหลังสุดคือต้นกำเนิดพุทธศาสนาและกำลังต้องการอย่างมาก รวมประชากรที่ต้องการสิ่งนี้คงมีจำนวนนับพันล้านคน

ถ้ามีการกล่าวว่า ความรู้คือเงินตรา Knowledge is currency ผมก็จะบอกว่า Culture is more than currency แต่คืออำนาจ Power ที่มีพลังในโลกปัจจุบันและอนาคต

มีแนวคิดเหมือนกันที่จะตั้งมูลนิธิไทย หรือศูนย์ไทย ในต่างแดน ซึ่งก็คือศูนย์วัฒนธรรมไทยหรือศูนย์สร้างความนิยมไทยนั่นเอง  แต่ก็ยังไม่เกิดซะที สำหรับผมขอเพิ่มวัดไทยในต่างแดนด้วยที่อยู่ในข่ายนี้ด้วย

จึงควรที่จะรีบผลักดันให้เป็นรูปธรรมโดยเร็วและส่งออกอำนาจขาวนี้ เพื่อที่จะรักษาสถานะของประเทศไทยที่ไม่ค่อยจะมั่นคงนักในสายตาของต่างชาติ.........ต้องทำเลยครับและรีบทำในโอกาสแรก

ก็บ่นมาในวันหยุดจากดินแดนพุทธภูมิครับ

เวลาคนอินเดียจะไชโยเขาใช้คำว่า Jai Hind! 

ผมก็อยากจะไชโยแบบนี้เหมือนกัน เลยขอใช้คำว่า Jai Thai! 

หมายเลขบันทึก: 423143เขียนเมื่อ 29 มกราคม 2011 16:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 14:47 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท