“หนูทำได้ หนูทำเป็น หนูอยากทำ” เป็นคำพูดของเด็กอนุบาล ๒ คน ที่พยายามสร้างความมั่นใจและยืนยันกับคุณครู เพื่อขอโอกาสให้ตัวได้ลองถักนิตติ้งอย่างพี่ชั้นประถมบ้าง
ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจนี้เกิดขึ้นเมื่อเย็นวันพุธที่ผ่านมา ในวันนั้นคุณครูแคท - คัทลียา รัตนวงศ์ มีหน้าที่จะต้องไปดูแลความเรียบร้อยบริเวณอาคารเรียนชั้นล่าง ในวันนั้นมีนักเรียนชั้น ๓ ที่เรียนวิชาการงานมานั่งเย็บผ้ากันอยู่ ๕ คน และมีนักเรียนชั้น ๒ ที่อยู่ชมรมนิตติ้งอีก ๓ คน มานั่งล้อมวงทำงานกันเงียบๆ ท่ามกลางเด็กอื่นๆ ที่วิ่งเล่นเสียงดังอยู่รอบๆ
เด็กหญิงใส่เอี๊ยมตัวน้อย ๒ คน เดินวนเวียนรอบพี่ ๆ ด้วยความสนใจ ครูแคทจึงเงยหน้าแล้วยิ้มให้ เด็กหญิงตัวน้อยก็พูดขึ้นว่า “หนูทำได้ หนูทำเป็น หนูอยากทำ” ครูก็ยิ้มให้แล้วพูดขึ้นว่า “เก่งจังเลย หนูเคยทำที่ไหนคะ” เด็กน้อยตอบว่า “ที่บ้านค่ะ” จากนั้นครูก็ก้มหน้าทำงานต่อไป
สักพักเด็กหญิง ๒ คนก็เดินมาอีก แล้วก็พูดเหมือนเดิมพร้อมยืนยัน ครูก็ยิ้มและชม แต่ตอนนั้นก็ไม่คิดว่าจะให้ลองทำ เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้เห็นว่าพี่ๆ ป. ๒ ก็ยังทำกันได้ไม่ทุกคน และที่สำคัญกล้ามเนื้อมือของเด็กอนุบาลก็ยังพัฒนาไม่เต็มที่ ถ้าครูให้ลองทำ หากทำไม่สำเร็จ เด็กๆ อาจจะขาดความมั่นใจแล้วเกลียดงานฝีมือกันไปเลย
แต่แล้วครูก็ใจอ่อนเมื่อเธอ ๒ คนยังเดินมาอีกรอบแล้วก็ยังพูดเหมือนเดิม ครูจึงตัดสินใจ ใหม่ว่างั้นคงต้องให้ลองทำดูสักตั้ง...ถ้าได้ก็ดี แต่ถ้าทำไม่ได้เขาก็จะได้เรียนรู้ ครูก็ระวังดีๆ ..อย่าให้เด็กเสียกำลังใจเป็นพอ
ครูจึงให้เด็กหญิงฟิลผู้กล้าหาญได้เริ่มก่อนเป็นคนแรก แล้วก็เป็นไปอย่างที่คาดไว้คือมือของฟิลยังไม่แข็งแรงพอ จึงทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ส่วนใหญ่ครูต้องช่วย แต่สิ่งที่ไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย คือความมุ่งมั่นพยายาม และที่สำคัญฟิลสามารถคือจดจำขั้นตอนได้เป็นอย่างดี
