หลังจากที่พวกเราเดินเข้ามาจากจุดตรวจคนออกนอกประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็ได้เดินกันอยู่ภายใน Duty Free เพื่อรอเวลาที่จะขึ้นเครื่องไปกับสายการบินไทย TG 664 เที่ยวบิน 11.00 น.ซึ่งผมก็ทราบในภายหลังเหมือนกันว่า สายการบินไทยนี้ ถือว่าเป็นสายการบินที่อยู่ในระดับที่เรียกว่า ดีมาก เพราะค่าตั๋วเครื่องบินแพงพอสมควร เมื่อเราเดินมาถึงจุดที่เรากำลังจะขึ้นณ จุดที่ 8 ก็จะมีพนักงานของสายการบินไทยตรวจเช็คตั่วเดินทาง ซึ่งในครั้งนี้ผมได้นั่งอยู่หมายเลข 50J ซึ่งผมก็ยังนึกไม่ออกเหมือนกันว่ามันอยู่ส่วนไหนของเครื่องบิน จากนั้นไม่นานเราก็ได้ยินเสียงจากทางพนักงานว่า “ขอเชิญผู้โดยสารทุกท่านขึ้นเครื่อง” ซึ่งในเวลานั้นผมก็ได้แต่ตามหลังทางผู้ใหญ่เข้าไปอย่างเดียว โดยที่ตัวผมเองก็ยังไม่ทราบว่าจะเป็นอย่างไร และในใจก็ยังคิดอยู่ว่านี้เรากำลังจะออกนอกประเทศแล้วใช่หรือ
เมื่อเดินตามทางมาเรื่อยๆก่อนจะเข้าไปในตัวเครื่องบิน ก็จะมีพนักงานอีก 2 ท่าน กล่าวคำต้อนรับ และบอกทางที่เราจะนั่ง จากนั้นผมก็เดินทางตามไปเรื่อยๆก็มาจนถึงเก้าอี้ที่ผมนั่ง ซึ่งผมก็รู้สึกดีขึ้นอีกว่า ครั้งแรกของผมก็ได้มีโอกาสนั่งใกล้กับหน้าต่างที่นั่งด้วยก็คือครูปุ๊ก ถึงจะไม่ติดหน้าต่างเลยแต่ก็ยังพอเห็นบริเวณจากด้านนอกได้ถนัด เพราะเท่าที่ผมทราบมาเหมือนกันว่าถ้าในแต่ก่อนใครที่จะนั่งใกล้หน้าต่างจะมีราคาที่สูงกว่าปกตินิดหน่อย เมื่อผมได้นั่งลงเป็นที่เรียบร้อยสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือการคาดเข็มขัดนิรภัย จากนั้นไม่นานก็จะมีพนักงานจากเครื่องบินนำผ้าห่ม สายฟังเสียง มาให้และตรวจความเรียบร้อย ขณะที่เครื่องกำลังเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ เพื่อไปถึง Runway เพื่อนำเครื่องขึ้นก็จะมีเสียงของกัปตันเครื่องบินกล่าวคำต้อนรับ แนะนำการใช้อุปกรณ์ช่วยชีวิต การเตือนให้ผู้โดยสารทุกท่านงดการใช้โทรศัพท์มือถือ เพราะอาจจะไปรบกวนสัญญาณนำร่องของการบินในครั้งนี้ ซึ่งแต่ก่อนที่ผมเคยเห็นในทีวีก็จะเป็นลักษณะของพนักงานหรือแอร์โฮสเตสมาแนะนำวิธีการใช้อุปกรณ์ช่วยชีวิตต่างๆ แต่ในที่นี้ไม่มีก็เพราะว่าในที่นั่งของแต่ละบุคคลนั้นจะมีจอภาพส่วนบุคคล มีหูฟังเฉพาะบุคคลทำให้ทุกคนสามารถรับรู้ได้อย่างทั่วถึง
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเครื่องบินเริ่มเคลื่อนที่อย่างช้าๆมายัง Runway จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงของเครื่องยนต์บริเวณปีกของเครื่องบินดังขึ้น และไม่กี่วินาทีต่อมาผมเรื่มรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนที่ของเครื่องบินว่ากำลังวิ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่เร็วขึ้นๆเรื่อยๆ เพราะจากภาพที่ผมเห็นจากภายนอกหน้าต่าง ผมเห็นได้ถึงความเร็วของสนามบินสุวรรณภูมิที่เคลื่อนที่ไปด้านหลัง จากนั้นผมก็รู้สึกว่าเรากำลังเอนตัวไปทางด้านหลังเล็กน้อย นั้นก็แปลว่าตอนนี้เราได้เริ่มขึ้นไปอยู่บนท้องฟ้าแล้ว และภาพที่เราเห็นอยู่ด้านนอกก็มีขนาดเล็กลงๆทุกที จนเราไม่สามารถมองเห็นมันได้อีก นอกจากสิ่งที่เราเห็นก็คือ ก้อนเมฆที่อยู่บนท้องฟ้า ทำให้ผมทราบในวันนี้เองว่าเครื่องบินที่เราบินอยู่นั้นมันบินเหนือ เมฆที่เรามองอยู่ด้านล่างยามเราอยู่บนพื้นดินอีก
ไม่มีความเห็น