บริการปฐมภูมิกับอุทกภัยที่หาดใหญ่ 2553’


เรื่องเล่าจากแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลหาดใหญ่

      วันแรกของสถานการณ์อุทกภัยในหาดใหญ่ อังคารที่ 2 พฤศจิกายน 2553 เวลาประมาณ 8 โมงเช้า ระดับน้ำเริ่มสูงถึงประตูชั้น1 ของอาคารเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลหาดใหญ่ บริเวณถนนติดกับอาคารฯ น้ำเชี่ยวมาก ไฟฟ้าดับตอนกลางคืน สัญญาณโทรศัพท์ถูกตัดขาด น้ำประปายังไหล  เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเดินทางเข้าออกจากตัวอาคารได้    คลินิกเวชปฏิบัติครอบครัวจึงปิดให้บริการ หมอโต๊ะ หัวหน้ากลุ่มงานได้รวบรวมสมาชิกแพทย์ พยาบาลกลุ่มงานเวชกรรมสังคม ที่ติดน้ำท่วมอยู่บนตึกเวชปฎิบัติครอบครัว ประกอบด้วย หมอติ๊ก หมอปุ๊ก หมอโป้ย พยาบาลคุณจิราภรณ์  จิตรากุล และ คุณจิราภรณ์ ไชโย นำชุดยาสามัญประจำบ้านจำนวน 240 ชุด ฝากไปกับเรือเร็วที่แล่นเข้ามาส่งผู้ป่วยที่โรงพยาบาลนำไปแจกจ่ายให้ผู้ประสบภัยในพื้นที่เทศบาลนครหาดใหญ่  “เรือมีอยู่ไม่กี่ลำ แล่นมาที่โรงพยาบาลแล้วจะกลับมาอีกทีก็ตอนที่มีคนเจ็บน่ะหมอ น้ำมันเชี่ยวมาก วันนี้มีคนเรือโดนไฟช๊อตไปแล้วด้วย ไม่ค่อยปลอดภัยครับหมอ” เสียงคนเรือตอบ นั่นหมายความว่าถ้านั่งไปกลับเรือจะได้กลับมาโรงพยาบาลเมื่อไหร่ก็ไม่รู้  คิดได้เช่นนี้แล้ว หมอปุ๊กและหมอโป้ยตัดสินใจกันว่าเราควรจะรอตั้งหลักกันก่อนดีกว่า ออกไปคงเป็นภาระมากกว่าจะได้ประโยชน์กับชาวบ้าน จึงตัดสินใจฝากยาไปกับเรือ ที่บังเอิญผ่านไปมาชาวบ้านก็จะตะโกนเรียกขอรับยาเป็นจุดๆไป

               พุธที่ 3 พฤศจิกายน 2553 บริเวณด้านหน้าโรงพยาบาลหาดใหญ่ ระดับน้ำสูงถึงหน้าอก น้ำประปาไม่ไหล ไฟฟ้าดับ สัญญาณโทรศัพท์ยังถูกตัดขาด คลินิกเวชปฏิบัติครอบครัวยังปิดให้บริการ แต่ได้จัดเตรียมชุดยาสามัญประจำบ้านต่อไป เพื่อสนับสนุนหน่วยบริการในอำเภอหาดใหญ่ หมอโต๊ะและหมอโป้ย ช่วยตรวจผู้ป่วยนอกด้านหน้าตึกใหญ่ของ       โรงพยาบาลที่ผู้ป่วยสามารถเดินทางมารับบริการได้ หมอติ๊กพร้อมคุณจิราภรณ์ เตรียมเสบียงยาสามัญประจำบ้าน ทีมแพทย์ โดยหมอปุ๊กจากเวชกรรมสังคมพร้อมแพทย์อาสาจากกลุ่มงานสูติฯหนึ่งท่าน คือ นพ.จิตติ ลาวัลย์ตระกูล  ลงเรือเคลื่อนที่เร็วร่วมกับมูลนิธิสว่างแผ่ไพศาลซึ่งอาสาเดินทางมาร่วมกู้ภัยน้ำท่วมจากจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ออกเดินทางไปยังหมู่บ้านจุฑาทิพย์ ชุมชนคลองแห ฝั่งตรงข้ามห้างสรรพสินค้า Big C ซึ่งขณะนั้นได้รับแจ้งจากทีมกู้ภัยว่าวิกฤตมากเพราะน้ำท่วมเกินระดับศีรษะ ชาวบ้านเริ่มขาดน้ำ อาหารและร้องขอยา ขณะเดินทางโดยทางเรือไม่เพียงแต่ต้องระมัดระวังกระแสน้ำเชี่ยวกราก แต่ยังต้องระวังสิ่งของ หรือรถที่จอดจมอยู่ใต้น้ำด้วย บางครั้งลูกเรือก็ต้องลงจากเรือไปถือหางเรือหรือลากไป ว่ายน้ำไป เรือที่ใช้จึงต้องเป็นเรือท้องแบนและต้องมีเครื่องยนต์จึงจะสามารถเดินทางได้ สิ่งที่ควรเตรียมตัวเสมอเมื่อต้องนั่งเรือไปช่วยน้ำท่วมคือ ชูชีพ โทรโข่ง รองเท้า บู้ทสำหรับลุยน้ำและถุงยาที่กันน้ำเข้าได้ ที่สำคัญที่สุดคืออย่าลืมพกน้ำดื่มและอาหารของตัวเองไปด้วยเพราะนาทีนั้นคงไปหวังพึ่งให้ใครหาอาหารและน้ำให้เราไม่ได้ เวลาหนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็วเวลาเลิกงานสำหรับการออกหน่วยไม่ใช่สี่โมงเย็นแต่เป็นเวลาพลบค่ำที่คาดเดาไม่ได้จริงๆ  สำหรับชาวบ้านจะต้องเตรียมหมาตักน้ำ (อุปกรณ์ตักน้ำผูกเชือก) เอาไว้ห้อยลงมาจากหลังคาเพื่อรับของเสบียงหรือยาน้ำท่วมไว้ด้วย ไปแจกยาอาจจะต้องฝึกปรือฝีมือในการโยนรับเหมือนเล่นแชร์บอลไปก่อนด้วยเพราะชาวบ้านลงมาหาเราไม่ได้ เราก็ไม่สามารถปีนจากเรือไปบนหลังคาบ้านคนไข้ได้  รวมภารกิจในวันนั้นได้แจกยาชุดผู้ใหญ่ไป 300 ชุด ยาชุดเด็ก 200ชุด   ช่วงเย็นได้สำรวจพื้นที่ประสบภัยบริเวณเขต 8 และหมู่บ้านจันทร์วิโรจน์ เนื่องจากในขณะที่ไปแจกยานั้นชาวบ้านหลายคนมักถามเป็นประโยคแรกว่ามีน้ำมาด้วยมั้ย ทีมหน่วยเคลื่อนที่ในวันนั้นจึงได้ข้อสรุปว่าถ้าจะไปแจกยาชาวบ้านขอให้เตรียมน้ำไปด้วย ดื่มน้ำจะได้กินยาไปด้วยนั่นเอง  ตกเย็น ตะวันโพล้เพล้ ทีมกู้ภัยลงทุนควักกระเป๋า หนึ่งพันบาทไปซื้อน้ำกลับเข้าไปแจกที่หมู่บ้านเพราะชาวบ้านคงรอคอยข้ามคืนไม่ไหว กลับไปในหมู่บ้านรอบที่สองจึงได้เห็นว่าชาวบ้านบางคนพยายามเป็นตัวแทนลุยน้ำออกมาเพื่อมารับถุงยังชีพที่ตั้งจุดแจกจ่ายอยู่บนพื้นดินปากทางเข้าหมู่บ้าน คุณลุงคนหนึ่งรับถุงแจกแล้วก็หอบหิ้วทั้งลากทั้งอุ้ม จนถุงขาดของหล่นไปตามทางน้ำ ทีมกู้ภัยทนไม่ได้ต้องจอดเรือเอาถุงในเรือลงไปเปลี่ยนให้ คนแก่ และหนุ่มสาววัยกลางคน ไม่ว่าชายหรือหญิง ค่อยๆเดินลุยน้ำ บ้างก็นั่งบนที่นอนที่ลอยน้ำออกมาพร้อมเตียง เด็กๆเกาะกะละมังลอยตามน้ำไม่ให้จม เพื่อความหวังข้างหน้าว่าอาจจะมีน้ำแจก มีอาหารหรือเสบียงกลับไปให้คนในครอบครัว แม้จะทั้งเหนื่อยทั้งเพลียแต่หมอสองคนก็ยังวางแผนต่อว่าพรุ่งนี้คงต้องออกมาลุยอีกวัน คุณหมอ  จิตติอาจารย์อาวุโสกลุ่มงานสูตินรีเวชซึ่งบ้านพักในโรงพยาบาลก็น้ำท่วมไม่น้อยไปกว่านอกโรงพยาบาลนัดหมายเป็นเสียงแข็งว่า “พรุ่งนี้ผมจะออกมาช่วยอีก บ้านผมยังไงก็ยังไม่มีน้ำล้างบ้าน เก็บไว้ก่อน เอาไว้ทีหลังละกัน ชาวบ้านลำบากกว่ามาก” หมอปุ๊กได้ฟังแล้วยังทึ่งไม่รู้ลืม

