สมมติฐาน (Hypothesis) เป็นสิ่งสำคัญมากในการวิจัย เพราะวิจัยที่ขาดสมมติฐานก็เหมือนกับการปิดตาตีหม้อ ขาดทิศทาง มืดมิด มองไม่เห็นอะไรเลย เนื่องจากสมมติฐานเปรียบเสมือนเข็มทิศชี้นำทางให้เราสามารถค้นหาคำตอบได้ในที่สุด
สมมติฐานเป็นการเดาคำตอบอย่างมีเหตุผล เป็นการใช้สติปัญญาอย่างรอบคอบ เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติ เพื่อเป็นแนวทางในการออกแบบการทดลองเพื่อทดสอบสมมติฐานต่อไป
ชนิดของสมมติฐาน สมมติฐานมี 2 ชนิด คือ สมมติฐานการวิจัย และ สมมติฐานทางสถิติ
1) สมมติฐานการวิจัย (Research hypothesis) เป็นข้อความที่ระบุหรือแสดงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร มีการคาดเดาผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นจากการวิจัย ผลการวิจัยอาจแตกต่างหรือไม่แตกต่างกันก็ได้
ตัวอย่างที่ 1. นักเรียนที่เรียนวิทยาศาสตร์โดยการค้นคว้าและทดลอง มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนที่เรียนแบบฟังบรรยายอย่างเดียว
>>> ตัวแปรต้น การเรียนวิทยาศาสตร์โดยการค้นคว้าและทดลอง กับ การเรียนวิทยาศาสตร์แบบฟังบรรยาย
>>> ตัวแปรตาม ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ตัวอย่างที่ 2. เด็กในชุมชนแออัดมีเชาว์ปัญญาโดยเฉลี่ยต่ำกว่าเด็กทั่วไป
>>> ตัวแปรต้น เด็กในชุมชนแออัด กับ เด็กทั่วไป
>>> ตัวแปรตาม เชาวน์ปัญญา
ตัวอย่างที่ 3. นักเรียนหญิงต่อนักเรียนชายมีความรักชาติเหมือนกัน
>>> ตัวแปรต้น นักเรียนชาย กับ นักเรียนหญิง
>>> ตัวแปรตาม ความรักชาติ
ตัวอย่างที่ 4. เด็กในชุมชนแออัดมีเชาว์ปัญญาโดยเฉลี่ยเท่ากับเด็กทั่วไป
>>> ตัวแปรต้น เด็กในชุมชนแออัด กับ เด็กทั่วไป
>>> ตัวแปรตาม เชาวน์ปัญญา
หมายเหตุ
* ตัวอย่างที่ 1 และ 2 เป็นสมมติฐานการวิจัย “แบบมีทิศทาง”
* ตัวอย่างที่ 3 และ 4 เป็นสมมติฐานการวิจัย “แบบไม่มีทิศทาง”
ข้อสังเกต
>> สมมติฐานการวิจัยแบบมีทิศทาง (Directional) มักจะพบคำว่า...มากกว่า...น้อยกว่า...สูงกว่า...ต่ำกว่า เป็นต้น
เช่น ครูประจำการมีความท้อถอยมากกว่าครูฝึกสอน , ผู้นับถือศาสนาอื่นละเมิดศีลน้อยกว่าผู้นับถือศาสนาพุทธ , ตัวอย่างที่ 1. นักเรียนที่เรียนวิทยาศาสตร์โดยการค้นคว้าและทดลอง มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนที่เรียนแบบฟังบรรยายอย่างเดียว , ตัวอย่างที่ 2. เด็กในชุมชนแออัดมีเชาว์ปัญญาโดยเฉลี่ยต่ำกว่าเด็กทั่วไป
>> สมมติฐานการวิจัยแบบไม่มีทิศทาง (Nondirectional) มักจะพบคำว่า...สัมพันธ์กัน...เท่ากัน...เหมือนกัน...ไม่แตกต่างกัน เป็นต้น
เช่น สติปัญญาของลูกกับพ่อมีความสัมพันธ์กัน , นิสิตชายและนิสิตหญิงไปใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งเท่ากัน , ตัวอย่างที่ 3. นักเรียนหญิงต่อนักเรียนชายมีความรักชาติเหมือนกัน , ตัวอย่างที่ 4. เด็กในชุมชนแออัดมีเชาว์ปัญญาโดยเฉลี่ยเท่ากับเด็กทั่วไป
2) สมมติฐานทางสถิติ (Statistical hypothesis) เป็นการเขียนสมมติฐานการวิจัยให้อยู่ในรูปสัญลักษณ์ สมมติฐานทางสถิติ มี 2 ประเภท คือ
2.1 สมมติฐานว่าง (Null hypothesis) สัญลักษณ์ คือ H0 โดยมากแล้วจะเขียนเป็นค่ากลางเสมอ มักเขียนด้วยเครื่องหมาย = , ≤ , ≥
เช่น
H0 : μ = 100
H0 : μA - μB = 0 หรือ อาจเขียนอีกแบบหนึ่งได้ว่า H0 : μA = μB
H0 : μ1 = μ2
H0 : σ1 = σ2
H0 : μ1 ≤ μ2
H0 : μ1 ≥ μ2
2.2 สมมติฐานทางเลือก (Alternative hypothesis) สัญลักษณ์ คือ H1 เป็นสมมติฐานที่กำหนดทิศทางของการทดสอบ มักเขียนด้วยเครื่องหมาย ≠ , < , >
สมมติฐานว่าง H0 : μA = μB
สมมติทางเลือก H1 : μA < μB (One-tailed test , ทางด้านซ้าย)
หรือ H1 : μA > μB (One-tailed test , ทางด้านขวา)
หมายเหตุ
* การเขียนสมมติฐานทางสถิติ จะเขียนสมมติฐานว่าง คู่กับ สมมติฐานทางเลือกเสมอ
* การเขียนสมมติฐานทางสถิติ จะเขียนค่าพารามิเตอร์ (Parameter) แทนค่าความจริงของประชากร ไม่เขียนค่าสถิติ (Statistic) ของตัวอย่าง
ตัวอย่าง การเขียนสมมติฐาน
ตัวอย่างที่ 1
สมมติฐานการวิจัย “หลังการฝึกอบรมนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าก่อนเรียน”
ตัวแปรทดลอง ชุดฝึกอบรม
ตัวแปรต้น ช่วงเวลา
ตัวแปรตาม ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
สมมติฐานทางสถิติสามารถเขียนได้หลายแบบดังนี้
แบบที่ 1 สมมติฐานว่าง H0 : μpost = μpre
สมมติฐานทางเลือก H1 : μpost > μpre
แบบที่ 2 สมมติฐานว่าง H0 : μpost ≤ μpre
สมมติฐานทางเลือก H1 : μpost > μpre
ตัวอย่างที่ 2 เป็นสมมติฐานแบบมีทิศทาง (ทดสอบทิศทางเดียว : One-tailed test)
สมมติฐานว่าง H0 : μA = μB
สมมติฐานทางเลือก H1 : μA < μB (One-tailed test ด้านซ้าย)
หรือ H2 : μA > μB (One-tailed test ด้านขวา)
ตัวอย่างที่ 3 เป็นสมมติฐานแบบมีทิศทาง (One-tail test , ทางด้านขวา)
สมมติฐานว่าง H0 : ρAB = 0
สมมติฐานทางเลือก H1 : ρAB > 0
ตัวอย่างที่ 4 เป็นสมมติฐานแบบไม่มีทิศทาง (ทดสอบสองทิศทาง : Two-tail test)
สมมติฐานว่าง H0 : σ1 = σ2
สมมติฐานทางเลือก H1 : σ1 ≠ σ2
มาเยี่ยมมาดูมาให้กำลังใจครับ
มั่นด้วยปัญญาและสติ คิดดี สู้สู้เป็นกำลังใจให้นะครับ