อตฺตโน จ ปเรสฺจ อตฺถาวโห ว ขนฺติโก
สคฺคโมกฺขคม มคฺค อารุฬฺโห โหติ ขนฺติโก
ผู้มีขันติ ย่อมนำประโยชน์มาทั้งแก่ตนทั้งแก่ผู้อื่น ผู้มีขันติชื่อว่าเป็นผู้ขึ้นสู่ทางเป็นที่ไปสวรรค์และนิพพาน.
บัดนี้จะได้อธิบายขยายเนื้อความแห่งกระทู้ธรรมภาษิตที่ลิขิตไว้ณ เบื้องต้นพอเป็นแนวทางแห่งการศึกษาและปฏิบัติ สำหรับผู้สนใจในทางธรรมเป็นลำดับไป
ในธรรมภาษิตนี้มีข้อความแบ่งออกได้ ๓ ประเด็น คือ ๑. กล่าวถึงบุคคลผู้มีขันติ ๒. สรรเสริญผู้มีขันติว่าเป็นผู้นำประโยชน์คือความสุขความเจริญมาให้ทั้งแก่ตนและผู้อื่น ๓. ผู้มีขันติมีโอกาสได้ไปสู่สวรรค์ตลอดถึงพระนิพพาน. ประเด็นแรกเป็นเหตุของ ๒ ประเด็นหลัง,๒ ประเด็นหลังเป็นผลของประเด็นแรก, ดังจะแยกขยายอธิบายเนื้อ
ความเป็นข้อ ๆ ต่อไปนี้ :-
บรรดาประเด็นทั้ง ๓ นั้น เฉพาะประเด็นที่ ๑ ท่านกล่าวถึงบุคคลผู้มีขันติ คือผู้ตั้งอยู่ในขันติธรรมนั่นเอง ก็คำว่าขันติธรรมธรรมคือขันตินั้นแปลว่าความอดทน หมายถึงอดกลั้นต่อหนาวร้อนหิวกระหายเป็นต้น เรียกว่า ทนตรากตรำ เพราะคนเราเกิดมาจำต้องประกอบกรณียะกิจตรากแดดตรำฝนทนหิวกระหวายเป็นต้นเพื่อการครองชีพ ๑ ต่อคลองถ้อยคำที่ผู้อื่นกล่าวมาไม่ดี เรียกว่า ทนกระทบกระทั่ง หรือ ทนเจ็บใจ เพราะธรรมดามนุษย์ผู้อยู่รวมกันเป็นหมู่ ย่อมจะมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง อันเป็นเหตุนำมาซึ่งความเจ็บช้ำน้ำใจ, จำต้องอดทน ให้อภัยแก่กัน เพื่ออยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ๑ และต่อทุกขเวทนาที่หยาบช้ากล้าแข็งอันเกิดในสรีระ ซึ่งให้เกิดความไม่สำราญบานใจจนถึงขนาดปลิดชีวิตเสียได้ เรียกว่า ทนลำบาก เพราะธรรมดาร่างกายต้องวิโรธิปัจจัยมีแดดฝนเป็นต้น ย่อมจะเกิดการเจ็บไข้ได้ทุกข์ขึ้นบ้าง จึงจำต้องอดทน ไม่ทุรนทุรายต่อทุกขเวทนาจนเกินไปเพื่อสะดวกแก่การพยาบาล ๑ ขันติทั้ง ๓ นี้มีอธิวาสนะความยังให้อยู่ทับเป็นลักษณะ คือ ไม่แสดงกายวิการเป็นต้นให้ปรากฏในเมื่อกระทบหนาวร้อนเป็นต้น จึงเรียกว่าอธิวาสนขันติ ความอดทนด้วยการยับยั้งและยังมีขันติที่สูงขึ้นไปกว่านี้อีก เรียกว่า ตีติกขาขันติ ขันติคือความทนทานต่ออารมณ์ที่มายั่วต่าง ๆ อันนี้จัดเป็นขันติชั้นสูง เพราะหมายถึงขันติทางจิตใจที่แข็งแกร่ง ไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ที่มายั่วให้ชอบก็ตามให้ชังก็ตามให้หลงก็ตาม สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงมีพระขันติอย่างนี้ ดังที่ทรงปรารภถึงพระองค์เองเปรียบเทียบให้พระอานนท์ฟัง แปลความว่า เราทนทานคำล่วงเกินได้ เหมือนอย่างช้างศึกที่ทนทานลูกศรซึ่งตกจากแล่งมาต้องกายในสนามรบ เพราะว่าคนส่วนมากเป็นผู้ทุศีลดังนี้. ก็แล ขันติซึ่งประการดังกล่าวมานี้แหละ จัดเป็นประธาน เป็นตัวเหตุให้คุณธรรมอื่น ๆ บังเกิดและเจริญขึ้นตาม ๆกัน สมด้วยวจนประพันธ์อันมีมาในสวดมนต์ฉบับหลวงว่า
สีลสมาธิคุณาน ขนฺติ ปธานการณ
สพฺเพปิ กุสลา ธมฺมา ขนฺตฺยา เยา วฑฺฒนฺติ เต
ขันติเป็นประธานเป็นเหตุแห่งคุณคือศีลและสมาธิ กุศลธรรมทั้งปวงย่อมเจริญเพราะขันติธรรมเท่านั้น ดังนี้.