         พฤหัสบดีที่ 4 พฤศจิกายน 2553    โรงพยาบาลหาดใหญ่น้ำลดลงไม่ท่วมขัง แต่ยังไม่สามารถเปิดบริการได้เนื่องจากบุคลากรขาดแคลน ส่วนหนึ่งประสบอุทกภัยหนักไม่แพ้กัน จึงยังไม่สามารถจัดระบบบริการในคลินิกได้   ขณะนั่งเตรียมจัดชุดยาสามัญประจำบ้านซึ่งมีคุณจิราภรณ์ จิตรากุล หรือ ภรณ์ เป็นผู้ควบคุมการผลิตยาชุดสามัญประจำบ้านสำหรับน้ำท่วมมือหนึ่งของเวชกรรมสังคมหาดใหญ่อยู่นั้น หมอปุ๊กกระหืดกระหอบกลับจากประชุม war room ของโรงพยาบาลหาดใหญ่มาขออาสาเจ้าหน้าที่เวชกรรมสังคมที่พอมีอยู่ร่วมออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ทันทีที่ถามทุกคนยกมือขึ้นอย่างไม่ลังเล วันนี้จึงมีหลายคนเข้าร่วมให้บริการออกหน่วยเคลื่อนที่เร็ว คือ หมอธาดา หมอนล  หมอจิตติซึ่งได้ตั้งใจไว้อย่างมุ่งมั่นว่าจะไม่นั่งรอผู้ป่วยที่โรงพยาบาลหาดใหญ่อีกแล้วแต่จะออกไปช่วยชาวบ้านถึงในพื้นที่ดีกว่า และแพทย์ประจำบ้านสาขาเวชศาสตร์ครอบครัวอีก 2 ท่าน คือ หมอกวางและหมอก้อ  พร้อมทีมพยาบาลนำโดย จิ๊ เจ๋ เยาว์ นิด เมี่ยน อี๊ฟ แอ๊ด ส่วนพี่ติ๋มและภรณ์ซึ่งมีประสบกรณ์อุทกภัยปี2547 มาก่อนเป็นผู้ประสานงานและเฝ้ากองบัญชาการ นับเป็นความโชคดีของคนโรงพยาบาลหาดใหญ่ที่ถึงแม้รถของโรงพยาบาลหาดใหญ่จะโดนน้ำท่วมไปจำนวนกว่าครึ่งหนึ่งของรถที่มีอยู่ รวมทั้งคลังยาน้ำท่วมที่กลับโดนน้ำท่วมไปด้วย แต่เราก็ได้รับการสนับสนุนความช่วยเหลือในระดับปฐมภูมิจากโรงพยาบาลต่างๆอย่างไม่ขาดสายและทันท่วงที เช่นโรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลาและแพทย์จากโรงพยาบาลชุมชนต่างๆรอบๆหาดใหญ่  ในวันนี้การออกหน่วยเคลื่อนที่จึงใช้รถจากโรงพยาบาลราชวิถีร่วมกับทีมสุขภาพและเวชภัณท์ที่นำติดมากับรถจากโรงพยาบาล  ราชวิถี นำทีมโดยนายแพทย์ไพโรจน์ เครือกาญจนา หัวหน้าทีมกู้ชีพโรงพยาบาลราชวิถีพร้อมทีมแพทย์พยาบาล ออกบริการตรวจรักษาผู้ป่วย ทำแผลและฉีดยา 2แห่ง คือ มัสยิดบ้านเหนือ จำนวน 147 ราย และ รัตนอุทิศ 3 จำนวน 174 ราย พบส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยกลุ่มอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ ปวดกล้ามเนื้อ มีบาดแผลและน้ำกัดเท้า   ในช่วงเย็นได้จัดทีมพร้อมรถฉุกเฉินลงแจกยาสามัญประจำบ้านใน ชุมชนบางแฟบนำโดยหมอธาดา อี๊ฟและเมี่ยน (งานนี้เล่นเอาเมี่ยนเป็นลมคารถไปเลย) รวมทั้งวันแจกยาชุดไปจำนวน  760 ชุด

