อีกเรื่องหนึ่งที่ตั้งใจจะเขียนหลายครั้งให้ผู้ที่ติดตามบล็อคได้อ่าน และหลายท่านได้รอที่จะอ่านเรื่องนี้..ขออภัยด้วยที่ตัดออกไปก่อน เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องของนักบวชมากเกินไป เกรงว่าจะเบื่อและทิ้งบล็อคนี้ไปเสียก่อน..นี่ก็เป็นเรื่องของนักบวชพ่อขาวอีกท่านหนึ่ง ที่เข้ามาปฏิบัติธรรมร่วมกันในโอกาสต่างๆ หลายเรื่องราวที่เกิดขึ้นบนศาลาใหญ่...เรือนยาว ตั้งอยู่ในเขตนักบวชชาย..เป็นศาลาชีวิตก็ว่าได้..
บรรยากาศของสถานธรรมแห่งนี้มีเพียงสองฤดูอย่างที่เคยเล่าให้ฟัง คือ หนาวและฝน ซึ่งมีบรรยากาศมากมายหลายมุมที่นึกถึงแล้วไม่รู้เบื่อมันเป็นสัญญาเก่า (ความจำ) ที่ตราตรึงครั้งหนึ่งในชีวิต ความทรงจำที่ประทับในจิต ทั้งผู้มา และผู้จากไป.. ซึ่งต้องมาอยู่รวมกันบนศาลาใหญ่แห่งนี้ก่อนแยกจากกัน
บรรยากาศในฤดูพรรษา เดือนสิงหาคมปีหนึ่ง อาตมาได้เดินเข้าสู่สถานธรรมแห่งนี้ตามพระคุณเจ้ารูปหนึ่งเข้ามา เพียงแต่ช่วยท่านถือถุงส้มใบใหญ่เดินตามเข้ามาเงียบๆ ไม่ได้คุยอะไรกัน อาตมาช่้วยท่านจากโป๊ะเทียบเรือข้างวัด ซึ่งเีรียกว่า "หน้าวัด" แห่งหนึ่ง..ดูแล้วท่านไม่ใช่พระสัญชาติไทย แต่อาจจะเป็นทางทวีปชมพูมากกว่า จึงไม่ได้ถามอะไรท่าน ครั้นมาถึงจุดหมายท่านก็แยกออกไป.. อาตมาจึงมานั่งในศาลาลอยหลังเล็กๆ แห่งหนึ่งหลังจากเดินเที่ยวชมบริเวณวัดได้เหนื่อยพอแรง..
เมื่อได้สนทนากับพระคุณเจ้าแล้วจึงตัดสินใจบวชพราหมณ์สักระยะหนึ่ง ท่านให้กรอกข้อมูลและเก็บหลักฐานไว้.. และจัดเบิกผ้าขาวสำหรับสวมใส่มาไว้สองสามชุด แล้วให้คนพาเข้ามายังที่พักนักบวชชาย "ศาลาใหญ่"
ศาลาไม้หลังคาทรงสูงใหญ่ ยาวไม่ต่ำว่า 20 เมตร เรือนสูงโปร่ง เปิดข้าง มีเพียงไม้หน้าสามคาดตามยาว จนถึงข้างในสุด ซึ่งมีผู้จัดวางองค์พระพุทธรูปปางต่างๆ หลายรูปแบบได้สวยงาม. ที่นอนของแต่ละคนจะมีเพียงเสื่อผืนเดียว และหมอนรูปสี่เหลี่ยมจัดวางกันเป็นระเบียบ มีกระป๋องพร้อมฝา หรือตะกร้า กล่อง สำหรับใส่เครื่องใช้ของแต่ละคน บางคนก็อยู่มานาน แต่ไม่ได้รอบวชพระ บางคนก็เข้าออกบ่อย บางคนก็หลักลอย พเนจร ไม่มีบ้าน หลายสาเหตุของแต่ละคนที่มาอยู่ร่วมกันที่นี่...