เนื่องจากนักเรียนที่ต้องดูแลมีอยู่เกือบ ๑๐ คน ครูจึงต้องปล่อยให้ฟิลทำเอง แต่ก็ยังทำไม่ค่อยได้ ครูจึงตัดสินใจให้พี่ ป. ๒ ที่ทำค่อนข้างเก่งกว่าคนอื่น ๆ ช่วยสอนน้อง แล้วสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจก็เกิดขึ้น พี่หนุงหนิง ป. ๒ ตั้งใจสอนน้องอย่างใจเย็นและอดทน สอนน้องอยู่ราวครึ่งชั่วโมง โดยที่ไม่ดุหรือบ่นน้องเลยแม้แต่คำเดียว ครูได้ยินแต่คำว่า “ทำเองได้รึยัง” เมื่อเห็นน้องทำไม่ได้พี่หนุงหนิงก็สอนใหม่แล้วก็ได้ยินประโยคเดิมอีกหลายครั้ง จนกระทั่งผู้ปกครองมารับพี่หนุงหนิงกลับบ้าน
เด็กหญิงฟิลคนเก่งยังคงพยายามต่อไป เธอยังคงทำได้บ้างไม่ได้บ้างเช่นเคย ครูแคทจึงคอยให้กำลังใจและคำแนะนำอยู่ไม่ห่าง จนเวลาล่วงเลยมาเกือบหกโมงเย็น ฟิลเพิ่งจะรู้ตัวว่าคุณแม่รออยู่ห่างๆ อย่างเอาใจช่วยเลยบอกครูว่าจะต้องกลับบ้านแล้ว พี่ป. ๓ คนหนึ่งถามว่าจะให้น้องเอาไม้นิตกลับบ้านมั๊ย ครูแคทบอกว่าไม่ได้หรอกค่ะ เพราะไม้นิตอันนี้ไม่ใช่ของครูแต่ว่าเป็นของพี่ป. ๒ เด็กหญิงฟิลได้ยินแบบนั้นก็ทำหน้าเสีย ไม่พูดอะไร
แล้วครูแคทก็ต้องใจอ่อนเป็นหนที่ ๒ ของวัน ช่วยถักปิดงานของฟิลที่เป็นผ้าชิ้นเล็กๆ เบี้ยวๆ ขนาดไม่เกินสามนิ้วให้ฟิลไป แล้วก็พาไปขอยืมกรรไกรเพื่อตัดไหมพรมที่ห้องพักครูโดยให้ฟิลพูดขอยืมเอง ฟิลไม่มีอาการเขินอายหรือประหม่าเลยแม้แต่น้อย
ในที่สุดฟิลก็ได้ผลงานถักนิตติ้งชิ้นแรกของตัวเอง เธอเดินถือไปให้คุณแม่ช่วยผูกข้อมือให้ ฟิลมองข้อมือตัวเองด้วยความภาคภูมิใจ และครูแคทก็มองฟิลด้วยความภาคภูมิใจเช่นกัน
ปรากฏการณ์ที่ได้พบนี้เป็นแรงบันดาลใจที่เกิดขึ้นนอกห้องเรียน นอกความรับผิดชอบโดยตรง แต่ได้กลายมาเป็นเป็นที่มาของความคิดดีๆ ที่จะนำไปเชื่อมโยงสู่การสร้างแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ให้กับนักเรียนชั้น ป.๓
เมื่อดิฉันเล่าเรื่องของฟิลให้คุณครูใหม่ฟัง คุณครูใหม่ได้แนะนำให้เอาบทเรียนนี้กลับเข้าไปทำให้เกิดขึ้นในชั้นเรียน และก็ช่างพอเหมาะที่ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่เด็กๆ จะต้องทำงาน “ชื่นใจ...ได้เรียนรู้” กันอยู่พอดี
เพราะ ฉันทะ ความมุ่งมั่นพยายาม และความใฝ่รู้ สู้สิ่งยาก เหล่านี้นี่เอง ที่ครูอยากจะปลูกให้เติบใหญ่อยู่ในหัวใจทุกดวง
อ่านด้วยความชื่นใจจริงๆค่ะ..
*พลังความตั้งใจ +การให้กำลังใจ=การเรียนรู้+ความสำเร็จ..
ขอบคุณพี่ใหญ่ที่แวะมาชื่นใจด้วยกันค่ะ :)