     ศุกร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2553   แบ่งทีมสนับสนุนจัดเตรียมเวชภัณท์1ทีม อีกทีมให้บริการในคลินิกเวชปฏิบัติครอบครัว นำทีมโดยหมอโป้ยและหมอจิ๋ว( แพทย์ประจำบ้านเวชศาสตร์ครอบครัวปีที่ 3) บริการประชาชนในพื้นที่ใกล้โรงพยาบาลที่สามารถเดินทางมารับบริการได้เพราะน้ำลดแล้ว นอกจากนี้ยังจัดบุคลากรเปิดให้บริการใน CMU ของโรงพยาบาลหาดใหญ่ได้แก่ CMU 3  ตำบล CMU ควนลัง  และอีกทีมของเวชกรรมโรงพยาบาลหาดใหญ่ร่วมกับทีมโรงพยาบาลราชวิถีออกหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ โดยรถของโรงพยาบาลราชวิถี ตรวจรักษาโรคที่ตลาดพ่อพรหม ใช้เวลาร่วมชั่วโมงในการเปลี่ยนสภาพสกปรกของตลาดหลังอุทกภัย ให้กลายมาเป็นแคมป์บริการผู้ป่วยที่สมบูรณ์แบบ ทีมกู้ชีพดัดแปลงพื้นที่นำหินและเศษไม้ในตลาดมาเป็นบันไดและราวเกาะให้ผู้ป่วยที่บาดเจ็บที่ขา มีรถเข็นให้ผู้ป่วยที่เดินไม่ไหวเพราะมีบาดแผลที่หัวเข่าทำให้ข้อเข่าอักเสบ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีบาดแผลที่เท้าจากของมีคมบาดหรือกระแทกของแข็ง รักษาจนยา Dicloxacilllin หมด ต้องจ่าย Pen V แทน  และมีผู้ป่วย Chronic หลายราย เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หอบหืด มาขอรับยาเพราะยาหายไปกับน้ำที่ท่วมบ้านสูงถึง1-2  เมตร  วันนี้มีผู้ป่วยรับบริการทั้งสิ้น 230 ราย  ฉีดยา TT 50 ราย ส่งไปเย็บแผลที่โรงพยาบาลหาดใหญ่ 1 ราย  ขณะที่หมอก้อ หมอกวาง หมอจิตติร่วมกับคณะแพทย์โรงพยาบาลราชวิถี ตรวจรักษาอยู่ในแคมป์นั้น  ทีมแพทย์และพยาบาลเวชกรรมที่เหลือออกแจกยาไปตามตรอกซอกซอยในเขตชุมชนท่าเคียน  หมอธาดาใช้โทรโข่งเชิญชวนพี่น้องให้มารับยา มีหมอปุ๊ก หมอป่อง(แพทย์ประจำบ้านปี2) คุณอร และ คุณอี๊ฟ รับหน้าที่แจกยาอยู่ด้านหลังรถอย่างแข็งขัน(รถพ่อค้าเร่ขายยาอายเลย) ชุดยาฯผู้ใหญ่จำนวน 450 ชุด  เด็กจำนวน 100 ชุด หมดภายในหนึ่งชั่วโมง ชาวบ้านทั้งไหว้ทั้งน้ำตาคลอที่มีหมอมาแจกยาถึงบ้าน เดินมารับยาที่รถพร้อมอวยพรหมอกับทีมจนเราตื้นตันใจและหายเหนื่อยไปตามๆกัน

