เรียนรู้วิธีการฝึกหัดเพลงอีแซว ตอนที่ 14 ฝึกหัดอย่างไรไปไม่ถึงมืออาชีพ (มองที่บทร้อง)


บทเพลงเปรียบเสมือนเรื่องที่นำมาแสดง หากมีความเข้มข้นก็ชวนให้ติดตาม

เรียนรู้วิธีการฝึกหัดเพลงอีแซว

จากจุดเริ่มต้นจนถึง

ขั้นการแสดงอาชีพ

ตอนที่ 14 ฝึกหัดเพลงอีแซว

อย่างไร ไปไม่ถึงมืออาชีพ (มุมมองที่บทร้อง)               

โดย ชำเลือง มณีวงษ์   กลุ่มกิจกรรมการแสดงเพลงอีแซว

เครือข่ายนันทนาการต้นแบบประเทศไทย รุ่นที่ 1

          มีเด็ก ๆ เป็นจำนวนมากที่ได้รับการฝึกหัดเพลงอีแซวอันเป็นเอกลักษณ์ ที่โดดเด่นของจังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดใกล้เคียงในบริเวณที่มีอาณาเขตติดกัน  นับได้ว่าเป็นโอกาสที่เด็ก ๆ รุ่นใหม่ได้สัมผัสกับศิลปะท้องถิ่นอย่างแท้จริง ยิ่งเป็นการดีที่มีครูผู้สอนร่วมมาเข้ารับรู้ ครูได้มาเรียนรู้พร้อมกับนักเรียน การประชุมอบรมในบางครั้งจะมีการแนะนำผังคำกลอนเพลงอีแซว และเพลงพื้นบ้านอื่น ๆ ซึ่งในความเป็นจริงกลอนที่ใช้กับเพลงพื้นบ้านเข้าใจง่าย แทบจะไม่ต้องจัดการอบรมหรือฝึกอะไรกันมากมายก็สามารถที่จะเรียนรู้ได้ เพราะเป็นกลอนที่ลงด้วยสระเดียว นักวิชาการเรียกว่า “กลอนหัวเดียว” แต่นักเพลงเก่า ๆ ท่านไม่ได้เป็นนักวิชาการท่านเรียกว่า “กลอนลงสระเดียว” ลงอะไรมาต่อไปก็ร้องลงอย่างนั้น หรือบางท่านก็เรียกคำกลอนตามสระตัวลงไปเลย เช่น ถ้าร้องลงว่า “ไป, ใจ, ได้, ไหว” เรียกว่า “กลอนไล” เป็นกลอนที่หาคำลงได้มาก เล่นได้นาน ว่ากันได้ทั้งคืน  ถ้าร้องลงกลอนว่า มี, ดี, หวี, หนี เรียกว่า “กลอนลี” กลอนที่มีคำลงเสียงยาวจะหาคำลงได้มากกว่าคำลงที่เป็นเสียงสั้น
          ผังคำกลอนในเพลงพื้นบ้าน ครูเพลงในสมัยก่อนท่านไม่ได้บังคับจำนวนคำ เพียงแต่มีกรอบของคำกลอนเอาไว้ในทางความเข้าใจว่า ใน 1 บท อย่างน้อยจะต้องมี 2 วรรค คือ วรรคหน้า กับวรรคหลัง เช่น

          “อยากจะพบหน้านวลชวนให้ฝันถึง    อยากจะไปหาเอวกลึงจึงถามไถ่”

          ข้างบนนี้คือ 1 บทกลอน แต่ในความเป็นจริงใน 1 บทกลอน จะยาวหรือสั้นขึ้นอยู่กับเนื้อหาที่นำมาร้อง หากร้อง 1 บท 2 วรรคได้ใจความก็ลงเพลงได้ แต่ถ้ายังเก็บรายละเอียดไม่หมดก็ต่อไปอีก 2 วรรคหรือ 4 วรรค แล้วค่อยลงเพลง ดังนั้นใน 1 บทกลอนจะไม่มีกำหนดความยาว และคำในแต่บท วรรคหน้าก็ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องมี 8-10 คำอาจจะมีคำน้อยกว่า 8 ก็ได้ หรือมีคำร้องมากกว่า 10-25 คำก็ได้ ส่วนวรรคหลังจะไม่มียืดคำ จะต้องลงกลอนใน 8-10 คำ เท่านั้น

