พระพุทธศาสนากับหลักการครองเรือน
พระพุทธศาสนานั้นไม่ได้หมายความว่าต้องให้ทุกคนเข้ามาบวชแล้วปฏิบัติเพื่อแสวงหาความหลุดพ้นเพียงอย่างเดียว แต่ว่าผู้ใดยังไม่มีความพร้อมในการเข้ามาบวชปฏิบัติได้ คือปรารถนาจะอยู่การครองเรือนสมัครใช้ชีวิตแบบฆราวาสวิสัยก็มีธรรมะเครื่องปฏิบัติ พอเหมาะสมแก่ความเป็นอยู่ของผู้นั้นได้ เช่น หลักธรรมในฆราวาสธรรม เป็นธรรมที่สำคัญมากสำหรับผู้ครองเรือน ขาดข้อใด ข้อหนึ่งก็ไม่ได้ เพราะถ้าขาดแล้วก็จะทำให้ชีวิตการครองเรือนล้มสลายไปในทันที พระพุทธเจ้าตรัสไว้มี ๔ ข้อ คือ
๑. สัจจะ คือความจริงใจ ผู้ครองเรือนต้องมีความจริงใจต่อกัน มีความซื่อสัตย์ต่อกัน ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
๒. ทมะ คือความข่มใจ คือรู้จักห้ามใจตนเอง
๓. ขันติ คือความอดทนทั้งทางกาย และทางใจ
๔. จาคะ คือความเสียสละ เผื่อแผ่ ไม่ใจแคบ รวมไปถึงการสละอารมณ์ที่ไม่ดีไม่งามออกไปด้วย
พระพุทธเจ้ายังตรัสเพิ่มเติมถึงธรรมะที่ทำให้ผู้ครองเรือนมีความสุขอยู่ ๔ ประการ คือ
๑. ความสุขที่เกิดจากการมีทรัพย์
๒. ความสุขที่เกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์นั้นตามสมควร
๓. ความสุขที่เกิดจากการไม่ต้องเป็นหนี้
๔. ความสุขที่เกิดจากการประกอบกิจการงานที่ปราศจากโทษ
เราจะเห็นได้ว่าคำสอนในพระพุทธศาสนานั้น ไม่ใช่คำสอนที่มุ่งจะขนสัตว์ทุกคนไปนิพพานเสียทั้งหมด แต่ก็มีคำสอนขั้นพื้นฐาน ขั้นกลาง และขั้นสูง เหมาะแก่คนทุกระดับชั้นไว้สำหรับประพฤติปฏิบัติ
พระพุทธศาสนากับเรื่องกรรม
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่สอนให้เชื่อเรื่องของกรรม ไม่ให้เชื่อโชคลาง เชื่อดวงดาว เชื่อลายเส้นบนฝ่ามือ เชื่อไสยศาสตร์ เชื่อข่าวลือ ให้เชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม ว่าสัตว์ทำกรรมดีย่อมได้ดี สัตว์ทำกรรมชั่วย่อมได้ชั่ว ดังพุทธภาษิตว่า
ยาทิสํ วปเต พีชํ ตาทิสํ ลภเต ผลํ
กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ.[1]
"บุคคลหว่านพืชเช่นไร ย่อมได้ผลเช่นนั้น ทำกรรมดี ย่อมได้ดี ทำกรรมชั่วย่อมได้ชั่ว" ปลูกมะเขือ ก็ย่อมได้ผลเป็นมะเขือ ปลูกมะละกอ ก็ย่อมได้ผลเป็นมะละกอ ปลูกมะม่วงจะได้ผลเป็นทุเรียน เป็นพริก ย่อมเป็นไปไม่ได้ กรรมเท่านั้นเป็นตัวจำแนก เป็นตัวปันผลให้กับมนุษย์และสัตว์ ไม่ใช่พระเจ้าหรือพระพรหมหรือพลังอำนาจภายนอกแต่อย่างใด กมฺมํ สตฺเต วิภชติ ยทิทํ หีนปฺปณีตตาย กรรมเป็นตัวจัดสรรคนที่ทำชั่วให้ชั่วโฉด และจัดสรรคนที่ทำดีให้เฉิดฉาย พลังของกรรมเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ ไม่มีพลังอะไรที่จะมาอยู่เหนือพลังของกรรม
ในจูฬกัมมวิภังคสูตร[2] พระพุทธเจ้าได้ตรัสผลของกรรมหรือการกระทำไว้ ๗ คู่ไว้ด้วยกันคือ
๑. ผู้ที่เกิดมามีอายุน้อย --> เพราะมักเป็นคนฆ่าสัตว์
ผู้ที่เกิดมามีอายุยืน --> เพราะไม่ฆ่าสัตว์
๒. ผู้มีโรคมาก --> เพราะเป็นผู้เบียดเบียนสัตว์
ผู้มีโรคน้อย --> เพราะไม่ค่อยได้เบียดเบียนสัตว์
๓. ผู้มีรูปร่างขี้เหร่ ผิวพรรณทราม --> เพราะมักเป็นคนขี้โกรธเคียดแค้น พยาบาท
ผู้มีความงาม ผิวพรรณดี --> เพราะมักเป็นคนมักไม่โกรธเคียดแค้น พยาบาท
๔. ผู้มียศศักดิ์ต่ำ --> เพราะมักอิจฉาริษยาคนอื่น
ผู้มียศศักดิ์สูง --> เพราะไม่มีจิตอิจฉาริษยาใคร
๕. ผู้เกิดมายากจน --> เพราะไม่เอื้อเฟื้อเจือจาน
ผู้เกิดมามั่งมี --> เพราะจักเอื้อเฟื้อเจือจาน
๖. ผู้เกิดในตระกูลต่ำ --> เพราะเป็นคนกระด้างถือตัว ไม่รู้จักอ่อนน้อม
ผู้เกิดในตระกูลสูง --> เพราะไม่เป็นคนกระด้างถือตัว รู้จักอ่อนน้อม
๗. ผู้ที่เกิดมามีปัญญาทราม --> เพราะไม่ไต่ถาม ไม่แสวงหาความรู้
ผู้ที่เกิดมามีปัญญามาก --> เพราะรู้จักไต่ถาม แสวงหาความรู้
พระพุทธศาสนากับสตรี
ต้องยอมรับว่า สถานภาพของสตรีเพศในสมัยพุทธกาลหรือแม้กระทั่งในปัจจุบันนี้ ผู้หญิงถูกกดขี่ทางเพศ อยู่ในฐานะเหมือนกับเป็นทาสของบุรุษ สังคมไม่ยอมรับความสามารถของสตรีหาเสรีภาพความเสมอภาพไม่เจอ พระพุทธเจ้านับเป็นศาสดาองค์แรกที่ทรงประทานเสรีภาพความเสมอภาพให้แก่สตรี ตลอดจนประทานให้อุปสมบทเป็นภิกษุณีได้ เพราะทรงเห็นว่าสตรีนั้นมีความสามารถไม่น้อยไปกว่าบุรุษเลย พระพุทธเจ้าทรงยอมรับให้สตรีได้บวชในพระพุทธศาสนาได้ ซึ่งในสมัยนั้นผู้หญิงเป็นที่ดูถูกดูแคลนของสังคมยุคนั้น ในกรณีที่ว่าผู้หญิงไม่ควรได้รับการอุปสมบทและไม่อาจจะบรรลุธรรมได้
พระพุทธศาสนายกย่องสถานภาพของสตรี (ภริยา ปรมา สขา) ภรรยาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของสามี สามีไม่ควรปฏิบัติต่อเธอเยี่ยงทาสในครัวเรือน จะเห็นได้ว่าในหลักของคิหิปฏิบัติพระพุทธเจ้าทรงยกย่องฐานะของสตรีไว้ ๕ ประเภท ซึ่งสามีจะต้องปฏิบัติต่อเธอก็คือ
๑. ด้วยการยกย่องนับถือว่าภรรยาอย่างแท้จริง
๒. ไม่ดูหมิ่นเหยียดหยามหรือทำให้ภรรยาเสียใจสะเทือนใจ
๓. ทะนุถนอมน้ำใจภรรยารักใคร่ไม่จืดจาง
๔. มอบความเป็นใหญ่ให้ภรรยารับผิดชอบการเรือนอย่างเต็มที่
๕. มอบของขวัญเครื่องประดับอาภรณ์บ้างในโอกาสอันสำคัญ
พระพุทธศาสนายกย่องสตรีทุกคนไว้ในฐานะดุจเพศแม่ บุรุษจะต้องให้ความเคารพรักสตรีเช่นกับแม่ของตน ในสมัยพุทธกาล บุรุษเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาบำเพ็ญตนจนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้เลิศในลักษณะที่แตกต่างกันออกไปฉันใด สตรีก็เหมือนกัน เมื่อเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาสามารถบำเพ็ญตนจนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ก็ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้เลิศในลักษณะที่แตกต่างกันออกไปฉันนั้น
ภิกษุณีบริษัท
ปฐมเหตุของการเกิดภิกษุณีนั้น เกิดจากพระนางมหาปชาบดีโคตมีพร้อมด้วยสากิยานีประมาณ ๕๐๐ นาง ตัดสินใจโกนผมนุ่งห่มผ้ากาสายะเดินทางไปเฝ้าพระพุทธเจ้าที่เมืองเวสาลี ด้วยความอุตสาหะสูงมาก คือไม่สวมรองเท้าและไปด้วยยาน พระเถระอานนท์เป็นผู้อาสาขอประทานอนุญาตให้สตรีบวช พระอานนท์ได้กราบทูลด้วยเหตุผลด้วยประการต่าง ๆ พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงประทานให้สตรีได้บวชได้โดยง่าย เป็นเพราะทรงมีพระพุทธประสงค์ที่จะให้สตรีทั้งหลายทราบว่า เพศบรรพชาของพวกตน ได้มาโดยยากยิ่ง จะได้สำนึกถึงคุณค่าที่ตนจะต้องรักษาไว้ให้ยืนยาวสืบต่อไปนั้นเอง
เมื่อทรงประทานอนุญาต ได้ทรงกำหนดให้ภิกษุณีต้องประพฤติครุธรรม ๘ ประการไม่ให้ขาดตกบกพร่อง กล่าวคือ
๑. ภิกษุณีแม้อุปสมบทตั้ง ๑๐๐ ปี ก็ต้องแสดงคารวะต่อภิกษุแม้อุปสมบทในวันนั้น
๒. ภิกษุณีจะต้องอยู่จำพรรษาในอาวาสที่มีภิกษุอยู่
๓. ภิกษุณีจะต้องถามอุโบสถและฟังโอวาทของภิกษุสงฆ์ทุกครึ่งเดือน
๔. ภิกษุณีจำพรรษาแล้วต้องปวารณาในสงฆ์ทั้งสองฝ่าย
๕. ภิกษุณีต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วต้องประพฤติมานัตปักข์หนึ่งในสงฆ์สองฝ่าย
๖. ภิกษุณีต้องอุปสมบทในสงฆ์สองฝ่าย
๗. ภิกษุณีไม่พึงด่าภิกษุไม่ว่ากรณีใด ๆ ก็ตาม
๘. ภิกษุณีไม่พึงสอนภิกษุ ให้เปิดโอกาสให้ภิกษุสอนตน
[1]พระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลี, เล่มที่ ๑๕, สุตฺต. สํ. สคาถวคฺโค, น. ๓๓๓
[2] พระไตรปิฎกสำหรับประชาชน, สุชีพ ปุญญานุภาพ, โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, พระนคร, พ.ศ. ๒๕๒๕ น. ๔๗๕
กลับมาแล้ว หลังจากต้องเดินทาง ทั้งภายในและภายนอกประเทศ คงต้องนำธรรมะ มาฝากท่านผู้อ่าน เพื่ออนุโมทนา
ขออำนวยพรกับท่านผู้อ่านทุกท่าน นำเอาธรรมะเป็นธงชัยในชีวิต เพื่อการดำเนินชีวิตที่สงบสุข และมีคุณค่าที่สุด รสพระธรรมเป็นรสแห่งแสวงว่างในชีวิต
ธรรมรักษา +