มีอธิบายว่า คุณธรรมมีศีลและสมาธิเป็นต้นจะเกิดขึ้นดำรงอยู่หรือเจริญสืบต่อไปได้ ก็เพราะอาศัยขันติเป็นตัวสำคัญ หากขาดขันติเสียแล้ว คุณธรรมดังกล่าวจะเกิดขึ้นมิได้ แม้ที่เกิดขึ้นแล้วก็ไม่อาจที่จะดำรงอยู่ได้ ย่อมเสื่อมสลายไปในที่สุด ต่อเมื่อบุคคลมาประกอบคือตั้งอยู่ในขันติธรรมดังกล่าวมา ท่านจึงเรียกว่า ขนฺติโก ผู้มีขันติกล่าวคือ ผู้มีความอดกลั้นต่อความตรากตรำอันเกิดแต่การประกอบอาชีพ, ต่อความเจ็บใจอันเกิดแต่คำเสียดแทง, ต่อทุกขเวทนาอันเกิดแต่ความเจ็บไข้ได้ป่วย และมีความทนทานต่ออารมณ์ที่มายั่วยุต่าง ๆได้ นี้เป็นอธิบายในประเด็นที่ ๑ เมื่อมาทราบเนื้อความในประเด็นที่ ๑ เช่นนี้แล้ว พึงทราบความในประเด็นที่ ๑ ต่อไป.
ในประเด็นที่ ๒ ซึ่งว่าขันติย่อมนำประโยชน์มาทั้งแก่ตนทั้งแก่ผู้อื่นนั้น มีอธิบายว่า บุคคลผู้มีขันติธรรมประจำใจดังกล่าวนั้น จะประกอบกิจการใด ๆ ก็อดทนกระทำไปด้วยความเข้มแข็งไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคและภยันตรายใด ๆ ทั้งสิ้น ถึงจะมีใครมาคิดร้ายหมายเวรทำให้เกิดทุกข์จากด้วยประการต่าง ๆ ก็ไม่คิดหาทางทำร้ายตอบแทน แต่ยับยั้ง ไว้ด้วยขันติและเมตตา พิจารณาโดยรอบคอบ แสวงหาความดีความชอบของเขา ไม่คิดในทางชั่วร้ายหมายอาฆาต อันจะก่อให้เกิดความวิวาทบาดหมาง ซึ่งเป็นทางก่อเวรภัยแก่กันและกันไม่มีวันสิ้นสุด เมื่อหยุดใจไว้ได้ เวรภัยทั้งหลายอันเป็นฝ่ายอนัตถะก็จะสงบระงับดับสูญไปสมด้วยเทศนานัยวิธีซึ่งมีมาในสวดมนต์ฉบับหลวง อีกบทหนึ่งว่า
เกวลานปิ ปาปาน ขนฺติ มูล นิกนฺตติ
ครหกลหาทีน มูล ขนติ ขนฺติโก
ขันติย่อมตัดรากเง่าแห่งบาปทั้งสิ้น ผู้มีขันติชื่อว่าย่อมขุดรากแห่งความติเตียนและความวิวาทเป็นต้นได้ ดังนี้
ธรรมภาษิตบทนี้ชี้ให้เห็นว่า บาปคือความชั่วร้ายที่เป็นไปทางกาย เรียกว่ากายทุจริตเป็นต้น ย่อมจะเกิดขึ้นจากอกุศลมูลมีโลภะเป็นต้น เมื่ออกุศลมูลเกิดขึ้นแล้วจำต้องใช้ขันติเป็นเครื่องตัดบั่นทอนให้สงบ เมื่ออกุศลมูลสงบลงราบคาบ บาปทั้งหลายกล่าวคือความชั่วร้ายอันไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูลทั้งแก่ตนและคนอื่นก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้ดังนั้นผู้ที่มีขันติเป็นวิหารธรรมประจำใจ จึงชื่อว่าย่อมขุดรากแห่งความตำหนิติเตียนเสียได้ เพราะตนเองก็ติเตียนตนเองว่าเป็นคนชั่วโดยศีลเป็นต้นไม่ได้ บัณฑิตผู้รู้ใคร่ครวญทั้งหลายก็ติเตียนไม่ได้ และได้ชื่อว่าขุดรากแห่งความทะเลาะวิวาทเสียได้ เพราะได้ใช้ขันติอดกลั้นทนทานต่อความชอบ ความชัง และความเข้าใจผิดกันแก่กันและกันเสียได้เมื่อขุดรากแห่งความชั่วอันเป็นฝ่ายอนัตถะ คือสิ่งไม่เป็นประโยชน์เสียได้แล้ว รากแห่งความดีงามซึ่งเป็นอัตถะคือสิ่งเป็นประโยชน์กล่าวคืออโลภะเป็นต้น ย่อมเกิดขึ้นในจิต เมื่อเกิดขึ้นแล้วเขาก็ย่อมทำพูดคิดแต่ในทางดีที่เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนและคนอื่น ซึ่งเรียกว่ากายสุจริตเป็นต้น ก็ย่อมนำมาซึ่งผลคือความสุขความเจริญ ทั้งแก่ตนและคนอื่นทั้งสองฝ่าย นี้เป็นอธิบายในประเด็นที่ ๒ เมื่อทราบอธิบายในประเด็นที่ ๒ เช่นนี้แล้ว พึงทราบอรรถาธิบายในประเด็นที่ ๒ ต่อไป.
ในประเด็นที่ ๓ ที่ว่า ผู้มีขันติชื่อว่าเป็นผู้ขึ้นสู่ทางไปสวรรค์และนิพพานนั้น อธิบายว่า ผู้มีขันติไม่ใช่จะนำประโยชน์อย่างธรรมดาสามัญในมนุษยโลกนี้ ที่เรียกว่า มนุษย์สมบัติ มาอย่างเดียวเท่านั้นแต่ยังสามารถนำประโยชน์อย่างกลางซึ่งเรียกว่าสวรรค์สมบัติ และประโยชน์อย่างสูงซึ่งเรียกว่านิพพานสมบัติมาได้ด้วย เพราะเขาได้ดำเนินขึ้นสู่ทางไปสวรรค์และนิพพาน กล่าวคือศีล สมาธิ และปัญญา โดยที่มาใช้ขันติระงับยับยั้งทนทานในอารมณ์ต่าง ๆ ไม่เป็นไปในอำนาจแห่งอกุศลมูล ทำกุศลมูลให้เกิดมีขึ้นในจิต แล้วประพฤติสุจริตทางกายวาจาอันจัดเป็นศีล ผู้มีขันติตั้งมั่นอยู่ในศีล ย่อมได้รับอานิสงส์คือเกียรติคุณอันงามในโลกนี้ชั้นหนึ่งแล้ว ตายไปยังได้ความบันเทิงใจในสวรรค์อีกชั้นหนึ่งเป็นแน่แท้ สมด้วยกระแสสาวกภาษิต อันมีมาในขุททกนิกาย เถรคาถาว่า
อิเธว กิตฺตึ ลภติ เปจฺจ สคฺเค จ สุมโน
สพฺพตฺถ สุมโน ธีโร สีเลสุ สุสมาหิโต
ผู้มีปรีชาตั้งมั่นในศีล ย่อมได้ชื่อเสียงในโลกนี้ ละไปแล้วก็ย่อมดีใจในสวรรค์ ชื่อว่าย่อมดีใจในที่ทั้งปวง ดังนี้.
