คุณธรรมเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการสร้างชาติ สร้างบ้านเมือง และสร้างคนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ พวกเรายกให้สถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เป็นสิ่งที่ต้องเคารพเทอดทูนไว้อย่างสูงสุด ความเป็นชาติไทยมาได้จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะความร่วมแรงร่วมใจ ความสมัครสมานสามัคคีของบรรพบุรุษมิใช่หรือ?เอกลักษณ์ที่บ่งชี้ถึงการมีจริยธรรมที่ดีงาม ไม่ว่าจะเป็นความสุภาพ อ่อนโยน อ่อนน้อม อารมณ์ดี มีเมตตา ยิ้มง่าย เป็นมิตร และจริงใจ ทุกวันนี้ทำไมจึงค่อยๆเลือนลางจางหายไป?เราซึมซับความรักในผืนแผ่นดินที่ให้กำเนิดเรามากแค่ไหนนอกเหนือจากใช้เป็นที่อยู่อาศัยไปวันๆ?
บทพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งตรงกับขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวไว้ว่า “ เมืองใด...ไร้ธรรม...อำไพ...เมืองนั้น...บรรลัย...แน่นอน ”[๑]เป็นสิ่งที่บ่งชี้ได้ดีถึงความจำเป็นที่ต้องมีสถาบันศาสนา เพราะศาสนาเป็น สิ่งยึดเหนี่ยวให้มนุษย์ค้นพบจุดยืนของตนเองได้รวดเร็วขึ้น ด้วยวิธีการที่แตกต่าง แต่มุ่งเข้าสู่จุดมุ่งหมายเดียวกัน ในหลักการปฏิบัติที่แตกต่างนั้นเราจะไม่ประเมินคุณค่าหรือเทียบเคียงกันว่าใครดีกว่าใครอย่างไร เพราะนั่นไม่ใช่สาระสำคัญ แต่มันเป็นความเชื่อที่ตีความแตกต่างกันจากความจริงที่ได้รับรู้มาในแต่ละบริบท ไม่มีผิดไม่มีถูก สาระสำคัญของทุกๆศาสนาอยู่ตรงที่จุดทับซ้อนกัน ที่เรียกว่า “ คุณธรรมและจริยธรรม ” มากกว่า ผู้ที่ไม่มีศาสนาแต่หากได้รู้จักตนเอง ค้นพบตัวตนได้อย่างถ่องแท้ และปฏิบัติตนตามครรลองที่เหมาะที่ควรก็สามารถรับรู้ได้ถึง คุณค่าในคุณธรรมและจริยธรรมได้เช่นกัน จะมีประโยชน์อันใดกับการที่เรานับถือศาสนา แต่เราไม่ได้นำสิ่งที่เป็นสาระสำคัญมาใส่ไว้ในหัวใจ นำมาใช้ที่บ้าน และที่ทำงาน?
กรณีศึกษาการใช้ “ คุณธรรมและจริยธรรม ” ที่ให้ผลอันยิ่งใหญ่เรื่องหนึ่งก็คือ เบื้องหลังการสร้างชาติของคนญี่ปุ่น... หลังสงครามโลกครั้งที่๒ จบลงด้วยอานุภาพทำลายล้างของระเบิดปรมาณู ๒ ลูก เป็นผลให้เมือง ฮิโรชิมา และ นางาซากิ ของญี่ปุ่นราบเรียบไม่เหลือสิ่งใดๆผู้คนล้มหายตายจากกันไปในขณะนั้นและต่อจากนั้นมาอีกด้วยผลของกัมตภาพรังสี ที่มีชีวิตรอดอยู่ก็อยู่แบบลำบากแสนเข็ญน่าเวทนายิ่งนัก ญี่ปุ่นยอมรับในความพ่ายแพ้โดยดุษฎีหลังจากได้พยายามทำอย่างถึงที่สุดแล้ว
หลังจากที่อเมริกาเข้ามายึดครองและช่วยฟื้นฟูญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นเองก็ไม่ฝังใจกับเรื่องในอดีตอีกต่อไป แต่กลับพยายามช่วยกันเรียนรู้สิ่งต่างๆที่เป็นองค์ความรู้ของอเมริกามาอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะองค์ความรู้ด้านอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี การนำองค์ความรู้ของตะวันตกมาต่อยอดและบูรณาการให้เข้ากับวิถีของตะวันออกเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่ารู้จักใช้วิกฤตให้เป็นโอกาสโดยใช้คุณธรรม ใช้ธรรมะ “ เททาโร่ ซูซูกิ ” นักปราชญ์ฝ่ายศาสนาญี่ปุ่น ได้เคยกล่าวไว้ว่า “ ถ้าเอาพุทธศาสนานิกายมหายานออกจากเกาะญี่ปุ่นไปแล้ว ญี่ปุ่นจะหมดความเป็นญี่ปุ่น ”[๒] หมายความว่า คุณลักษณะของคนญี่ปุ่นที่คนทั้งโลกยกย่อง ให้เกียรติ และเคารพนับถือคนญี่ปุ่นก็คือ ความสะอาด มีวินัย ประหยัด กล้าหาญ อ่อนน้อม อ่อนโยนที่สุด และขยันที่สุด ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ญี่ปุ่นได้รับมาจาก พุทธศาสนา ดังนั้น ถ้าเอาพุทธศาสนาออกจากเกาะญี่ปุ่นแล้ว ญี่ปุ่นก็จะหมดความเป็นญี่ปุ่น ไปนั่นเอง
ไม่นานนักญี่ปุ่นสามารถกอบกู้เอกราชกลับมาได้อย่างง่ายดาย เพราะใช้คุณธรรมและธรรมะ ญี่ปุ่นทำสงครามด้วยกำลัง ด้วยความรุนแรงไม่สามารถเอาชนะอเมริกาได้ จึงหันมาทำสงครามเศรษฐกิจ ไม่ต้องใช้อาวุธ ไม่ต้องมีคนตาย ในที่สุด เศรษฐกิจญี่ปุ่นก็ชนะอเมริกา และเสียดุลการค้าให้ญี่ปุ่นมหาศาล นี่คือตัวอย่างการใช้ คุณธรรมและจริยธรรม ตามที่พุทธศาสนาสอนไว้ ทำให้ญี่ปุ่นกู้ชาติสำเร็จ กลับมายึดครองอเมริกาเป็นเมืองขึ้นทางเศรษฐกิจ นี่คือประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งที่โลกต้องบันทึกและจดจำญี่ปุ่นไว้
ถ้าเทียบอดีตความเป็นมากับญี่ปุ่น เมืองไทยเรานั้นโชคดีกว่ามากๆหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทำเลที่ตั้ง ทรัพยากรธรรมชาติ รวมไปถึงการที่เรามีองค์พระมหากษัตริย์ที่ผู้คนทั้งโลก แซ่ซ้อง สดุดีคุณธรรมของพระองค์ท่าน ท่านทรงคอยช่วยซับน้ำตา ช่วยดับทุกข์ ให้ประชาชน เป็นแบบอย่างที่ดีให้พวกเราได้เห็น ซึ่งคนทั่วโลกเขายกย่องสรรเสริญ แต่พวกเราเองบางส่วนยังไม่รับรู้ ยังก้มหน้าก้มตาทำในสิ่งที่ออกนอกครรลองแห่งธรรม ทั้งกอบทั้งโกยคงจะหลงลืมไปว่า นี่คือบ้านเกิดเมืองนอน ผืนดินที่ให้กำเนิดเรามา หากบ้านของเราเต็มไปด้วยปัญหาต่างๆรุมเร้ามากมายเต็มไปด้วยความทุกข์ สิ่งที่ท่านกอบโกยมาเก็บไว้จะช่วยท่านพ้นจากทุกข์ได้จริงหรือ?
เวลาที่เรายืนตรงเคารพธงชาติกันทั้งเช้าและเย็น ช่วงเวลาสั้นๆนั้นลองกำหนดจิตให้เป็นสมาธิทบทวนเรื่องต่างๆเหล่านี้ให้เข้าไปในส่วนลึกของจิตใต้สำนึกกันบ้างเพื่อซึมซับถึงความรักในสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ของพวกเราคนไทยทุกคนครับ
“.....การที่จะช่วยชาติบ้านเมืองนั้นมีหลายทาง แต่ทางที่ดีที่สุดโดยแต่ละคนต่างทำหน้าที่ของตนโดยความซื่อสัตย์สุจริต อดทน ทำให้กิจการต่างๆทุกด้านดำเนินไปด้วยดีนี้ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับประเทศชาติ.....”
พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระราชทานแก่คณะกรรมการ บจก.สยามกลการ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ๒๘ ธันวาคม ๒๕๒๒
[๑] พ.อ.(พิเศษ) ทองคำ ศรีโยธิน และ สมคิด ลวางกูร “ หยุดความเลวที่ไล่ล่าคุณ๑” .มปป: ๓๘
[๒] พ.อ.(พิเศษ) ทองคำ ศรีโยธิน และ สมคิด ลวางกูร “ หยุดความเลวที่ไล่ล่าคุณ๑” .มปป: ๔๑
ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นครับ
ตามความคิดเห็นของผมผมคิดว่า (อาจจะผิดก็ได้)ญี่ปุ่นเขาเน้นคุณธรรมในจิตใจครับ ของเราเน้นคุณธรรมที่รูปแบบ ที่พิธีกรรม ไปไม่ถึงจิตใจ
หากเป็นยุคปัจจุบันผมเห็นด้วยครับ อ.วิชชา เพราะว่าสิ่งดีงามที่ญี่ปุ่นเขาได้ปลูกฝังจากรุ่นสู่รุ่นถึงปัจจุบัน ได้เข้าไปอยู่ในจิตใต้สำนึกคนเขาหมดแล้ว ผลที่ตามมาก็คือการกระทำจะตกอยู่ภายใต้มโนสำนึกที่มีคุณธรรมเป็นบรรทัดฐาน
และเท่าที่ผมได้ทราบมาจากคนญี่ปุ่นรุ่นเก่าๆเขาก็มีความเป็นห่วงและวิตกกังวลกับคนยุคใหม่ของเขาอยู่เหมือนกันครับ เพราะปัจจุบันโดยเฉพาะสภาพคนเมืองหลวงนั้นไม่ได้เน้นเรื่องของศาสนามากเหมือนก่อนแล้ว และมีประชากรอีกเกือบครึ่งหนึ่งที่เป็นคนไม่มีศาสนา คำถามในใจผมตอนแรกก็คิดนะครับว่า "แล้วเขาจะเอาอะไรเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวกัน บ้านเมืองจะไม่วุ่นวายหรือ?" เมื่อผมพยายามค้นคว้าหาคำตอบก็มาสอดคล้องกับความเห็นของท่านอาจารย์เลยครับ "คุณธรรมอาจเป็นสิ่งที่ยากลำบากต่อการนำเข้า แต่หากได้นำเข้าไปอยู่ในจิตใจด้วยความเข็มแข็งแล้วก็ยากที่จะถอนออกมา" คนดีที่เข้มแข็งในความดี หากคนเลวจะมาทำให้เลวก็ยาก ผมเคยได้ฟังพระราชดำรัสที่ในหลวงท่านทรงพระราชทานไว้ และจดจำได้ขึ้นใจเป็นอย่างดีเลยครับ
ขอบคุณมากครับอาจารย์สำหรับความคิดเห็น