            นอกจากให้บริการยาชุดสามัญประจำบ้านแล้ว ก่อนพลบค่ำ หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ได้เคลื่อนที่ฝ่ากองขยะเข้าไปฉีด TT ให้ผู้ป่วยที่นัดไว้เมื่อวานบริเวณเดิมในชุมชนรัตนอุทิศ (ซอย3) หน่วยฉีดวัคซีนบาดทะยักเปิดประตูรถตู้ ตั้งเป็นจุดฉีดยาสำหรับผู้มีบาดแผลและยังไม่ได้รับวัคซีนกระตุ้นบาดทะยัก  แพทย์คนที่หนึ่งมีหน้าที่คัดกรองและตรวจดูแผล อีกคนมือถือโทรโข่งประกาศให้ผู้ที่กำลังล้างซากปรักหักพังมารับบริการ แพทย์อีกท่านให้บริการยาสามัญประจำบ้าน พยาบาลเตรียมอุปกรณ์พร้อมฉีด งานนี้ใช้แพทย์เปลืองหน่อย แต่ในเวลานั้นทุกคนต้องทำหน้าที่ให้ได้ทุกอย่าง เพราะเรามีกันอยู่เพียงแค่นั้นจริงๆ เพียงครึ่งชั่วโมงTT 40 doses เท่าที่มีถูกใช้หมด ผู้ป่วยดีใจมากที่ไม่ต้องเดินทางไปฉีดที่โรงพยาบาลเพราะภาระหน้าที่ที่ต้องไปหาน้ำดื่มหรือหาน้ำอาบ หาข้าวกล่องที่ขาดแคลนให้คนที่บ้านก็วุ่นวายมากจนไม่มีเวลาไปโรงพยาบาล  การออกหน่วยในวันหลังๆเวชภัณฑ์ทุกอย่างเริ่มขาดแคลนเพราะห้องยาของโรงพยาบาลหาดใหญ่ยังล้มเพราะอุทกภัย ยาจึงมีไม่เพียงพอ แต่เหมือนมีโชคดีเป็นครั้งที่สองที่   คุณหมอไพโรจน์ หัวหน้าทีมกู้ชีพจากราชวิถี ได้ประสานงานกับ         ท่านผู้อำนวยการโรงพยาบาลเด็กและ War Room ของกระทรวงสาธารณสุข ที่กรุงเทพ   ทำให้ได้รับการสนับสนุนยาน้ำเด็ก ซึ่งเป็นยาที่ขาดมากตั้งแต่วันแรกที่น้ำท่วมคลังยา จนได้รับยามาทางเครื่องบินอย่างรวดเร็วในวันต่อมา หลังเสร็จภารกิจ โรงพยาบาลราชวิถีแจ้งว่าจะถอนกำลังกลับกทม.เพราะสถาณการณ์เริ่มคลี่คลายแล้ว ทีมหาดใหญ่เริ่มใจหายแต่ก็ต้องทำใจให้เข้มแข็งเพราะเขาก็ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาหลายวัน กลับจากออกหน่วยคืนนั้นทีมเวชกรรมสังคมจึงต้องประชุมวางแผนรับมือการทำงานเพื่อช่วยเหลือประชาชนในวันเสาร์อาทิตย์ที่6-7พฤศจิกายนกันใหม่ว่าจะหายานพาหนะและบุคลากรที่ไหนมาช่วยออกหน่วย ทีมที่ออกหน่วยกันมาแต่แรกก็เริ่มเหนื่อยล้า โชคดีครั้งที่สามเกิดขึ้นขณะที่ในช่วงเวลา     ดังกล่าวมีนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 4 ขึ้นเรียนวิชาเวชศาสตร์ครอบครัวและชุมชนพอดี จึงเป็นโอกาสดีของนักศึกษาที่จะได้มาเรียนรู้ การดูแลชุมชนในสถานการณ์ที่มีภัยพิบัติ จริงๆแล้วน้องๆนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 4 ทุกคนได้มาร่วมกันเตรียมเสบียงยาจนค่ำมืดอยู่ทุกวัน แต่   วันพรุ่งนี้พวกเขากำลังจะได้ออกไปปฏิบัติงานในพื้นที่จริงหลายคนถึงกับแทบอดใจรอไม่ไหว

