ตอน ชีวิตในวัยมัธยม


ตอน ชีวิตในวัยมัธยม

 

 

 

ตอน ชีวิตในวัยมัธยม

 

           ผู้เขียนได้เรียนโรงเรียนประถมที่โรงเรียนพิราอุทิศ จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 7  และได้มาเรียนต่อที่โรงเรียนพรหมพิรามวิทยา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 - 3 ซึ่งเป็นรุ่นที่ 1 โดยโรงเรียนในสมัยนั้น ทางผู้เขียนและเพื่อน ๆ จะเรียกกันว่า โรงเรียนเล้าไก่ เพราะเป็นแบบโล่ง ๆ  เวลาฝนตก ละอองฝนจะสาดเข้ามานักเรียนต้องรวมตัวกันเข้ากระจุกรวมกันเพราะฝนสาด...พื้นก็เป็นดินไม่มีพื้นปูน...ห้องน้ำ - ห้องส้วมก็เป็นแบบอนาถามีฝาเป็นไม้ไผ่ปิดกั้นไว้...ผู้เขียนจำได้ว่า ทางคณะกรรมการก็ได้เกณฑ์ชาวบ้าน รวมทั้งพ่อของผู้เขียนด้วยมาช่วยกันสร้างเพื่อให้เป็นโรงเรียนได้เรียน เรียกว่า "เป็นโรงเรียนมัธยมประจำอำเภอพรหมพิราม" ก็ว่าได้

          ผู้ปกครองส่วนใหญ่จะให้ลูก - หลานได้มาเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้เพราะไม่เช่นนั้นก็มีอีกทาง คือ ให้เรียนที่โรงเรียนราษฎร์ คือ โรงเรียนอินทุภูติพิทยา...ในช่วงนั้นมีครูมาสอนครั้งแรกเพียง 3 คน คือ อ.มานะ ชิตาพรพรรณ  อ.นิภา  อ.เสาวนีย์  ช่ำชองกิจ...ผู้เขียนจำได้และยังระลึกถึงพระคุณของอาจารย์ทั้ง 3 ท่านมากที่ได้ให้ความรู้ต่อผู้เขียนที่ทำให้เป็นผู้เขียนได้ในวันนี้...อาจารย์ทั้ง 3 ท่าน มีความรู้เหมาะสมที่จะเป็น "ครู" ในดวงใจของลูกศิษย์จริง ๆ...อาจเรียกได้ว่า  "ทั้ง 3 ท่าน เป็นครูผู้สร้างหรือผู้ให้กำเนิดโรงเรียนแห่งนี้อย่างแท้จริง"...ผู้เขียนได้เรียนรู้ "วิชาภาษาไทย" เช่น  เรื่องการเรียงความ  ย่อความ  การเขียนบทกลอน  การแต่งประโยค  จาก อ.นิภา เรียกได้ว่าเป็นการเริ่มต้นชีวิตของผู้เขียนที่ดีที่ได้รับความรู้ และเกิดความเข้าใจในการใช้ภาษาไทยยิ่งขึ้น...

            สำหรับ อ.เสาวนีย์ จะสอนวิชาภาษาอังกฤษ อ.จะเก่งภาษาอังกฤษมาก เวลาสอน อ.มีเทคนิคของอาจารย์เพื่อให้เด็กนักเรียนจำคำศัพท์ให้ได้มาก อ.จะให้นักเรียนท่องคำศัพท์วันละ 100 คำ ทุกวัน และทุกคนต้องมาท่องต่อหน้าอาจารย์ทั้ง 100 คำ มีทั้งคำศัพท์ - คำแปล หรือถ้าไม่ท่องต่อหน้า อาจารย์จะบอกคำศัพท์ แล้วให้นักเรียนเขียนลงในสมุด แล้วส่งในอาจารย์ตรวจ...การกระทำโดยวิธีนี้ ผู้เขียนก็ยังคิดว่ามีผลดีต่อนักเรียนทำให้ได้คำศัพท์และรู้ความหมายของคำศัพท์เพิ่มขึ้น...แต่ในปัจจุบันผู้เขียนก็ยังไม่ทราบว่าตามโรงเรียนจะมีการสอนแบบวิธีนี้กันอยู่อีกหรือเปล่า...ถ้าท่องผิด โดนแปรงลบกระดานเคาะมือ โดยให้นักเรียนกำมือแล้วนำแปรงมาเคราะตรงกระดูกด้านหลังมือ...ความที่ผู้เขียนขยันท่อง ก็ท่องได้ไม่เคยผิด...เลยไม่โดนแปรงเคาะ...แต่เพื่อนสิ...555555...พวกที่ขี้เกียจท่อง ไม่สนใจ ส่วนมากจะเป็นผู้ชายมากกว่า ก็โดนเคาะมือตามธรรมเนียม...