ศานติ คือผู้ที่เข้ามาทักทายและช่วยเหลือเป็นพี่เลี้ยงในการเข้ามาบวชปฏิบัติธรรมของอาตมาครั้งแรกในชีวิต. รูปร่างอันสง่างาม สูงโปร่ง ผิวสองสี นัยน์ตาเศร้า ผมยาวหยักศก ที่รวบไว้ข้างหลัง การเดินทุกย่างก้าวดูเหมือนจะกำหนดและบริกรรมไปด้วย ทำความรู้สึกตลอดเวลา ท่านทำอะไรบ้างหนอ??..
การกิน อยู่ สวดมนตร์ทำวัตร และกิจกรรมแต่ละวัน ศานติจะเป็นผู้แนะนำตลอดเวลา แม้กระทั่งไปช่วยพระถ่ายบาตรเวลาเข้าเมืองตามจุดต่างๆ ในแต่ละวัน การพูดคุยกับโยมผู้หญิง หรือการปฏิสันถารกับนักบวชแม่ออก ซึ่งต้องระมัดระวังที่สุด สร้างความประหลาดใจให้กับอาตมาโดยแท้ ว่าละเอียดและถี่ถ้วนที่สุด...กว่า 8 ปี ที่ศานติได้ปฏิบัติธรรมตามสำนักต่างๆ แต่คุณแม่แท้และคุณแม่บุญธรรมอุปการะ เข้ามาบวชในสถานธรรมแห่งนี้ ไม่ได้ไปที่ไหนเหมือนศานติ
ร่างกายกำยำและความสง่างามของชายหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆ สง่างามและมีสง่าในยามที่ดวงหน้านิ่ง นั่งภาวนาเป็นเวลานานๆ สร้างความอัศจรรย์แก่ผู้ใหม่อย่างเราเป็นแท้.. อนุโมทนาบุญกุศลกับศานติด้วย... ที่ท่านได้ค้นพบความสงบ สว่าง และศานติ จากจิต...
เสียงระฆังรูปทรงระเบิดตัด สนิมจับจนสีน้ำตาลไหม้อมดำห้อยคล้องอยู่ใต้ต้นไทรย้อย ที่ระย้าลงมาเกือบจรดพื้นดิน ซึ่งเป็นสัญญาณบอกว่าอีกไม่ีกี่นาทีจะได้เวลาทำวัตรเช้า...มนตร์ที่ใช้สวดในตอนเช้าเป็นบทแปลที่มีความพร้อมเพรียงและไพเราะ ซึ่งนั่งสวดกันในยามเช้าตอนตีสี่กว่า อาสนะที่จัดวางโดยสามเณรผู้ดูแลสถานที่และผ้าขาวนักบวชที่ช่วยกันจัดเตรียมตั้งแต่เมื่อค่ำวานหลังจากทำวัตรเสร็จดูเป็นแถวมีระเบียบ น่านั่งภาวนายิ่งนัก นักบวชชายจะนั่งหลังจากพระโดยที่ไม่มีอาสนะหรือเบาะรองนั่ง ซึ่งเสียงสวดประสานที่พร้อมเพรียงและไพเราะ มีพลังอำนาจ เสมือนเชิญเทวดามาร่วมกันสวดมนตร์และร่วมอนุโมทนาในสถานที่แห่งนี้
ปลายนิ้วอันเรียวงาม สะอาดและสายตาของศานติ มองที่หนังสือและสวดอย่างเข้มแข้ง มีพลัง และมีสติ จึงไม่ผิดพลาดในอักขระ สร้างสมาธิได้อย่างดียิ่งเทียว.. ไม่นานเท่าไหร่ เสียงผู้นำสวดจะเริ่มกรวดน้ำ...แผ่ส่วนกุศลให้ทุกสิ่งอย่าง แล้วนั่งภาวนาก่อนที่จะลาพระพุทธแล้วออกไปบิณฑบาตรตามสายที่จัดเตรียม..
