สำนักข่าว BBC ตีพิมพืเรื่อง 'Early retirement 'is good for us', research shows' = "(การศึกษาพบ) เกษียณก่อนวัยดีกับเรา", ผู้เขียนขอนำมาเล่าสู่กันฟังครับ [ BBC ]
.
การศึกษาใหม่ (ตีพิมพ์ใน BMJ) ทำในกลุ่มตัวอย่างพนักงานของรัฐชาวฝรั่งเศสกว่า 14,000 คนพบว่า การเกษียณก่อนวัยตอนอายุประมาณ 55 ปี มีส่วนทำให้ชีวิตเครียด-เหนื่อยน้อยลงแยะเลย
การศึกษาขนาดใหญ่ (มีจำนวนกลุ่มตัวอย่างมาก) ในปี 2552 พบว่า การเกษียณก่อนวัยมักจะทำให้สุขภาพแย่ลง และถ้าไม่ทำงานหลังเกษียณเลยจะเพิ่มเสี่ยงอาการโรคหัวใจกำเริบ (heart attacks), มะเร็ง และโรคหลักๆ (เช่น เบาหวาน ฯลฯ) เมื่อเทียบกับคนที่ทำงานบางเวลาหลังเกษียณ (part-time job)
.
กลไกที่เป็นไปได้ คือ การทำงานอย่างน้อยบางเวลา (หลังเกษียณ) ทำให้คนเรารู้สึก "ดีกับตัวเอง (self-esteem)" มากขึ้น รู้สึกมีคุณภาพชีวิตมากขึ้น ทำให้สุขภาพทางกายพลอยดีไปด้วย
การทำงานทำให้มีรายได้มากขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม... งานที่ทำหลังเกษียณจะดีกับสุขภาพจริงๆ คือ งานที่ไม่เครียดและไม่เร่งรีบมากเกินไป
อ.ดร.ฮูโก เวสเตอร์ลุนต์ และคณะ จากมหาวิทยาลัยสตอล์คโฮม สวีเดน ทำการศึกษากลุ่มตัวอย่างพนักงานรัฐชาวฝรั่งเศส ติดตามไป 15 ปี
กลุ่มตัวอย่างที่ "เออร์ลี" มักจะเลิกทำงานเต็มเวลาตอนอายุ 55 ปี
.
ผลการศึกษาพบว่า การเออร์ลี (เกษียณก่อนกำหนด) จะให้ผลดีกับสุขภาพถ้าเป็นไปด้วยความสมัครใจ ไม่ใช่กดดันให้เลิกงาน เช่น ถูกเลิกจ้าง ฯลฯ
รัฐบาลหลายประเทศในยุโรปมีนโยบายที่จะชะลอเวลาเกษียณออกไป เนื่องจากคนเรามีอายุยืนยาวขึ้น ถ้าให้เกษียณเร็วจะทำให้มีช่วงชีวิตที่ไม่ทำงาน (หลังเกษียณ) นานขึ้น ภาระของรัฐบาลในการจ่ายเงินบำนาญจะมากขึ้นตามไปด้วย
.
ปัญหาใหญ่ของการเกษียณก่อนกำหนด คือ ทำอย่างไรจึงจะมีเงินพอใช้ในช่วงชีวิตที่เหลือ ซึ่งยิ่งนานจะยิ่งทำให้ค่าของเงินเก็บสะสมน้อยลง เนื่องจากเงินจะเฟ้อ-ของจะแพงเพิ่มขึ้นไปทุกปี [ howstuffworks ]
.ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า วิธีเกษียณก่อนวัย (เออร์ลี รีไทร์) ให้มีสุขที่สำคัญได้แก่ [ howstuffworks ]; [ medicinenet ]; [ USnews ]
(1). ออมสุขภาพ เน้นป้องกันโรคไว้ เพื่อลดค่ายา และค่าใช้ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาอื่นๆ เช่น ค่าเดินทาง ฯลฯ
การสำรวจหนึ่งในสหรัฐฯ (Watson Wyatt Analysis 2009) พบว่า คนที่มีสุขภาพไม่ดีมีความสุขหลังเกษียณลดลงครึ่งหนึ่ง เมื่อเทียบกับคนที่มีสุขภาพดี
.
(2). ออมทรัพย์ เน้นลดค่าใช้จ่าย เช่น ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่ม(แอลกอฮอล์)หนัก, หัดทำกับข้าวกินเองอย่างน้อยวันละ 1 มื้อ, ถ้าทำกับข้าวไม่เป็น... การหุงข้าวกล้องกินเองอย่างน้อยวันละ 1 มื้อ ฯลฯ ก็ช่วยประหยัดได้
ชีวิตหลังเกษียณที่ดีที่สุด... ควรมีรายได้จากการออมและลงทุนประมาณ 3/4 หรือ 75% ของรายได้ก่อนเกษียณ ทว่า... ถ้ารู้จักลดรายจ่ายตั้งแต่ก่อนเกษียณแล้ว ชีวิตหลังเกษียณจะเบาลงไป และสบายขึ้นมาก
.
(3). ไม่เป็นหนี้... ให้ถือหลักว่า คนที่ไม่เป็นหนี้ย่อมเป็นไท ไม่เป็นทาสน้ำเงิน
(4). ลงทุนอย่างรอบคอบ เน้นกระจายความเสี่ยงไปในหลายๆ ด้าน เพื่อให้ทรัพย์สินที่มีอยู่งอกเงย เนื่องจากถ้าไม่ลงทุนอะไรเลย
.
(5). หางานอดิเรก และค้นคว้าหาความรู้ในเรื่องที่เราสนใจไว้เสมอ เพื่อป้องกันโรค "เหงา" ซึ่งพบบ่อยในคนหลังเกษียณ
การทำงานอาสาสมัคร เรียนรู้เรื่องใหม่ เช่น การทำอาหารสุขภาพ ปลูกผักสวนครัว ฯลฯ, เดินทางท่องเที่ยว มีส่วนช่วยให้ชีวิตหลังเกษียณดีขึ้นได้
.
(6). เข้าสังคมบ้าง (social network)
การสำรวจกรีนนิช (Greenwich study) พบว่า คนที่เกษียณแล้วมีความสุขจากการมีเพื่อนหรือสังคมมากกว่าการมีลูกหลาน 30%
สมัยนี้มีเครือข่ายออนไลน์ เช่น การเขียน-อ่านบล็อก การติดต่อกันออนไลน์ ฯลฯ ซึ่งถ้ารู้จักใช้อย่างพอดีแล้ว จะทำให้เราเลือกเข้าสังคมของคนดีได้มากขึ้น
และถ้าอยากมีความสุขกับลูกกับหลานก็ไม่ควรทำตัวเป็นคนขี้บ่น เพราะจะทำให้ญาติสนิทมิตรสหายค่อยๆ หายไปทีละคนสองคน เพราะทนคำบ่นไม่ไหว
.
(7). ไม่ติด TV
การศึกษาจากซูริค สวิตเซอร์แลนด์ในปี 2548 และมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ สหรัฐฯ ในปี 2551 พบว่า คนที่ดู TV มากมีแนวโน้มจะมีความสุขน้อย, ส่วนคนที่ดู TV น้อยมีแนวโน้มจะมีความสุขมาก
อาจารย์แพทย์หลายๆ ท่านแนะนำวิธีดู TV ให้มีความสุข คือ ให้ดูไป-ถีบจักรยานออกกำลังไป และถ้ามีลู่วิ่ง-เดินไฟฟ้าก็น่าจะลองใช้วิธีดูไป-เดินไป
.
(8). เสริมเชาว์ปัญญา
การศึกษาที่ผ่านมาทำในกลุ่มตัวอย่างที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไปพบว่า คนที่ทำงานอดิเรกประเภทใช้สมองเป็นประจำ เช่น เล่นหมากรุก ค้นคว้าหาความรู้ใหม่ ฯลฯ เป็นโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์น้อยลง 2.5 เท่า
.
(9). ไม่ยึดติดกับความสำเร็จ
ชีวิตหลังเกษียณไม่ควรยึดติดกับความสำเร็จ หรือตัวชี้วัดอะไรต่อมิอะไร... อาจารย์จิตแพทย์ท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า เดิมท่านเป็นคนเรียนเก่งมากระดับเหรียญเงิน (สอบได้ที่ 2) ของสถาบันเป็นประจำ
หลังเกษียณท่านไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยเปิดแห่งหนึ่งแล้วพบว่า สอบบางวิชาแล้วไม่ได้เกรด G (เกรดดีที่สุด) ทำให้เครียด ความดันเลือดสูงขึ้น...
ต่อมามีเด็กนักศึกษาคนหนึ่งแนะนำว่า ถ้าเรียนแล้วเครียดก็น่าจะลองเลิกเรียน ไปหาอะไรที่ไม่เครียดทำดีกว่า... ท่านเลยเลิกเรียน และกลับเป็นคนมีความสุขหลังเกษียณไปอีกนาน
.
(10). ทำงานเพื่อชีวิต
การศึกษาที่ผ่านมาพบว่า คนที่ทำงานบางเวลา (ไม่เต็มเวลา) หลังเกษียณ โดยเฉพาะงานที่ถนัดหรือชื่นชอบ มักจะมีความสุขและมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น
ถ้าหางานบางเวลาทำไม่ได้... การทำงานอาสาสมัครก็ทำให้มีความสุขได้เช่นกัน
.
ชีวิตคนหลังเกษียณที่ดี ควรมีลักษณะ 'green, clean, lean & meaningful' ได้แก่
(1). green = ดีกับสิ่งแวดล้อม
เน้นการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เช่น ช่วยกันประหยัดน้ำ-ประหยัดไฟ ปลูกต้นไม้ ปลูกผักสวนครัว ฯลฯ
การฝึกใส่ใจสิ่งแวดล้อมทำให้คนเรามีความสุขจากการทำอะไรดีๆ มากขึ้น
.
(2). clean = สะอาด
สะอาดภายนอกด้วยการไม่ทำตัวโทรม เช่น ไม่ปล่อยให้บ้านรก สกปรก ฯลฯ และสะอาดภายในด้วยการฝึกมองโลกในแง่ดี เช่น ฝึกกล่าวคำ "ขอโทษ-ขอบคุณ-ขอบใจ" ให้ได้อย่างน้อยวันละครั้ง โดยเฉพาะถ้ากล่าวคำเหล่านี้กับคนใกล้ชิดได้จะทำให้มิตรภาพดีขึ้น
.
(3). lean = อยู่อย่างเรียบ ง่าย ประหยัด (lean = เนื้อไม่ติดมัน)
ชีวิตหลังเกษียณควรมีข้าวของเครื่องใช้เท่าที่จำเป็น ทำให้บ้านไม่รก ทำความสะอาดได้ง่าย และป้องกันการหกล้มจากการมีข้าวของเกะกะทางเดิน
.
(4). meaningful = อยู่อย่างมีความหมาย
ตัวอย่างเช่น หาโอกาสศึกษาธัมมะ สวดมนต์ ทำสมาธิ ปฏิบัติธรรมตามโอกาส (ควรระวังเจ้าสำนักที่ละโมบโลภมาก เน้นแต่การบริจาคเงิน เพราะอาจทำให้หมดตัวได้)
แม้แต่อยู่ในบ้านก็ควรอยู่อย่างมีคุณค่าให้ได้ เช่น ช่วยทำงานบ้านตามแรงกำลังที่มี ฯลฯ เพราะซึบซับคุณค่าจากการทำงานเข้ามาสู่ตัวเรา เน้นการช่วยเหลือตัวเองให้มาก เป็นภาระต่อคนอื่นให้น้อย
.
ชีวิตหลังเกษียณที่ "มีเงินพอ-ไม่มีหนี้-มีรายจ่ายน้อยหน่อย-มีงานที่ชอบ-และมีสุขภาพดี" เป็นผลจากการเตรียมการล่วงหน้าอย่างมีระบบระเบียบ
ถึงตรงนี้... ขอให้ท่านผู้อ่านมีสุขภาพดีไปนานๆ ครับ
.
ที่ มา
อรุณสวัสดิ์ค่ะท่านอาจารย์ มาอ่านเรื่องราวเพื่อคุณภาพชีวิต ขอบคุณค่ะ
ขอขอบคุณอาจารย์ และท่านผู้อ่านทุกๆ ท่านเช่นกันครับ
อ่านแล้วดีจังค่ะ ขอบคุณที่นำมาแชร์ค่ะ