          หากฝึกหัดแต่งบทประพันธ์คำกลอนเพลงพื้นบ้านได้อย่างสละสลวย ไพเราะเพราะพริ้งเมื่อได้อ่านก็แสดงว่า ผู้แต่งมีความสามารถในทางการประดิษฐ์คำร้อง เรียกว่า “เป็นนักแต่งกลอน” เขียนกลอนได้ดี แต่ถ้ามีความสามารถร้องได้โดยไม่ต้องมีการเตรียมบทร้องเอาไว้ล่วงหน้า ผู้ร้องสามารถร้องเพลงอีแซวหรือเพลงพื้นบ้านอื่น ๆ ได้ในทันทีทันใด เรียกว่าร้องได้อย่างฉับพลัน อย่างนี้เป็นการแต่งกลอนในอากาศ วาดฝันได้ในพื้นที่ที่ไม่มีขอบเขต เรียกว่า “ด้นกลอนสด” โดยใช้ไหวพริบ ปฏิภาณตัวผู้เขียนบทความสามารถร้องด้นกลอนสดแบบกลอนหัวเดียว และกลอนแปดมาตั้งแต่อยู่ระดับชั้นมัธยม แต่ก็ใช่ว่าจะร้องได้ถูกต้องเสียทีเดียว เพียงแต่กล้าที่จะร้องออกมาเป็นถ้อยคำ

          มาจนถึงในปี พ.ศ.2512-2513 ฝึกหัดทำขวัญนาคจึงได้มาทบทวนทำนองแหล่และด้นกลอนสด ประจวบกับในปี พ.ศ.2525 จังหวัดสุพรรณบุรีจัดให้มีประกวดการแสดงเพลงอีแซวด้นกลอนสด ตัวแทนของอำเภอดอนเจดีย์ซึ่งมีตัวของผม ผู้เขียนบทความเป็นผู้ร้องนำ (พ่อเพลง) ได้รับโล่รางวัลชนะเลิศของจังหวัด เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2525 ในส่วนตัวผมว่า “ร้องด้นสด ๆ ง่ายกว่าแต่งเนื้อร้องแล้วเอามาท่องจำ อาจเป็นเพราะสมองของผมไม่ค่อยที่จะจำก็เป็นได้ ผมจึงร้องแต่กลอนสดมาตลอดเกือบจะทุกประเภทของเพลงพื้นบ้านที่ผมฝึกหัดมา”

          ดังนั้นจึงไม่อยากให้ท่านที่มีความสนใจในบทร้องเพลงพื้นบ้าน ต้องไปตระหนกตกใจในการแต่งคำกลอน เพราะคนเก่า ๆ เขาไม่มาจับผิดอะไรกันมากมาย แต่ถ้าคนรุ่นใหม่ไม่แน่ ผิดนิดผิดหน่อยก็หาเรื่องเอาเป็นเอาตายกันไปเลย แต่ถ้านักเพลงรุ่นผม รุ่นที่ทำงานเพลงพื้นบ้านเป็นชีวิตจิตใจมานาน โดยไม่มีใครชวนให้หลงใหล เราเป็นของเราเองโดยความชอบส่วนตัว ในบางครั้งเห็นผิดพลาดบ้างก็อยากจะสะกิดแต่เราไม่กล้า เราอาจจะไม่ใช่ผู้ที่รู้จริง เพราะผู้ที่รู้มาก่อนและถูกต้องจริง ๆ ท่านจากเราไปนานแล้ว ส่วนตัวเราก็รับมาจากคนรุ่นต่อมาจะถูกต้อง 100 % หรือเปล่าก็ไม่รู้ได้ รู้แต่เพียงว่า เราร้องเราเล่นเหมือนกับครูเพลงที่สอนเรามาเท่านั้นเอง