           เสาร์ที่ 6 พฤศจิกายน 2553 สถานการณ์ทั่วไปที่เวชกรรมสังคม ยังมีขยะบริเวณหน้าอาคาร วันนี้มีนักศึกษาแพทย์ชั้นปี4จำนวน10 กว่าคนมาร่วมทีมกับหมอธาดา หมอโป้ย หมอนล คุณจุ๋ย คุณป้อม หมอปุ๊กกับพี่ติ๋มเฝ้ากองบัญชาการและร่วมประชุม war room ของโรงพยาบาล  เวลา 9.00น.เริ่มให้บริการหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ไปยังชุมชนจันทร์วิโรจน์ แต่ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองท้องถิ่นท่านหนึ่งว่า มีหน่วยแพทย์เคลื่อนที่จากร.พ.สงขลานครินทร์มาให้บริการแล้วในวันก่อนหน้านี้(5 พ.ย. 53)วันนี้อาจมีชุมชนที่ลำบากกว่า ทีมจึงย้ายหน่วยแพทย์มาที่ชุมชนสำราญสุข ในพื้นที่เทศบาลคลองแห เนื่องจากการจราจรติดขัดมากกว่าจะมาถึงพื้นที่ออกหน่วยต้องใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงทั้งที่เวลาปกติเมื่อยังไม่เกิดอุทกภัยใช้เวลาเพียงประมาณ 15 นาที   จนเริ่มมีฝนตกหนักหน่วยแพทย์ฯต้องตั้งอยู่ในเพิงหมาแหงนริมทาง เพราะพื้นที่มีแต่ซากบ้านเรือนที่ประสบภัยแม้ว่าการให้บริการทำได้ลำบาก แต่สามารถให้บริการด้านการตรวจรักษาและทำแผล ชาวบ้านได้ถึง100 ราย ช่วงบ่าย หมอธาดานำนักเรียนแพทย์ขึ้นรถออกแจกชุดยาสามัญประจำบ้าน ตามซอยใกล้ๆจนถึงเวลา 16.00 น.จึงเดินทางกลับสำนักงาน นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่4 เริ่มเรียนรู้ว่าชีวิตจริงไม่ได้ง่ายนักเหมือนในภาพยนต์แต่แท้จริงแล้วทั้งเหนื่อยและลำบากปนกับความสุขใจที่ได้ช่วยเหลือชาวบ้าน น้องๆหลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าถ้าไม่ได้ไปเห็นกับตาคงไม่รู้ว่าชาวบ้านลำบากกันขนาดนั้น ตกเย็นนักศึกษามานั่งล้อมวงกันที่ห้องพักแพทย์เวชกรรมสังคม แลกเปลี่ยนประสบการณ์ เคล็ดวิชาว่าด้วยการดูแลผู้ประสบอุทกภัยและความรู้สึกกันกับ อาจารย์ธาดา อาจารย์ปุ๊ก และอาจารย์โป้ย จนเริ่มหิวจึงต้องย้ายกันกับที่พัก รับประทานอาหารเสบียงที่โรงพยาบาลทำแจกในมื้อเย็น

              อาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน 2553 วันนี้นอกจากนศพ.ปี4 แล้ว ยังมีนักศึกษาแพทย์ ปี5ขอร่วมออกหน่วยฯด้วย ทีมเวชกรรมสังคม(วันนี้มีหมอธาดา,หมอก้อ,หมอกวาง,หมอป๋อง,คุณศัย,คุณเจ๋,คุณเภา)ลงพื้นที่ให้บริการ 2ชุมชน คือช่วงเช้าที่ชุมชนทุ่งเสา  ให้หมอปุ๊ก พี่ติ๋มและหมอโป้ย เฝ้ากองบัญชาการต่อ ทีมด่านหน้าออกหน่วยให้บริการจนพักเที่ยงเสร็จ ก็ย้ายไปบริการที่ชุมชนคลองเตย แต่ดูเหมือนชาวบ้านยังเครียดกับการทำความสะอาดบ้านจึงมารับบริการน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้  หมอธาดาจึงขับรถคันเล็กประจำศูนย์บริการสาธารณสุขคลองเตยพานักเรียนแพทย์6คนไปแจกยาชุดสามัญประจำบ้านตามตรอกซอกซอยในชุมชน สร้างความครื้นเครงให้กับนักศึกษาแพทย์เป็นอย่างมากจนเวชภัณฑ์จากสสจ.ทั้ง200ชุดหมด ได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดีจากชาวบ้าน  ทีมออกหน่วยจึงได้ประจักษ์ว่าถ้าไม่ประกาศให้ได้รับข่าวสารเป็นรูปธรรม ชาวบ้านก็จะไม่ทราบว่ามีการตั้งจุดบริการหรือมีบริการด้านสุขภาพด้วย เพราะภาระงานด้านปัจจัย สามอย่างคือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม บ้าน ยังไม่เรียบร้อย ยารักษาโรคจึงตามมาทีหลัง ประโยชน์ที่เหนือความคาดหมายที่สุดในวันนี้คือ    นักศึกษาแพทย์ต่างได้รับประสบการณ์จากการปฏิบัติในพื้นที่ภัยพิบัติจริงจนเกิดความเข้าใจมากขึ้นมีมุมมองที่ดีต่อการเสียสละ การเข้าถึงชุมชนในอีกระดับหนึ่งและได้ตระหนักจากการได้เห็นภาพจริงจากอาจารย์ว่าPrimary care doctorมีความสำคัญอย่างไรต่อชุมชน

                น้ำได้ลดระดับลงไปแล้ว ยังคงไว้แต่ร่องรอยคราบดินโคลนและขยะเน่าเหม็นที่ทำให้เมืองหาดใหญ่ทั้งเมืองซึ่งเคยสวยงามน่าเที่ยวชมกลายเป็นเมืองล้างซอมบี้มีแต่ซากปรักหักพัง สัตว์เลี้ยงจมน้ำอืดไปทั่วเมือง อีกไม่กี่วันนับจากน้ำลดหนอนแมลงวันก็จะเติบโตขึ้น หนอนแมลงหวี่จะกลายเป็นตัวเต็มวัย ยุงลายที่ชอบน้ำขังจะเริ่มแพร่พันธ์ ทำให้เกิดปัญหาโรคติดเชื้อและโรคระบาดตามมาได้  กลุ่มงานเวชกรรมสังคมหาดใหญ่จึงได้ประสานกับกรมอนามัยสิ่งแวดล้อม งานสุขาภิบาลและป้องกันโรค กรมสุขภาพจิต ศูนย์ควบคุมโรคเพื่อเยียวยาเมืองหาดใหญ่ ตระเวรพ่นหนอนแมลงวัน กำจัดสัตว์นำโรค และพ่นหมอกควัน     รวมทั้งเติมคลอรีนในบ่อน้ำใช้

                น้ำท่วมหาดใหญ่ครั้งนี้ทำให้คนหาดใหญ่ได้รับมากไม่แพ้กันกับน้ำที่ท่วมคือน้ำใจ ที่ได้รับจากการช่วยเหลือของทีมต่างๆทั้งจากในและนอกระบบสาธารณสุขอย่างไม่ขาดสายรวมทั้งความอดทน มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อต่อกันของเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลในขณะที่เกิดอุทกภัยหนักมีมาก บทเรียนที่ได้จากเหตุอุทกภัยในครั้งนี้สมควรนำไปเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างการเตรียมพร้อมต่อการรับสถานการณ์อุทกภัยหรือภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นได้อีกในวันข้างหน้า

นพ.ธาดา ทัศนกุล กุมารแพทย์, อว.เวชศาสตร์ครอบครัว

และพญ.หทัยทิพย์ ธรรมวิริยะกุล, วว. เวชศาสตร์ครอบครัว Master in Epidemiology, LSHTM UK

หมายเลขบันทึก: 411825เขียนเมื่อ 3 ธันวาคม 2010 15:27 น. ()แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 14:10 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่าน


ความเห็น

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท