วันนี้ได้เข้าร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับทีมงานโครงการส่งเสริมการให้เพื่อสังคม ซึ่งโครงการนี้ต้องการที่จะใช้ KM เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนโครงการฯ ซึ่งมีแนวคิดและพัฒนาขึ้นมาบนความเชื่อที่ว่า “การให้คือบันไดสู่สวรรค์” ในการส่งเสริมการให้เพื่อสังคมจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องส่งเสริมระบบการให้ทั้งระบบ ให้ผู้ให้ ในบทบาทต่างๆ ทั้ง ผู้สนับสนุน, องค์กรสาธารณประโยชน์ และ ชุมชน เกิดการเชื่อมโยงกันอย่างมีประสิทธิภาพ มีเป้าหมายและมีกระบวนการในการให้เพื่อสังคมที่ชัดเจน และสนับสนุนซึ่งกันและกัน และนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน และสังคมที่เข้มแข็งและมีสุขภาวะ : โครงการนี้มีระยะเวลา 3 ปี (พ.ย.47 – ต.ค.50) ปัจจุบันโครงการฯ อยู่ ในช่วงปีที่ 2 ภายใต้การบริหารจัดการโครงการฯ ของมูลนิธิกองทุนไทย และได้รับงบประมาณสนับสนุนโครงการ จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
มีการทำงานกับทุกภาคส่วนของสังคม ซึ่งเมื่อจ๊ะจ๋าได้ฟังภารกิจหลักที่น่าสนใจ ได้แก่
ในการทำงานเพื่อสังคม โดยเน้นการเป็นผู้ให้ ....น้อยคนนักที่จะรับทราบว่ามีกลุ่มคนและองค์กรที่ทำงานการเป็นผู้ให้ อาทิเช่น ปตท., บางจาก, บ. ปูนซิเมนต์ไทย, บ.แปลน พับลิชิ่ง, ธนาคารไทยพาณิชย์ เป็นต้น โดยองค์กรเหล่านี้มีนโยบายที่จะทำงานเพื่อสังคม ซึ่งเป็นการปลูกฝังการสร้างจิตสำนึกให้พนักงานในองค์กร และเป็นวิถี ก่อให้เกิดการสร้างวัฒนธรรมการให้ในสังคม
และคงจะจำได้กับโฆษณาหนึ่ง ...ดาบตำรวจวิชัย ...ที่ปลูกต้นไม้เกือบหมื่นต้น…นั่นคือตัวอย่างของการทำความดีในการเป็นผู้ให้เพื่อสังคม .....แล้วจะทำอย่างไรให้สังคมเห็นการให้ของคนกลุ่มเล็กๆ คนชายขอบเหล่านี้ และอยากให้สังคมมีส่วนร่วมในการสนับสนุนคนที่ทำดี .....ผลักดันให้เกิดสิ่งดีๆ เหล่านี้ทุกหย่อมหญ้าทั่วประเทศไทย...คงจะดีไม่น้อยเลยทีเดียว....เป็นการสร้างคุณค่าให้กับคน ชุมชน องค์กร และสังคม
เราคงจะเริ่มเห็นวัฒนธรรมการเป็นผู้ให้ (Give Culture) ......ก็วันที่เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ...ผู้คนหลั่งไหลกันเป็นผู้ให้... ไม่ว่าจะด้วยแรงกาย แรงใจ หรือทรัพย์สิน .....คนไทยไม่ทิ้งกัน....และการเป็นผู้ให้นี้สามารถทำได้หลายวิธี ส่วนใหญ่คนจะคิดว่าแค่บริจาคเงิน ไปทำบุญ สร้างวัด แต่จริงๆ แล้วมีกิจกรรมหลายอย่างที่สามารถทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการปลูกป่าชายเลน การบริจาคอาหารกลางวัน การไปช่วยงานโครงการต่างๆ ที่ทำงานเพื่อสังคม เป็นต้น
ดีใจที่มีโครงการนี้....ทำงานให้สังคมอีกหนึ่งโครงการและจะนำ KM เป็นเครื่องมือในการค้นหา กระตุ้น ผลักดัน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ การเห็นคุณค่าที่เกิดขึ้นในสังคม สร้างพฤติกรรม ก่อเกิดวัฒนธรรมการเป็นผู้ให้ และเน้นย้ำ มองลงไปที่จิตใจของคน...ฝังอยู่ในจิตวิญญาณ.....
เมื่อคิดย้อนกลับไปถึงตัวเอง ทำให้จ๊ะจ๋าสนใจในเรื่องที่ว่า คนที่ทำเรื่องดีๆ เหล่านี้เค้าอยู่อย่างมีความสุข ดั่งคำกล่าวที่ว่า “งานได้ผล คนเป็นสุข” และใคร่ครวญว่า เราเคยเป็นผู้ให้ในเรื่องใดบ้าง....เรื่องที่ประทับใจที่สุดคือ การไปเลี้ยงข้าวเด็กบ้านราชวิถี อาจจะเป็นความสุขใจลึกๆ ในการทำเรื่องนี้ เพราะว่าเงินที่ได้มานั้น มาจากการที่เราตั้งใจจะทำและจากการที่เพื่อนๆ ในภาควิชาตอนที่ตัวเองเรียนโทร่วมกันบริจาค ซึ่งจำนวนเงินนั้นขอบอกว่า มันไม่ได้มากแต่ เมื่อเราและเพื่อนอีก 3 คนนำเงินไปเลี้ยงข้าว....ซึ่งวันที่ไปนั้นได้มีโอกาสแบ่งปันความสุขให้กับเด็กเหล่านั้น มันเป็นความสุขใจทั้งผู้ให้และผู้รับ และการได้ทำในสิ่งนี้เป็นแรงบันดาลใจที่อยากจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ด้อยทั้งโอกาสและกำลังใจ ในการดำรงชีวิตบนโลกผืนนี้ เราเป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของชีวิตที่ทำให้เค้ามีความสุข แค่นั้นก็รู้สึกสุขใจมากๆ.......และคิดว่ายังมีคนอีกมากที่ต้องการโอกาส.....เพียงเราหยิบยื่นโอกาสเหล่านั้นให้กับเค้า........การให้เป็นสิ่งที่สวยงามที่จะทำให้โลกใบนี้น่าอยู่อีกเยอะ..ให้กำลังใจ ให้กำลังกาย ให้กำลังทรัพย์...ตามแต่ว่าคุณจะให้อะไร แล้วแต่ความเหมาะสมเถอะคะ...และถ้าคุณให้แล้ว ..บางครั้งคุณกลับพบว่าที่เราให้นะเพียงแค่เล็กน้อย...และเรากลับพบว่าเรากลับได้รับมากกว่าสิ่งที่เราให้ ...ก็ความสุขใจที่เกิดขึ้น ....มันอิ่มเอิบใจ มันไหลเข้าไปในหัว...มันซาบซ่านแผ่เข้าไปถึงกระดูก ...ความรู้สึกนี้ถ้าคุณไม่เคยพบเจอ..ก็ลองเป็นผู้ให้ดูซิคะ แล้วจะรู้ว่าความสุขแท้จริงอยู่รอบข้างตัวคุณเอง..
อ่านแล้วได้รับความสุขใจเป็นอย่างมาก เพราะงานที่ตัวเองทำก็เป็นลักษณะแบบนี้ (อยู่ รพ.) บางครั้งเราได้รับคำพูดจากผู้รับบริการและสายตาที่มองเราอย่าง
เปี่ยมสุข ทำให้เรามีความสุขมากเช่นกัน ดังนั้นอยากให้ทุกคนมอบสิ่งที่ดีให้แก่กันตลอดไป
สวีสดีค่ะจ๊ะจ๋า ดีใจค่ะที่คุณจ๊ะจ๋ามีความสุขกับพวกเราด้วย ว่างๆจะชวนมาร่วมกิจกรรมกับโครงการเราอีกนะค่ะ สุขใจที่ได้ให้
|