ฮีต 12 ครอง 14
1. เดือนเจียง(เดือนอ้าย) บุญเข้ากรรม
บุญเข้ากรรมเป็นกิจกรรมของสงฆ์ เรียกว่า เข้าปริวาสกรรม
โดยให้พระภิกษุสงฆ์ที่ต้องอาบัติ (กระทำผิด) สังฆทิเสส
ได้สารภาพต่อหน้าคณะสงฆ์เพื่อเป็นการฝึกจิตสำนึกถึงความบกพร่องของตน
แล้วปรับตัวประพฤติตนให้ถูกต้องตามพระวินัย
พิธีเข้าปริวาสกรรมกำหนดไว้ 9 ราตรี กำหนดให้พักอยู่ในสถานที่สงบ
ไม่มีคนพลุกพล่าน (อาจเป็นบริเวณวัดก็ได้) โดยมีกุฎิชั่วคราวเป็นหลังๆ
พระภิกษุสงฆ์เข้าปริวาสกรรมคราวหนึ่งๆ จะมีจำนวนเท่าใดก็ตาม
แต่ต้องบอกดพระภิกษุสงฆ์จำนวน 4 รูปไว้ก่อนว่าตนเองจะเข้ากรรม
และเมื่อถึงเวลาออกกรรมจะมีพระสงฆ์ 20 รูป มารับออกกรรม เรียกว่า
สวดอัพภาณ แปลว่า รับกลับเข้าพวก
พิธีทำบุญเข้ากรรมไม่ถือว่าเป็นการล้างบาป
แต่เป็นการวารณาตนว่าจะไม่กระทำผิดอีก
ส่วนกิจของชาวพุทธในบุญเข้ากรรมนี้คือการหาข้าวขงเครื่องอุปโภค
บริโภคถวายพระ เชื่อว่าจะได้บุญมาdกว่าการทำบุญตักบาตรทั่วไป
2. เดือนยี่ บุญคูณลาน การทำบุญคูณลาน
จะทำเมื่อเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว ในพิธีนี้จะมีการทำบุญตักบาตร
เลี้ยงพระประพระพรมน้ำพระพุทธมนต์แก่ชาวบ้านลานข้าว
ที่นาและตอข้าวบริเวรใกล้ลานข้าวถือว่าเป็นศิริมงคล
ทำให้ข้าวในนาอุดมสมบูรณ์ เจ้าของนาจะอยู่เป็นสุข
ฝนตกต้องตามฤดูกาลข้าวกล้าจะงอกงามและได้ผลดีในปีต่อไป
เมื่อเสร็จพิธีทำบุญคูณลานข้าวแล้วชาวบ้านจึงจะขนข้าวใส่ยุ้งและเชิยขวัญข้าวคือแม่โพสพไปยังยุ้งข้าวและทำพิธีสู่ขวัญกับสู่ข้าวเล้า(ยุ้ง)ข้าวเพื่อเป็นสิริมงคลต่อไ
3. เดือนสาม บุญข้าวจี่
เป็นการทำบุญในช่วงเทศกาลวันมาฆบูชา
ชาวบ้านจะมาร่วมกันทำบุญตักบาตรในตอนเช้า
ตอนค่ำจะมีการเวียนเทียนรอบพระอุโบสถ
ชาวบ้านจัดเตรียมข้าวจี่แล้วนำไปถวายพระภิกษุสามเณรที่วัด
เมื่อพระฉันเสร็จแล้วมีการฝังเทศน์ฉลองข้าวจี่และรับพร
มูลเหตุที่มีการทำบุญข้าวจี่ ซึ่งเป็นอาหารที่คนยากจนกินเป็นประจำ
ไปถวายพระพุทธเจ้า พลางคิดว่า
ขนมแป้งข้าวจี่เป็นเพียงขนมของทาสที่ต่ำต้อยพระพุทธองค์คงไม่ฉัน
ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงหยั่งรู้จิตใจของนาง
จึงทรงฉันแป้งข้าวจี่ต่อหน้านาทำให้เกิดความปีติดีใจ
ครั้นตายไปก็จะได้ขึ้นสวรรค์ชาวอีสานจึงได้แบบอย่างในการทำแป้งข้าวจี่
ทำบุญข้าวจี่ ถวายพระมาโดยตลอดจวบจนปัจจุบัน
4. เดือนสี่ บุญพระเวส
(บุญพระเวสสันดรหรือบุญมหาชาติ) คำนี้ออกเสียงว่า ผะเหวด
เป็นสำเนียงของชาวอีสานที่มาจากคำว่า พระเวส ซึ่งหมายถึงพระเวสสันดร
การทำบุญผะเหวด เป็นการทำบุญและฟังเทศน์เรื่องพระเวสสันดรชาดก
หรือเทศน์มหาชาติ ซึ่งมีจำนวน 13 กัณฑ์
ทั้งนี้เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระเวสสันดร
ผู้ซึ่งบำเพ็ญบารมีอันยิ่งใหญ่ด้วยการให้ทานหรือทานบารมีในชาติสุดท้ายก่อนที่จะมาเสวยชาติและตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
บุญพระเวสเป็นงานบุญที่ยิ่งใหญ่ของชาวอีสาน นิยมทำกันทุกหมู่บ้าน
ด้วยความเชื่อว่าหากได้ฝังเทศน์มหาชาติทั้ง 13 กัณฑ์จบภายในวันเดียว
อานิสสงส์จะดลบันดาลให้ไปเกิดในศาสนาของพระศรีอาริยเมตไตรย
ซึ่งเป็นยุคแห่งความสุข
ความสมบูรณ์ตามพุทธคติที่มีมาแต่ครั้งพุทธกาล
5. เดือนห้า บุญสงกรานต์ (บุญสรงน้ำ)
เป็นการทำบุญวันขึ้นปีใหม่ของไทยแต่โบราณ
นิยมทำในเดือนห้าเริ่มตั้งแต่วันที่ 13 เมษายนถึงวันที่ 15 เมษายน
คำว่า สงกรานต์ เป็นคำสันสกฤต แปลว่า
ผ่านหรือเคลื่อนย้ายเข้าไปในที่นี้หมายถึง
พระอาทิตย์ผ่านหรือเคลื่อนย้ายเข้าไปในจักรราศรีหนึ่งเป็นเดือนที่เริ่มต้นปีใหม่
การทำบุญสงกรานต์จะมีพิธีสรงน้ำพระพุทธรูป พระสงฆ์ ผู้ใหญ่
ผู้เฒ่าผู้แก่
นอกจากนี้ชาวบ้านจะทำบุญตักบาตรก่อพระเจดีย์ทรายและมีการละเล่นสาดน้ำกันอย่างสนุกสนานนานตลอดทั้ง
3 วัน
6. เดือนหก บุญบั้งไฟ
บุญบั้งไฟเป็นงานสำคัญของชาวอีสานก่อนลงมือทำนา
ด้วยความเชื่อว่าเป็นการขอฝนเพื่อให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล
ข้าวกล้าในนาอุดมสมบูรณ์ ประชาชนอยู่อย่างมีความสุข
ในงานจะมีการแห่บั้งไฟ
และจุดบั้งไฟเพราะเชื่อว่าเป็นการส่งสัญญาณขึ้นไปบอกพญาแถน
ให้ส่งน้ำฝนลงมา
ระหว่างที่มีการจุดบั้งไฟชาวบ้านจะมีการเซิ้งอย่างสนุกสนาน
การทำบุญบั้งไฟนับเป็นการชุมนุมที่สำคัญของคนในท้องถิ่นที่มาร่วมงานบุญกันอย่างสนุกสนานเต็มที่
มีการนำสัญลักษณ์ทางเพศมาล้อเลียนในขบวนแห่บั้งไฟ
โดยไม่ถือว่าเป็นเรื่องหยาบคาย
การทำบุญบั้งไฟนี้บางทีจะตรงกับประเพณีบุญวันวิสาขบูชาด้วย
7. เดือนเจ็ด บุญซำฮะ (บุญชำระ)
เป็นการทำบุญเพื่อชำระล้างสิ่งที่ไม่ดีเป็นเสนียดจัญไรอันจะทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่บ้านเมือง
เป็นการปัดเป่าความชั่วร้ายให้ออกจากหมู่บ้าน
ชาวบ้านจะพากันเก็บกวาดบ้านเรือนให้เรียบร้อยเป็นการทำความสะอาดครั้งใหญ่ในรอบปี
สิ่งที่ไม่ ดีทั้งหลายให้ขจัดออกไป
เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคนในหมู่บ้าน มูลเหตุที่มีการทำบุญซำฮะ
เนื่องมาจากสมัยพุทธกาลมีโรคห่า (อหิวาตกโรค)
ระบาดมีผู้คนล้มตายกันเป็นจำนวนมากที่เมืองไพศาลี
พระพุทธเจ้าจึงได้เสด็จมาโปรดทำให้เกิดฝนห่าใหญ่มาชำระบ้านเมือง