ก็ผู้มีปรีชาในภาษิตนี้ ได้แก่ผู้ฉลาดรู้จักใช้ขันติธรรม ดำรงอยู่ในศีลอันเป็นมรรคไปสู่สวรรค์ ก็ย่อมจะได้ความสุขจิตบันเทิงใจในที่ทั้งปวง คือทั้งมนุษยโลกและสวรรคโลก ไม่ใช่แต่เท่านั้น ผู้มีขันติทำให้บริบูรณ์ในศีลแล้ว จิตใจย่อมสงบเป็นสมาธิไม่ฟุ้งซ่านด้วยปริยุฏฐานกิเลสอันเป็นเหตุมัวหมอง แต่นั้นปัญญาชั้นสูงก็จะผุดขึ้นหยั่งเห็นสภาวธรรมตามที่เป็นจริง เขาก็จักเกิดความเบื่อหน่ายคลายความพอใจในกองทุกข์ทั้งมวล เมื่อคลายความพอใจเสียได้นั่นแหละเป็นทางแห่งโมกขะคือความหลุดพ้นจากทุกข์ ซึ่งท่านกล่าวว่านิพพานเพราะดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์ได้โดยประการทั้งปวง ผู้มีขันติชื่อว่าขึ้นสู่ทางสวรรค์และนิพพานด้วยประการฉะนี้.
รวมความตามที่แสดงมานี้ก็จะเห็นได้ว่า บุคคลผู้มีขันติ คือผู้อดกลั้นต่อความตรากตรำ ในเพราะกระทำการงานเพื่อเลี้ยงชีพก็ดีต่อความเจ็บใจอันเกิดแต่คำเสียดแทงก็ดี ต่อทุกขเวทนาอันเกิดแต่ความเจ็บไข้ได้ป่วยเพราะความแปรปรวนแห่งสังขารก็ดี และทนทานต่ออิฏฐารมณ์ หรืออนิฏฐารมณ์ที่มายั่วหรือยุให้ชอบหรือให้ชังหรือให้หลงไหลเข้าใจผิดก็ดี ย่อมจะประกอบกรณียกิจอันเป็นเหตุนำประโยชน์สุขสมบัติในทิฏฐธรรมกล่าวคือมนุษย์สมบัติมาให้แก่ตน โดยยังตนให้ตั้งอยู่ในกองแห่งโภคสมบัติและให้ตั้งมั่นอยู่ในศีล ทั้งได้นำประโยชน์มาให้ผู้อื่นโดยที่ตนรู้จักยับยั้งชั่งใจ ไม่มุ่งร้ายหมายเวรก่อทุกข์สร้างโทษให้บังเกิดขึ้นแก่ผู้อื่นด้วยการประหัตประหารบ้าง หักล้างผลประโยชน์ของผู้อื่นด้วยการขโมยบ้างเป็นต้น, ผลอันยิ่งกว่านั้นคือความรื่นเริงบันเทิงใจในสวรรค์อันล้วนแต่เป็นทิพย์ ที่เรียกกันว่าสวรรค์สมบัติตนก็จะต้องได้รับในเมื่อมีศีลสมาธิบริบูรณ์ และผลประโยชน์อย่างสูงสุดคือพระนิพพานสมบัติ ตนก็จะต้องเข้าถึงในเมื่อมีปัญญาเต็มรอบครบถ้วน เป็นอันว่าผู้มีขันติย่อมได้ประสบสุขสมบัติ ๓ อย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ และนิพพานสมบัติโดยสมควรแก่กำลังแห่งการปฏิบัติของตน.
เพราะฉะนั้น ท่านสาธุชนผู้หวังความสุขความเจริญ ควรอบรมขันติธรรมให้เกิดมีขึ้นในตน แต่นั้นก็จักได้รับผลกล่าวคือประโยชน์ ๓ ตามที่แสดงมา แม้จะไม่ได้ครบทั้ง ๓ ได้เพียงแต่อย่างเดียวหรือสองอย่างก็ยังนับว่าเป็นการดี เมื่อได้เช่นนี้ก็จะสมกันกับกระทู้ธรรมภาษิตที่ได้ลิขิตไว้เป็นนิกเขปบท ณ เบื้องต้นนั้นว่า
อตฺตโน จ ปเรสฺจ อตฺถาวโห ว ขนฺติโก
สคฺคโมกฺขคม มคฺค อารุฬฺโห โหติ ขนฺติโก
แปลว่า ผู้มีขันติย่อมนำประโยชน์มาทั้งแก่ตนทั้งแก่ผู้อื่น ผู้มีขันติชื่อว่าเป็นผู้ขึ้นสู่ทางเป็นที่ไปสวรรค์และนิพพานดังนี้ ซึ่งมีอรรถาธิบายดังบรรยายมา ด้วยประการฉะนี้.
*****************
ที่มา : ตัวอย่างเรียงกระทู้ธรรมที่น่าอ่าน ไม่ปรากฏชื่อผ้เขียนกระทู้
ไม่มีความเห็น