          แต่สิ่งที่ครูเพลงทุกท่านแนะนำผมเอาไว้ก็คือ เพลงพื้นบ้านที่ร้องออกมาแต่ละบท เพลงอีแซวที่เล่นกันอย่างสนุกสนานหัวร่อจนงอหงาย ได้สนุกสุดมัน ในความสนุกผ่อนคลายอารมณ์นั้นยังแอบแฝงเอาไว้ด้วยสิ่งที่ดี มีคุณค่าต่อชีวิต สิ่งนั้นคือ คำสอนที่ฝากเอาไว้เป็นคติสอนใจคน ให้ทำความดี เคารพผู้ใหญ่ ไม่ข้ามหัวผู้ใหญ่ ทั้งที่เราเป็นคนรุ่นใหม่และมีบางสิ่งบางอย่างเทียบเท่าหรือดีกว่า การพินอบพิเทาก้มหัวให้ผู้ที่อาวุโสกว่า เป็นวัฒนธรรมที่ดีมีคุณค่าต่อชีวิตการงานของผู้น้อย เป็นวัฒนธรรมที่มีมายาวนาน ยังไม่พบว่าผู้น้อยที่ดูหมิ่นดูแคลนผู้ใหญ่แล้วได้ดี  ธรรมชาติช่างกำหนดชะตาชีวิตของมนุษย์เอาไว้ได้อย่างลงตัว ผมมีศิษย์ที่ฝึกเพลงอีแซวให้อยู่คนหนึ่ง แกมีความสนใจในพิธีทำขวัญนาคมาก อยู่มาวันหนึ่งก็ไปฝึกหัดกับหมอทำขวัญผู้หญิง ซึ่งก็รู้จักมักคุ้นกับผมดีพอสมควร มีความสามารถจนไปออกงานทำขวัญนาคได้ อยู่ต่อมาแกกลับมาหาผม มาขอบทร้องทำขวัญ “อาจารย์ครับ ผมขอบทร้องบูชาครูและบทร้องนาคลา”  “ผมบอกแกไปว่า บทที่เธอร้องอยู่มันก็เป็นของครูอยู่แล้วจะมาขอทำไมกันอีกเล่า” แสดงว่าแกไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ตนเองกำลังได้รับไปนั้นต้นฉบับคือบุคคลที่แกกำลังตามหา (อุตส่าห์ไปฝึกหัดเสียไกล) คุณค่าของบทเพลงที่สำคัญ คือ ความคิดสร้างสรรค์ ร้องแล้วผู้ฟังได้อะไร นึกคิดอะไรต่อไป นำเอาไปเป็นคติสอนใจได้ ปลูกฝังความคิดที่ดีมีคุณค่าต่อสังคมต่อไปจึงจะเรียกว่าบทเพลงที่มาจากภูมิปัญญา

         ในจำนวน 219 รางวัล ที่ผมนำเด็ก ๆ ขึ้นเวทีประกวดเพลงพื้นบ้าน เพลงลูกทุ่งจนได้รับการยอมรับในมาตรฐานของเราครั้งแล้วครั้งเล่า ส่วนหนึ่งมาจากบทร้อง เพลงที่เลือกนำเอามาร้องเสนอต่อคณะกรรมการ และที่พลาดโอกาส ผิดหวังพ่ายแพ้กลับลงมาก็หลายครั้ง แต่เท่าที่ทำได้ก็ทำให้ห้องฝึกเพลงพื้นบ้านเต็มไปด้วยถ้วยรางวัล โล่รางวัลและเกียรติบัตร ผู้ที่ทำให้เกิดความสำเร็จในการประกวด มีอยู่ 3 องค์ประกอบหลัก

  1. ความสามารถของนักแสดง นำเสนอในสิ่งนั้นได้อย่างมั่นใจ
  2. บทหรือเนื้อหาที่นำเอามาเสนอจะต้องมีคุณค่าชวนให้คิดติดตาม
  3. คณะกรรมการผู้ที่ทำหน้าที่จัดระดับคุณภาพของแต่ละทีมหรือแต่ละคน

          บทร้องหรือสคริปที่มีคำสอนแฝงเอาไว้ในแต่ละบทเพลงมีคุณค่ายิ่งนัก ผู้ชมได้ชมการแสดงที่สนุกสนานเร้าใจ ได้หัวเราะผ่อนคลายอารมณ์ บางครั้งได้ชมการประชันฝีปากแบบเอาเป็นเอาตายแต่เมื่อการแสดงจบลงพวกเขาต่างก็ยกมือขึ้นขอสมาซึ่งกันและกันและไปก้มลงกราบครูผู้สอนผู้ให้ความรู้แก่พวกเขา เป็นภาพแห่งความประทับใจที่แสดงถึงความมีวัฒนธรรม เป็นที่มาของผู้ที่หลงใหลในคุณค่าแห่งความเป็นไทย ความที่มีจารีต ประเพณีอันดีงาม คนเป็นครูหากสอนลูกศิษย์เพียงให้มีความรู้ มีทักษะเป็นนักแสดงได้ อย่าเพิ่งให้เกียรติเรียกว่าครู เพราะครูต้องสอนและอบรมแนะนำสิ่งที่ถูกที่ควรให้ลูกศิษย์ยึดถือปฏิบัติ หากครูไปทำผิดเสียเองก็น่าละอาย ดังนั้นครูจึงต้องระมัดระวังตัวเองและยังต้องคอยระมัดระวังคนรอบข้างโดยเฉพาะลูกศิษย์มิให้ไปทำความผิด เพราะจะเสื่อมเสียไปถึงครู ครูบางท่านเป็นคนดีแต่เสียเพราะมีลูกศิษย์ไม่ดีก็มี

          หากคนรุ่นใหม่ไม่ให้ความเคารพนับถือคนรุ่นก่อน (รุ่นอาวุโส) หรือสูงวัยกว่าก็ไม่น่าที่จะเข้ามารับความรู้ติดตัวไปเพราะความรู้ที่ได้ไปกลายเป็นว่าเอาของดีไปตกอยู่กับคนที่มาดีก็หมดคุณค่าในสิ่งที่ดี เหลือเวลารอคอยอีกไม่นานเอกสารที่เรียกว่า บล็อกทูบุ๊ค โครงการความรู้ จากบล็อกสู่หนังสือ: คนทำงานแลกเปลี่ยนเรียนรู้ GotoKnow.org (Blog to Book) หรือหนังสืออีเล็คทรอนิกส์ (e-book) จะออกมาสู่สายตาผู้อ่าน ท่านที่มีความเป็นไทย รักท้องถิ่นเคารพและศรัทธาในภูมิปัญญาไทยจะได้อ่านเรื่องราวที่เรียบเรียงมาจากประสบการณ์ตรงเป็นเวลากว่า 40 ปี กลายเป็นเอกสาร ที่จัดทำโดยโครงการจากบล็อกสู่หนังสือที่เสร็จสมบูรณ์ 2 เล่ม ได้แก่

  1. บทความเรื่อง “เรียนรู้พิธีทำขวัญนาค”             โดย ชำเลือง มณีวงษ์
  2. บทความเรื่อง “เพลงพื้นบ้านจากประสบการณ์”  โดยชำเลือง มณีวงษ์

         คนรุ่นเก่าไม่มีอะไรมาฝากเอาไว้ให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานได้เรียนรู้ดีไปกว่าบทเรียน ประสบการณ์ทั้งหลายเป็นบทเรียนที่ได้ผ่านการปฏิบัติมาจนกลายเป็นผลงาน เป็นอาชีพหาเลี้ยงกายโดยไม่ต้องไปข่มเหงรังแกใคร ใช้ความสามารถ ใช้ภูมิรู้ที่มีอยู่ในตัวตนของตนเป็นแนวทางในการเดินไปสู่เวทีชีวิตที่สวยงามอบอุ่นตลอดมาเกือบ 60 ปี ในบทความนี้ผมจะยกประเด็นให้เห็นคุณค่าของสิ่งที่ดีงามในบทเพลงอีแซวสอนใจ ดังนี้

       

       

ตัดตอนมาจากเพลงปะทะคารม “ตับหมาเฝ้านาย” (เพลงแต่งใหม่) 

(หญิง)ถ้าอย่างงั้นฉันเห็น             จะต้องไปเป็นนางฟ้า (เอิง เงอ เอ๊ย) เป็นนางฟ้า

(ชาย) ฉันจะตามไปเป็นหมา         คอยเห่าหอนให้นาย (เอ่อ เอ้อ เอ๊ย) หอนเฝ้านาย

(หญิง)ถ้าอย่างงั้นฉัน เห็น            จะต้องไปเป็นนางฟ้า  (เอิง เงอ เอ้ย) เป็นนางฟ้า

(ชาย) ฉันจะตามไปเป็นผ้า           อนามัย (เอ่อ เอ้อ เอ๊ย) อนามัย

(หญิง)ถ้าอย่างงั้นฉัน เห็น            จะต้องไปเป็นนางฟ้า (เอิง เงอ เอ้ย) เป็นนางฟ้า