มีการสวดปัดรังควานและประพรมน้ำมนต์ตามหมู่บ้าน
และแก่ชาวบ้านเพื่อเป็นสิริมงคลนอกจากทำบุญซำฮะแล้วยังมีการทำพิธีบูชาผีบรรพบุรุษ
ผีบ้าน ผีเมือง ผีปู่ตา ผีตาแฮก (ผีประจำไร่นา)
และเซ่นสรวงหลักเมืองเพื่อเป็นการระลึกถึงผู้มีพระคุณเพื่อให้บ้านเมืองสงบสุข
8. เดือนแปด บุญเข้าพรรษา
การเข้าพรรษเป็นกิจของภิกษุสามเณรที่จะต้องอยู่เป็นประจำในวัดใดวัดหนึ่งตลอด
3 เดือน กำหนดเอาตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน
11 ห้ามมิให้พระภิกษุสามเณรไปพักแรมคืนที่อื่น
การทำบุญเข้าพรรษาเป็นประเพณีทางศาสนาโดยตรง จึงคล้ายกับภาคอื่นๆ
ในประเทศไทย ในพิธีจะมีการทำบุญตักบาตร ถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุ
สามเณร มีการฟังธรรมเทศนา
ชาวบ้านจะหล่อเทียนขนาดใหญ่ถวายวัดเป็นพุทธบูชาและเก็บไว้ตลอดพรรษา
การทำเทียนถวายวัดในช่วงเทศกาลเข้าพรรา มีความเชื่อแต่โบราณว่า
หากใครทำเทียนไปถวายวัด เมื่อเกิดชาติใหม่ ผู้นั้นจะได้เสวยสุข
หากมิได้ขึ้นสวรรค์แต่เกิดบนโลกมนุษย์ผู้นั้นจะมีความเฉลียวฉลาด
มีสติปัญญาไหวพริบเป็นเลิศ ประดุจแสงเทียนอันสว่างไสว
9. เดือนเก้า บุญข้าวประดับดิน
เป็นการทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติมิตรที่ล่วงลับไปแล้ว
เมื่อถึงวันแรม 14 ค่ำ เดือน 9
ชาวบ้านจากันทำข้าวปลาอาหารคาวหวานพร้อมหมากพลูตั้งแต่เช้ามืดห่อใส่ใบตอง
เรียกว่า ข้าวประดับดิน นำไปวางไว้ตามโคนต้นไม้ในบริเวณวัด
เพื่อให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วนั้นมากิน
เพราะเชื่อว่าในช่วงเดือนเก้าผู้ที่ล่วงลับแล้วจะได้รับการปลดปล่อยให้ออกมาท่องเที่ยวได้
ในพิธีบุญข้าวประดับดิน
ชาวบ้านจะวางข้าวประดับดินไว้พร้อมจุดเทียนบอกกล่าวให้มารับเอาอาหารและส่วนบุญนี้
จากนั้นชาวบ้านจะเอาอาหารไปทำบุญตักบาตรถวายทานแด่พระภิกษุสามเณร
สมาทานศีล ฟังเทศน์และกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว
10. เดือนสิบ บุญข้าวสาก
เป็นการทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตาย โดยมีการทำสลากให้พระจับ
เพื่อที่จะได้ถวายของตามสลากนั้น
เป็นการทำบุญที่ต่อเนื่องจากพิธีในเดือนเก้าเพราะถือว่าเป็นการทำบุญส่งล่วงลับไปแล้วที่ได้ออกมาท่องเที่ยว
ให้กลับสู่แดนของตน
ในเดือนสิบนี้ชาวบ้านจะนำห่อข้าวสากไปวางไว้บริเวณวัดพร้อมจุดเทียนและบอกให้ญาติมิตรที่ล่วงลับไปแล้วมารับอาหารและผลบุญที่อุทิศให้
11. เดือนสิบเอ็ด บุญออกพรรษา จัดทำในวันขึ้น 15 ค่ำ
เดือน 11 เป็นการทำบุญที่สืบเนื่องมาจากบุญเข้าพรรษาในเดือนแปด
ที่พระภิกษุสามเณรได้เข้าพรรษาเป็นเวลานานถึง 3 เดือน ดังนั้น
ในวันที่ครบกำหนดพระภิกษุสามเณรเหล่านั้นจะมารวมกันทำพิธีออกวัสสาปวารณา
วันนี้เป็นวันที่ภิกษุสามเณรมีโอกาสมาชุมนุมกันอย่างพร้อมเพรียงกันที่วัด
ชาวบ้านถือว่าเป็นวันสำคัญและเป็นระยะที่ชาวบ้านหมดภาระในการทำนาไร่อากาศในช่วงนี้จะเย็นสบายจึงถือโอกาสมาร่วมกันทำบุญ
มีการตักบาตรถวายภัตตาคารแด่พระภิกษุ สามเณร มีการกวนข้าวทิพย์ถวาย
รับศีลสวดมนต์ฟังเทศน์และถวายผ้าจำนำพรรษา
ตอนค่ำจะมีการจุดประทีปโคมไฟในบริเวณวัดและหน้าบ้าน
บางท้องถิ่นอยู่ใกล้บริเวณแม่น้ำจะมีการไหลเรือไฟ (ล่องเฮือไฟ)
เพื่อเป็นการบูชาคารวะแม่คงคา
บางแห่งมีการแข่งเรือยาวเพื่อความสนุกสนานและสามัคคีร่วมกันในงานอีกด้วย
12. เดือนสิบสอง บุญกฐิน
เป็นการถวายผ้าจีวรแด่พระสงฆ์ที่จำพรรษาครบ 3 เดือน
งานบุญนี้มีระยะเวลาทำตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 จนถึงวันขึ้น 15
ค่ำ เดือน 12 มูลเหตุที่มีการทำบุญกฐินนั้น มีเรื่องเล่าว่า
มีพระภิกษุจำนวนหนึ่งได้เดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
ระหว่างการเดินทางนั้นยังเป็นช่วงหน้าฝนและระยะทางไกลจึงนำให้ผ้าจีวรของพระภิกษุเหล่านั้นเปียกน้ำเปรอะเปื้อนโคลนไม่สามารถหาผ้าผลัดเปลี่ยนได้
พระพุทธเจ้าได้เห็นถึงความยากลำบากนั้น
จึงมีพุทธบัญญัติให้ภิกษุแสวงหาผ้าและรับผ้ากฐินได้เป็นเวลาหนึ่งเดือนหลังออกพรรษาชาวบ้านจึงได้จัดผ้าจีวรนำมาถวายพระภิกษุในช่วงเวลาดังกล่าว
จนกลายเป็นประเพณีทำบุญกฐินมาจวบจนปัจจุบัน
ก่อนการทำกฐินเจ้าภาพจะต้องจองวัดและกำหนดวันทอดกฐินล่วงหน้า
เตรียมผ้าไตรจีวรพร้อมอัฐบริขารและเครื่องไทยทาน
มีการบอกบุญแก่ญาติมิตร
ตอนเช้าในพิธีจะแห่ขบวนกฐินเพื่อนำไปทอดที่วัดและแห่กฐินเวียนประทักษิณรอบอุโบสถ
3 รอบ จึงทำพิธีถวายผ้ากฐินจากปุยฝ้ายจนสามารถนำไปทอดให้เสร็จภายใน 24
ชั่วโมง นับแต่เวลาเริ่มทำเชื่อว่าจะได้บุญมากกว่าอย่างอื่น
หาภาพประกอบเรื่องของ ฮีต สิบสอง มาเสริมข้อมูลครับ ... แวะเข้าไปที่ http://www.khonkaenview.com/H12/h12.html
ภาพครบเลยทั้ง 12 ฮีต สิบสองเดือน
น่าสนใจดีครับ
แวะมาทักทายครับ ได้สาระและความรู้ดีมากเลยครับ
สวัสดีครับ ฮีต 12 เป็นประเพณีอีสาน ที่ดีงามควรค่าแก่การอนุรักษ์ ผมคิดว่าเด็กปัจจุบันไม่รู้เรื่องประเพณีดีนะครับ ถ้าว่าก็มาดูบร็อกผมนะครับ
เนื้อหาดีมาก
ขอบคุณครับ
เนื้อหาดีมากครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณมากๆเลยคะเนื้อหาแน่นมากเพราะน้องกำลังทำงานเรื่องนี้พอดี
สัสหํา
เราควรศึกษาเรื่องนี้ให้มาก เพื่อมิให้ผิดจากทำนองคลองธรรม