กิจวัตรเหล่านี้ศานติทำมาตลอดระยะเวลาหลายปี ตั้งแต่วัดยังไม่เริ่มเจริญ ยังเป็นป่าสวนผลไม้เก่า ยังไม่สะดวกเหมือนสังคมโลกภายนอก แต่ก็อยู่อย่างสงบสวนทางกับเรื่องราวแห่งความเป็นจริงของตัวเอง..
ออกพรรษาศานติขอลาศีลกลับบ้านเพื่อไปช่วยที่บ้านทำธุรกิจในย่านการค้าผ้าแพรใจกลางเมืองกรุง.. เมื่อเริ่มสนิทกันมากขึ้นศานติก็จะเล่าประวัติส่วนตัวเล็กน้อยให้ฟัง ซึ่งจับใจความได้ว่า..ศานติ นับถือสองศาสนา คือพุทธและฮินดู ซึ่งที่บ้านนับถือสองศาสนามานานแล้ว เพราะศรัทธาในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่เทพเทวดานั้นเอาไว้สวดอ้อนวอนในการที่จะขอให้ประสบความสำเร็จทางด้านการค้าวานิช..
พ่อบุญธรรมและคุณแม่บุญธรรม ขอมาเลี้ยงเพราะไม่มีลูก ศานติจึงเป็นลูกสองบ้าน ทำงานเก่งไม่ย่อท้อและมีไหวพริบปฏิภาณในการทำธุรกิจ ไม่คดโกงใคร ทำงานรวดเร็วและมีมุมมองทางด้านการค้าที่เฉียบคม..
ธุรกิจเท็กซ์ไทล์ผ่านไปด้วยดี แต่ศานติก็กลับเข้ามาปฏิบัติธรรมทุกวันพระ เห็นกันบ่อย ความตั้งใจที่จะบวชพระพร้อมกันในวันเฉลิมพระชนม์ของพ่ออยู่หัวที่ใกล้เข้ามาอีกเพียงเดือนเศษ กลับถูกปฏิเสธเมื่ออาตมาได้ถาม ไม่มีเหตุผลใด เพราะอาตมาไม่ได้สอบถามต่อ..เกรงจะอึดอัด..
หลังจากที่อาตมาได้บวชพระแล้ว ไม่ได้เห็นศานติอีกเลยนานนับปี จนพรรษาที่หนึ่งของอาตมาผ่านไป เริ่มพรรษาที่สองอาตมาได้ข่าวของศานติซึ่งกลับเข้ามาปฏิบัติธรรมที่วัดแต่ไม่บ่อย.. ร่างกายที่ซูบผอม นัยน์ตาดำคล้ำ ผมหยักศกที่ไม่ได้มัดเก็บเรียบร้อยเหมือนเก่า ชุดขาวที่สวมใส่มอซอ เหมือนกับล่องลอยไม่มีสติ ไม่มีความตั้งใจในการปฏิบัติฯ เวลาเดินสวนกันหรือใกล้กัน ศานติไม่กล้าสบตา มองหน้าได้แต่ค้อมตัวหลีกหนี.. หลา่ยครั้งที่เห็นศานติไอแห้งอย่างทรมาน...
แม่วันคือหญิงชราผู้หนึ่งซึ่งทรงชุดขาว ดูลักษณะเหมือนกับแขกขาว..ที่บวชปฏิบัติธรรมมานาน... เป็นแม่บุญธรรมของศานติ.. ได้เข้ามากราบแล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดของศานติให้อาตมาฟัง...อาการป่วยของศานติไม่สามารถหายได้ เพราะยาในยุคปัจจุบันยังไม่มี หรือยังไม่สามารถที่จะระงับหรือรักษาการป่วยนี้ ศานติเป็นโรคปัจจุบันที่ทุกคนหวาดกลัว โรคเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ที่ไม่เจตนาจะให้เกิดขึ้น..
หลายปีก่อนที่จะมาบวช ศานติดูแลกิจการให้กับทางบ้านเป็นปกติ หลายเรื่องราวที่ต้องรับผิดชอบ จึงทำให้สันติเป็นคนนิ่ง เงียบ ใช้ความคิด.. ซึ่งมักจะแยกตัวอยู่คนเดียวในการทำงานเวลาปิดร้าน วันหนึ่งในเวลาช่วงค่ำศานติต้องเข้าไปเช็คสต็อคผ้าในโกดังแห่งหนึ่งซึ่งตัดอยู่ถนนถัดไปของร้าน ที่ไม่ใช่ชุมชนย่านการค้า.. ในห้องแถวสามคูหาทึบแสง ไม่มีคนอยู่ ระหว่างที่ทำงานดูบัญชีรายชื่อผ้าและจำนวน ศานติถูกคนงานต่างด้าวที่ไม่ใช่ลูกน้องทำร้ายอย่างสะบักสะบอมและถูกข่มขืนรูดทรัพย์จนหมดตัวโดยไม่สามารถต่อสู้ได้ ศานติอับอายและเสียเกียรติเป็นอย่างมาก.. มีเพียงแม่แท้ๆ เท่านั้นที่ศานติเล่าให้ฟัง..
วันคืนล่วงไปจากวันเป็นปี..ศานติทำงานปกติ พยายามลืมเรื่องนี้เสียและที่สำคัญเรื่องสุขภาพกายและใจ และคาวราคีที่ถูกยัดเยียด.. อาการอ่อนเพลียรวมถึงเบื่ออาหาร ไม่ทานอะไร ลางสังหรณ์ใจจึงทำให้ศานติไปตรวจสุขภาพ..ไม่นานจึงได้ทราบว่า..ศานติเมื่อเชื้อ HIV อยู่ในร่างกายมานานพอสมควร..
นี่จึงเป็นเหตุให้ศานติวางแผนปลดตัวเองออกจากงานและสังคม หันเข้าหาธรรมะและปฏิบัติธรรมอย่างเดียวเพื่อแสวงหาโมกขธรรม ความสว่างในจิตและความพ้นทุกข์ในเรื่องราวต่างๆ ของจิตของใจ
การหายไปของศานติและการปรากฎตัวในแต่ละครั้ง สร้างความแปลกใจให้อาตมาเสมอ ด้วยรูปร่างที่เปลี่ยนไป ความสง่างามได้สูญหายไปจากบุคลิกของหนุ่มน้อย..และรวมถึงความมั่นใจในตนเอง น้ำเสียงที่ทุ้มนุ่มชวนฟังกลับกลายเป็นน้ำเสียงที่แหลม เล็ก นัยน์ตาคล้ำ เดินเหมือนคนไม่มีแรง
เทโวโรหณะ คือวันรับบาตรญาติโยมวันแรกหลังจากออกพรรษาเป็นวันสำคัญของทางพุทธศาสนา นั่้นหมายถือพระพุทธเจ้าได้ทรงเสด็จกลับจากการโปรดพระมารดาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์... พระหลายสิบรูปเดินเรียบแถวรอบอุทยานในวัด ตั้งต้นจากลานปฏิบัติธรรม เป็นแนวยาว บรรดาพ่อขาวและคนวัดรวมถึงโยมตามระแวกร่องสวนมาร่วมกันเป็นกรรมการ ถ่ายบาตรพระ เป็นกิจกรรมที่ปฏิบัติมานานตั้งแต่เริ่มก่อตั้งวัด
ท้ายของขบวนพระผู้ภิกขาจาร เดินมาถึงตอนปลายของญาติโยม... ซึ่งจะต้องเดินกลับกุฏิ..มีรถเข็นผู้ป่วยคันหนึ่ง กับแม่วันนั่งอยู่ข้างๆ สันฐานของผู้นั่งอยู่บนรถดูไม่ออกว่าเป็นใคร..ใส่เสื้อแขนยาวขาวดูหลวงโคร่งกับโครงร่างของผู้นั่งบนรถเข็น ปลายมือสังเกตว่าเป็นหนังหุ้มกระดูก เส้นเอ็นปูดโปน.. แขนเรียวลีบ มีแต่หนังหุ้มกระดูก ศีรษะสวมใส่ด้วยหมวกไหมพรมขาวครีม แว่นดำสีน้ำเงินเ้หมือนของเด็กเล่นที่ผู้ป่วยสวมใส่ เพื่อปกปิดอำพรางสายตาหรืออย่างไร? กางเกงสีดำที่มีเข็มขัดผูกจนกิ่ว นั่งนิ่งๆ....