             ต่อมาก็มีอาจารย์สมบัติ  กิ่งศักดิ์ ที่ผู้เขียนยังจำได้ว่าท่านเก่งวิชาวิทยาศาสตร์ ท่านสอนฟิสิกส์  สอนให้ผู้เขียนได้รู้จักการคำนวณ ใช้สูตรทางด้านเคมี ฯลฯ  และก็มีอาจารย์ภมร  รักย่อง  ที่ผู้เขียนจำได้ว่าท่านสอนคณิตศาสตร์  พีชคณิต  เรขาคณิต สำหรับอาจารย์จักรพงษ์  ปันโงน  ได้สอนวิชาภูมิศาสตร์ สังคม ความรู้ที่อาจารย์ทั้งหมดสอนมานี้...ไปแสดงผลตอนผู้เขียนได้สอบเข้าเรียนต่อ ม.ศ.4 - 5 ที่โรงเรียนตากพิทยาคม โดยมีเด็กสอบติด 120 คน ผู้เขียนติดอันดับที่ 21 เพราะข้อสอบที่ออกเข้าทางของผู้เขียนทำได้ เป็นเรื่องพีชคณิต ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ  ภูมิศาสตร์...ทำให้ผู้เขียนได้ทราบว่าที่สอบได้เป็นเพราะความรู้ของอาจารย์ที่กล่าวมาได้สั่งสอนผู้เขียนนั่นเอง...

              เมื่อสมัยเรียน ม.ต้น (ประมาณ 35 ปีที่แล้ว)...ในสมัยนั้นแถวบ้านของผู้เขียนไฟฟ้ายังไม่เข้ามาเลย...ขนาดอยู่ใกล้อำเภอไม่ถึง 3 กิโลเมตร...ทางบ้านต้องจุดตะเกียงใช้น้ำมันก๊าด...ในเวลากลางคืน...ยามจะอ่านหนังสือ ผู้เขียนต้องเข้าไปอ่านในมุ้งเพราะสมัยก่อนถ้าใครนอนนอกมุ้งมีหวังโดนยุงหามไปแน่ ๆ...แต่เมื่อเข้ามุ้งอ่านหนังสือ ต้องใช้เทียนไขประมาณ 2 แท่ง...เพราะจะได้มีแสงสว่างให้เห็นตัวหนังสือได้...ผู้เขียนใช้หมอนวางลองหน้าอกแล้วนอนคว่ำเพื่ออ่านหนังสือ...เมื่ออ่านไปอ่านมา ลืมระวังตัว!...ผมก็โดนไฟไหม้เกิดกลิ่นเหม็น จนแม่ซึ่งนอนอยู่มุ้งข้าง ๆ ได้กลิ่น...ร้องถามว่า...ผมโดนไฟไหม้รึ?...ผู้เขียนก็หัวเราะ ตอบว่า "จ้า"...พอมาสำรวจดูในกระจกตอนเช้า...อื้อฮือ!...งอหงิก แถมสั้นเต๋อเลย...อิอิอิ...

             สมัยก่อนเมื่อไม่มีไฟฟ้า  ทางบ้านก็จะใช้เตารีดโดยใช้ถ่านที่หุงข้าวเมื่อก่อจนร้อนจัดก็ใช้คีมคีบถ่านมาวางในเตาแล้วนำมารีดเสื้อ - กระโปรงเพื่อให้เรียบ บางครั้ง ถ่านแตก กระเด็นมาโดนเสื้อ - ผ้า ไหม้เป็นรู...แต่เราก็อยู่มาได้จนปัจจุบันที่มีไฟฟ้าใช้...ยามที่ผู้เขียนเหงา ในสมัยก่อนไฟฟ้าไม่มี โทรทัศน์จึงไม่มีให้ดู รู้สึกว่าถ้ามีก็จะเป็นโทรทัศน์ ขาว - ดำ ไม่มีโทรทัศน์สี...ผู้เขียนจะมีวิทยุคู่ใจเพื่อเปิดฟังรายการเพลง รายการนิยาย ซึ่งนิยายจะมีทุกวันอาทิตย์ ๆ ละ 4 - 5 ชั่วโมง จะเริ่มเล่นประมาณ ช่วงเย็น ๆ โดยเลิกประมาณ 3 - 4 ทุ่ม  บางครั้งผู้เขียนจะโดนพ่อดุ เพราะว่านอนดึก...การนอนดึกจะทำให้ผู้เขียนขี้เกียจแล้วนอนตื่นสาย...อีกอย่างพ่อจะดุเวลาพ่อ - แม่ สั่งให้ช่วยงานบ้านแล้ว...ผู้เขียนก็จะถือวิทยุร่อนไปตามที่ท่านสั่งให้ทำ...ท่านคงเกิดหมั่นไส้ จึงต้องดุ...เนื่องจากใจจะไปจดจ่ออยู่กับวิทยุ...นั่นเอง...ในสมัยนั้น  สื่อที่ดีที่สุดของผู้เขียนก็คือ...วิทยุ...

              สมัยตอนเป็นเด็ก ๆ ก็เป็นชีวิตที่เรียบง่าย...ครอบครัวเราอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข อบอุ่นตามประสา พ่อ - แม่ - ลูก...ตอนเรียนมัธยมตอนต้นนี้ ผู้เขียนเริ่มเรียนดีขึ้นตามลำดับ...จากที่สอบได้เลขคู่ กับเลื่อนมาเป็นเลขคี่...จนมาครองอยู่ถึงอันดับที่ 3...ของทุกเทอม...เนื่องจากเอาเลขที่ 1 หรือ 2 ไม่ได้หรอก เพราะเพื่อนอีก 2 คน เก่งมากเกินไป...ผู้เขียนก็เลยยึดหัวหาดเลขที่ 3 ไปจนจบ ม.ศ.3...เป็นที่พอใจของพ่อมากที่เห็นว่าผู้เขียนเป็นคนเรียนดี...พ่อเคยแกล้งถามผู้เขียนว่า จะเรียนต่อหรือไม่เรียนต่อ (เพราะสมัยนั้น ลูกผู้หญิงส่วนมากเขาจะไม่ค่อยเรียนต่อ เนื่องจากเรียนไปเดี๋ยวก็แต่งงาน...)  พ่อถามว่าถ้าไม่เรียนพ่อจะซื้อเข็มขัดทองให้ 1 เส้น...ผู้เขียนเคยเห็นลุงและน้ารับราชการและท่านก็หวังที่จะให้หลานได้เรียนสูง ๆ...ผู้เขียนจึงตอบพ่อว่า "ไม่"...หนูจะเรียนต่อ...ทั้ง ๆ ที่ก็ไม่รู้ว่า เมื่อเรียนจบแล้วจะได้ทำงานอะไร?...ในที่สุด ผู้เขียนก็ตัดสินใจเรียนต่อ ม.ศ.4 - 5

 

 

 

เป็นภาพที่ถ่ายร่วมกับอาจารย์ทั้ง 3 ท่าน...

(ดูโรงเรียนสิค่ะ ยากจนมากเลยค่ะ...แต่ในภาพนี้มีเด็ก ๆ ที่เป็น

ข้าราชการหลายคนค่ะ แต่ละคนมียศ มีตำแหน่งที่สูง ๆ กัน

เกือบทั้งนั้น...ไม่น่าเชื่อว่า...โรงเรียนที่ยากจนจะสามารถ

พัฒนาให้เด็กเติบโตไปเป็นกำลังในการพัฒนาประเทศชาติได้

นะค่ะ...ขอขอบคุณอาจารย์ทุกท่านที่ได้สั่งสอนศิษย์มาให้ได้ดี

ในวันนี้ค่ะ...และขอรับปากว่า..."จะใช้ความรู้และประสบการณ์

ในการทำงานของตนเองเพื่อพัฒนาประเทศชาติให้เจริญ

ยิ่งขึ้นค่ะ"...

 


อ่านประสบการณ์ชีิวิตของการทำงาน "รับราชการ"

ทุกฉบับ ได้จากที่นี่...

ประสบการณ์ชีวิตของการทำงาน "รับราชการ"


 

 

หมายเลขบันทึก: 419695เขียนเมื่อ 11 มกราคม 2011 21:07 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 23:39 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)

สวัสดีค่ะ...คุณยาย...Ico48...

  • ขอบคุณที่มาเยี่ยมค่ะ...ดูแลสุขภาพด้วยนะค่ะ...

ชีวิตช่วงวัยนี้มีลักษณะคล้ายๆกันเลยค่ะ

เพียงแต่ว่าพี่เล่นกีฬาและเป็นนักกีฬาของโรงเรียน  รวมทั้งทำกิจกรรมทุกอย่างให้กับโรงเรียน  คิดถึงทีไรมีความสุขตามประสาสมัยนั้นนะคะ

สุขสันต์วันพุธค่ะ

สวัสดีค่ะ

แวะมาทักทาย

ชีวิตค่อนข้างคล้ายๆกันค่ะ

แต่ที่บ้านเป็นตะเกียงน้ำมันก๊าดค่ะ

ตื่นมานี่รูจมูกดำเลยค่ะ

ก็เหมือนพี่ข้างบนค่ะ

เป็นนักกีฬาของโรงเรียนต้องนอนค่ายเป็นประจำค่ะ

สวัสดีค่ะ...พี่ krugui...

  • ชีวิตของน้องส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับทางด้านวิชาการมากกว่าค่ะ...
  • เรียนมากกว่าทำกิจกรรมให้โรงเรียนเพราะว่าดูแววแล้วไปทางกีฬาไม่ได้เลยค่ะ...
  • อาจเป็นเพราะแข่งขันทีไรแพ้ทุกทีกระมังค่ะ...เรียกว่า "แพ้ตั้งแต่รอบแรกค่ะ"...ครูเลยไม่สนับสนุน...อิอิอิ...
  • และนิสัยส่วนตัวชอบอ่านหนังสือมากกว่า เป็นคนเจ้าความคิดตั้งแต่เด็ก ๆ ค่ะ...
  • เรียกว่า ในด้านวิชาการ เราเป็นต่อค่ะ...
  • ขอบคุณพี่ krugui ที่แวะมาเยี่ยมค่ะ...

สวัสดีครับอาจารย์ ติดตามอ่านบันทึกมาตลอด

แวะมาบอกอาจารย์ ว่า สมาคมลูกจ้างกระทรวงสาธารณสุข จะลงไปประชุมพื้นที่ภาคใต้ ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ โดยอาจารย์ พรพรรณ สุณาพันธ์ จะคุยกันในประเด็นลูกจ้างกระทรวงสาธารณสุขเป็นหลัก ได้ข้อใหม่มาอย่างไร จะได้เรียนปรึกแลกเปลี่ยนกับอาจารย์ บุษยามาศต่อไปครับ

สวัสดีค่ะ...ครูอัญชลี...Ico48...

  • ค่ะ...เป็นเพราะประเทศไทยเพิ่งจะเจริญและได้รับการพัฒนาเวลาไล่เรี่ยกันนะค่ะ...
  • ต้องให้เด็กสมัยปัจจุบัน ลองไปเป็นรุ่นพวกเราในสมัยก่อนดูนะค่ะ ว่าจะสนุกเหมือนกับพวกรุ่นเรากันหรือไม่?...ทีวีไม่มีให้ดู ไฟฟ้าก็ไม่มี โทรศัพท์ก็ไม่มี รถยนต์ก็ไม่มี ใช้เดินเท้าเปล่า อย่างดีก็แค่รถจักรยาน...55555555...แล้วหนู ๆ รุ่นใหม่ ๆ จะอยู่กันได้อย่างรุ่นป้า รุ่นน้าไหมจ๊ะ?...
  • สมัยนี้ อะไรก็สบายไปหมด ดูเหมือนจะไม่ค่อยอดทนกันสักเท่าไหร่นะจ๊ะ?...
  • ขอบคุณครูอัญชลี...Ico48...ที่แวะมาทักทายค่ะ...

สวัสดีค่ะ...คุณวอญ่า...Ico48...

  • ขอบคุณค่ะ...
  • ยินดีด้วยนะค่ะ...มีเรื่องใหม่ ๆ ก็สื่อสารมาได้ค่ะ...
  • ขอบคุณอีกครั้งค่ะ...

สวัสดีค่ะอาจารย์

    เป็นบันทึกที่อ่านแล้วมีความสุข ชีวิตในวัยเด็กในวัยเรียนให้อะไรดีๆแก่เรามากมาย

    ในวัยเรียนมีบางอย่างที่คล้ายๆกันกับอาจารย์ค่ะ ยังจำได้ครูภาษาอังกฤษให้ท่องศัพท์วันละ100คำ ตอนนั้นว่าหนักมาตอนนี้ทราบถึงประโยชน์แล้วค่ะ เป็นสิ่งดีที่ได้ฝึกฝน     ขอบคุณที่แบ่งปันค่ะ

              

สวัสดีค่ะ...คุณถาวร...Ico48...

  • ใช่เลยค่ะ...ตอนนั้น เมื่อยังเด็ก พอครูให้ท่อง รู้สึก น่าเบื่อหน่าย ทำไมต้องให้เราท่อง ท่องอยู่ได้...แต่พอมาตอนโตขึ้น ทราบถึงประโยชน์ที่เราได้รับ ว่ามีประโยชน์อย่างมหันตร์...ถ้ากลับเวลาได้ก็จะย้อนกลับไป จะตักตวงความรู้ให้ได้เยอะ ๆ เลยค่ะ...แต่ก็กลับไม่ได้แล้วค่ะ...เอาไว้เป็นบทเรียนไว้สอนเด็ก ๆ สมัยนี้ก็แล้วกันนะค่ะ...
  • ขอบคุณค่ะ...
อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท