วุฒิการศึกษาของคนก้าวไปไกล แต่วุฒิภาวะของคนในก้าวไม่ทัน
วุฒิการศึกษาของคนก้าวไปไกลขนาดไหน แต่วุฒิภาวะของสังคมนั้นยังอยู่ห่างไกลจากความจริง
คนเรานั้นนำวุฒิการศึกษามาพัฒนาตัวเอง ตัวเองไปแล้ว แต่ไม่นำสังคมไปด้วย เรียกง่าย ๆ ว่า "เอาตัวรอด" เอาตัวไป แต่ไม่เอาส่วนรวมไป
มีสักกี่คนที่จะลาไปศึกษาต่อเพื่ออยากที่จะกลับมาพัฒนาองค์กร พัฒนาประเทศชาติเป็นงานหลัก
เพราะคนหลายคนที่ข้าพเจ้าพบเจอมาลาไปศึกษาต่อเพื่อพัฒนาตำแหน่งหน้าที่การงานของตัวเอง เพราะบางครั้งอยากให้คุณวุฒิก้าวล้ำนำหน้ากว่าวัยวุฒิ อายุน้อย การศึกษามาก
ต้นไม้เวลาโต ยังต้องพัฒนาลำต้นเพื่อรองรับกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกมา
ต้นไม้ใดที่ถูกเร่งโต พอเจอลมแรง ๆ อันได้แก่ ลูกน้องที่มีวัยวุฒิมากกว่าก็ดี จำนวนของลูกน้องที่มากมายก็ดี "ปริญญา" จะต้านทานแรงลมไม่ไหว
แต่จะทำอย่างไรได้ ก็เมื่อคนทั้งคมเฮละโลไปเรียนเพิ่มวุฒิกันหมด ซึ่งสมัยนี้เรียนง่าย เพราะสถาบันการศึกษาแข่งขันกันเกิดสาขาวิชาทั้งโท ทั้งเอก
เมื่อก่อนจะเรียนต่อโทกันสักที ต้องสอบแข่งกันหน้าดำคร่ำเครียด แต่เดี๋ยวนี้ "ธุรกิจการศึกษา" ต่างกันแย่งชิงเพื่อให้ได้มาซึ่งนักศึกษาอันจะนำมาซึ่ง "เงิน"
เมื่อสถาบันการศึกษากลายเป็นองค์กรทางธุรกิจ ที่ส่งบุคลากรไปเรียนต่อเพื่อหวังที่ให้กลับมาเปิด ป.โท ป.เอก องค์กรธุรกิจแบบนี้ไม่ต้องคำนึงถึงคุณภาพ
ป.โท ป.เอก เป็นแหล่งรายได้ ยิ่งอาจารย์หรือบุคลากรของตนเรียนจบไวเท่าไหร่ ก็ยิ่งสร้างรายได้ให้เร็วเท่านั้น
ดังนั้นหลักสูตร ป.โท ป.เอก ภาคปกติ เรียนยาก ๆ เรียนนาน ๆ จึงไม่ถูกสนับสนุนจากนักบริหารการศึกษาภาษานักธุรกิจเท่าใดนัก
วิสัยทัศน์ปัจจุบันคือ "จบก่อน ได้ก่อน"
อย่างเช่นทุกวันนี้ สถาบันที่เปิดสอนระดับปริญญาโทเยอะมาก และก็หาคนเรียนได้ยากมากเหมือนกัน เพราะคนที่อยากเรียน เขาก็เรียนจบไปหมดแล้ว
กว่าอาจารย์ของตนเองที่ส่งไปเรียนจะจบ ตามหาผู้ทรงวุฒิได้ ขอรับรองหลักสูตร สถาบันอื่นก็จบไปแล้วหลายรุ่น รุ่น ๆ หนึ่งก็หลายร้อยคน
ดังนั้นใครชักช้ามีสิทธิอด หมดแล้ว หมดเลย...
คราวนี้ก็ต้องมาแข่งกัน มีโปรโมชั่นต่าง ๆ นานา เพราะสถาบันก็ได้ลงทุนไปแล้ว ส่งบุคลากรไปศึกษาต่อแล้ว เสียเงินค่าเปิดหลักสูตร และจ้างผู้ทรงคุณวุฒิแล้ว ลงทุนไปแล้วก็ต้องหาทางถอนทุนคืน
ระบบการศึกษาในปัจจุบัน (ซึ่งอาจจะผิด) นั้นเป็นอย่างนี้
ดังนั้น อาจารย์ที่ไปเรียนหลักสูตรเร่งรัดเพื่อให้จบปริญญาเอก ในการที่จะรองรับการเปิดหลักสูตรปริญญาโทนั้น จะสอนให้นักศึกษามีคุณภาพเหมือนอาจารย์รุ่นก่อน ๆ นั้นเป็นไปได้ยาก
สิ่งนี้เอง จึงเป็นปรากฏการณ์อย่างที่ท่าน โสภณ เปียสนิท ได้กล่าวได้ว่า "กล่าวกันว่าการศึกษาของเรากำลังส่งเสริมปริญญาโทและเอก แต่ต้องกลับไปทำงานกินเิงินเดือนระดับป.ตรี น่าจะถึงทางตันสักวันหนึ่งเร็วๆนี้นะครับผม"
สิ่งนี้มีเหตุ มีปัจจัยที่ส่งให้มาเป็นอย่างนี้ เพราะถึงแม้นคุณวุฒิจากเกียรติบัตร ปริญญาบัตรจะดูสูงขึ้น แต่คุณภาพไม่สูงขึ้นตามเกียรติบัตรนั้น เกียรตินั้นก็กลายเป็นแค่เศษกระดาษ
องค์กรต่าง ๆ โดยเฉพาะองค์กรธุรกิจ จัดตั้งขึ้นมาเพื่อแสวงหากำไร เขาจ่ายอะไรออกไปก็ต้องหวังว่าได้รับกลับมาสูงกว่า
และในทางกลับกัน หน่วยงานราชการ ก็ดำรงตนเป็นองค์กรธุรกิจมากขึ้น คือ หวังกำไรขาดทุนมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ดังนั้นจะรับคนไม่เก่ง ไม่มีคุณภาพ แต่จ่ายเงินตามวุฒิ หรือจ่ายมากกว่าคุณภาพที่ได้รับ เขาก็เริ่มปฏิเสธเหมือนกัน
ยุคนี้จึงเป็นยุคที่เอากระดาษไปแลกกระดาษ เอาใบปริญญาบัตรไปแลกเงิน...
แต่คนในปัจจุบันก็ฉลาด รู้ว่าปริญญาบัตรเป็นสิ่งสมมติ ก็ตีค่าสิ่งสมมตินั้นออก มีคุณภาพแค่ไหน เอาเงินไปแค่นั้น...
เช่นเดียวกับมหาวิทยาลัย ปัจจุบันก็เริ่มปฏิเสธผลผลิตของตนเอง เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าผลผลิตที่ตนเองผลิตออกมานั้นเป็นอย่างไร แต่จะพูดออกไปให้ใครรู้ก็ไม่ได้ เพราะเหมือนกลืนน้ำลายลงคอ
ทุกอย่างกำลังดำเนินไปอย่างเป็นวัฏจักร หมุนเวียน เปลี่ยนไป สุดท้ายก็กลับมาที่จุดเดิมคือ สถาบันการศึกษา หรือมหาวิทยาลัย สถานที่ที่ผลิตคน ผลิตใครออกไป สุดท้ายตนเองก็ได้รับผลอย่างนั้น
การนำสถาบันออกนอกระบบ การกระจายอำนาจ การปกครองตนเอง เป็นดาบสองคม ถ้าไม่พิจารณาถึงเรื่อง "ผลประโยชน์" ผลได้ ผลเสียให้ดี ปรากฏการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้มีแต่เสียมากกว่าได้...
จริง ๆ แล้วระดับบัณฑิตศึกษา เป็นการเรียนรู้เพื่อสังเคราะห์เพื่อตอบคำถามการวิจัยที่ท้าทายใหม่ ๆ
แต่ผู้เรียนบัณฑิตศึกษาต้องการแค่วุฒิ และกระดาษ ไปทำประโยชน์ จึงสวนทางกัน
บัณฑิตศึกษา คือ การศึกษาอย่างบัณฑิต
บัณฑิต คือ บุคคลที่กระทำในสิ่งที่ถูกต้อง กระทำในสิ่งที่เหนือกว่าความถูกใจ
เมื่อบัณฑิตไปเรียนหรือทำอะไรตามใจ ก็กลายเป็นมหาบัณฑิตตามใจ กลายเป็นการตามอกตามใจอย่างดุษฎีบัณฑิต
เมื่อคนหนึ่งทำได้ อีกคนหนึ่งก็ทำตาม
บุคคลผู้มีอินทรีย์อ่อน ไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง เมื่อเห็นผู้ที่มีคุณวุฒิสูงกว่า วัยวุฒิสูงกว่าทำก่อน ก็ทำตาม เพราะขาดความเชื่อมั่นในความดีงามของตนเอง
เรื่องนี้จักต้องสำเหนียกระวังตนเองให้จงหนัก
การก้าวเท้าตามบุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคมปัจจุบันนั้นจักต้องพินิจ พิจารณาว่าบุคคลนั้นดีด้วยแก่น หรือมีเพียงแค่ "กระพี้"
ปริญญาบัตรเป็นเพียงกระพี้ของต้นไม้ที่ไร้ซึ่งแก่น
เมื่อไม้ไม่มีแก่น ก็ต้องหาอะไรต่ออะไรมาแปะไว้เพื่อ "เรียกราคา"
ปริญญาบัตรเป็นสิ่งที่เรียกราคาได้ในสังคมทุนนิยมที่ลุ่มหลง "วัตถุนิยม"
ฉะนั้น บัณฑิตทั้งหลายควรแล้วหรือที่จะเป็น "พาลชน" คือบุคคลผู้มีจิตใจอ่อน ผ่อนปรนไปตามกระแสสังคมนั้น
การเรียนหนังสือ อย่ามัวแต่พัฒนาหัวสมอง ควรพัฒนาจิตวิญญาณให้นำหน้าหัวสมองที่ก้าวหน้านั้น
ถ้าใช้หัวสมองนำอย่างเดียว สังคมก็บิดเบี้ยวดังเช่นทุกวันนี้
สังคมในปัจจุบันทุกนำด้วยคนที่มี "ปัญญาเฉโก" คือเฉไฉ เถลไถลไปตามกิเลส ตัณหา และกามราคะ
เรียนหนังสือ เขียนหนังสือ สอนหนังสือ ก็เพราะตอบสนองกิเลสและตัณหาของตนเอง
ใช้ตรรกกะที่บิดเบี้ยว เพื่อลดเลี้ยวเสาะแสวงหาผลประโยชน์
บัณฑิตเทียมเขาทำตัวเช่นนั้น เพราะการเดินตามกระแสกิเลสย่อมถูกใจพาลชน
บัณฑิตที่แท้เขาตั้งใจสวนกระแส เพื่อนำตนไปทำในสิ่งที่ถูกต้อง
พึงพัฒนาตัวเองให้เป็นบัณฑิตที่แท้ เพราะทองแท้ย่อมไม่แพ้ไฟ...