หลวงน้า.. มาแล้วลูก ตั้งใจหน่อย พยายามนะลูก.. เสียงแม่ขาวผู้เป็นแม่พยายามบอกหนุ่มน้อยร่างเล็กบนรถเข็นพยาบาล... มือน้อยๆ ค่อยๆ หยิบบะหมี่สำเร็จรูปจากตะกร้าบรรจงใส่ในบาตรด้วยความพยายามสุดชีวิต มือน้อยๆ ที่ขาวด้วยยา มีแต่กระดูก เล็บสีคล้ำค่อยๆ เคลื่อนกายช้าๆ
โอย... ไม่ไหวแล้วแม่... ไม่ไหวแล้ว...
อาตมาจำได้แล้ว อาตมาจำได้แล้ว..เสียงก้องอยู่ในจิตใจรู้สึกฟูที่ได้ยินเสียงหนุ่มน้อยผู้อนุเคราะห์อาหารครั้งนี้ อารมณ์และความรู้สึกในใจของอาตมานิ่งและเบา...อนิจจา.. สัพเพสัตตา... "อดทนนะศานติ"
รูปร่างและรูปลักษณ์จากวันนั้นจนถึงวันนี้...มันไม่เที่ยง เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป..ศานติ ขอจงสงบ และศานติ ด้วยเถิด..
แม่จันทร์ เจ้าของกุฏิที่อยู่อาศัยในอาวาส ได้เมตตาให้ศานติมาพักรักษาตัวอยู่ในบริเวณกุฏิ ด้วยความสนิทสนมกันของแม่จันทร์ จึงให้ความอนุเคราะห์กันมาตลอด แต่หลายคนก็รังเกียจอาการป่วยของศานติ ที่เป็นโรคร้าย จึงพยายามหาเรื่องขับไล่ โดยการกราบเรียนพระอาจารย์ เจ้าวัดหลายครั้งก็ไม่เป็นผล.. ศานติจึงได้พักอาศัยในส่วนของผู้ปฏิบัติธรรมนักบวชหญิงมาจนสิ้นลม
วันสิ้นลมของศานติ เป็นวันโกน ซึ่งมีการเบิกของใช้จากสงฆ์ ข่าวการตายของหนุ่มหน้ามน พัดกระพือไปทั้งวัดและด้วยความที่ใหม่ต่อการรักษาโรค และการรักษาความสะอาด ระวังในการแพร่กระจายของเชื้อ จึงทำให้มิดชิดและสะอาดที่สุด...
ผู้มีธรรมย่อมสงบ เมื่อมีทุกข์ หรือสุขเสมอ.. ย่อมไม่ยึดติดในทุกสิ่งทุกอย่างเพราะถือว่าเป็นธรรมดาโลก..อนิจจัง ทุกข์ อนัตตา นั้นมีอยู่ในวัฏฏะทุกเวลา..ทุกสถานที่... หลับให้สบาย...ศานติ
ไม่มีความเห็น