(ชาย) ฉันจะตามไปเป็นผ้า           ชายสไบ (เอ่อ เอ้อ เอ๊ย) ชายสไบ

(หญิง)    เอ้ย..ชายขาดหญิงว้าเหว่ เร่หารัก

         หญิงขาดชายก็ยุ่งยาก        สุดอธิบาย

         เป็นธรรมดาของคู่กัน         ไม่มีวันพลัดพราก

         ต้องพึ่งพาพิงพัก               ร่วมอาศัย

         เตือนวัยรุ่นเดียวกัน            อย่ามุ่งมั่นหารัก

         ยังไม่มีอาชีพหลัก             รักจะล่มสลาย

         สนใจใครจองไว้               เพื่อภายหน้า

         เมื่อจบการศึกษา              ชีวาจะสดใส

         คู่ครองจะมาเอง               ไม่ต้องเร่งรัดถาม (เอิง เงอ เอ้ย) เร่งรัดถาม

         อย่าชิงสุกก่อนห่าม           ระวังจะต้องช้ำใจ (เอ่อ เอ้อ เอ๊ย) ต้องช้ำใจ

(หญิง)    เอ้ย..เตือนใจตนเองด้วย   จะช่วยเป็นแนวหลัง

         แสดงไว้เป็นตัวอย่าง          ให้ระวังไว้

         รักดีหามจั่ว                     รักชั่วหามเสา

         คำโบราณท่านกล่าว          เอาไว้สอนใจ

         รักวัวให้ผูก                      ว่ารักลูกให้ตี

         สอนลูกได้ดิบดี                กันมาก็มากมาย

         อย่าเข็นครกขึ้นภูเขา          เป็นคำกล่าวเปรียบเปรย

         ในมหาสมุทรที่ไหนเลย      จะงมเข็มได้

         ต้องรักตัวเตือนตน            ไปจนรอดฝั่ง  

         รักใดเล่าจะยั่ง                  ยืนไปจนตาย

         รักคนอื่นรักได้                  อย่างหลงใหลลุ่มหลง

         อย่าลืมพระคุณผู้เสริมส่ง     จนเติบใหญ่

         อย่าลืมพระคุณพ่อแม่         รักแท้เหลือประมาณ (เอิง เงอ เอ๊ย) เหลือประมาณ

         ต้องทดแทนพระคุณท่าน   ไปจนถึงบั้นปลาย (เอ่อ เอ้อ เอ๊ย) ถึงบั้นปลาย

         

         

ตัดตอนมาจากเพลงปะทะคารม “ตับเซ็นเซอร์” (ห้ามออกอากาศ) 

(ชาย)  มาสอนพวกฉัน ให้พูดดี     ดูซีครับ  ท่านผู้ชม       

         ใครวาจา  ไม่เหมาะสม       ที่จะนำ มาใช้

         ทั้งพ่อแม่  ครูบา               แล้วก็  อาจารย์ 

         ท่านอบรม  อยู่ทุกวัน         ไม่ให้ฉัน  หยาบคาย    

         สำเนียง  ส่อภาษา            กิริยา  ส่อสกุล

         เผ่าพงศ์  วงษ์ตระกูล         ของคุณ ๆ  จะเสียหาย

         ถ้าแกเป็นครก  ปากบาน     ชาวบ้าน  เขาก็รู้  (เอิง เงอ เอ๊ย) เขาก็รู้

         ใครจะเอาสาก  ทิ่มดู          เขาก็ยัง   เสียดาย (เอ่อ เอ้อ เอ๊ย) ยังเสียดาย

(หญิง)    เฮ๊ย.. มันของ คู่กัน         คนหน้าด้าน  มาหยิบยก

         พ่อแม่เจ้าขา สากต้องคู่ กับครก เพราะว่าเป็น  ของใช้

         ขึ้นต้นเสีย สวยงาม            ลงท้ายตาม  ด้วยคำหมิ่น

         ใครเขา  ได้ยิน                 จะกินน้ำพริก ไม่ได้

         ร่างกายสะโอด  สะองค์       ดุจดัง  หงส์เหิร

         ทั้งลีลา  ท่าเดิน                เหมือนนางฟ้า ลงมาใกล้

         สวยอย่าง สร้างสรรค์          มี  มันสมอง

         มิใช่งาม  ผุดผ่อง              แต่ภายนอก  ร่างกาย  

         คำเปรียบเปรย ที่ฉอเลาะ     ฟังเพราะ  แท้ ๆ (เอิง เงอ เอ๊ย) เพราะแท้ ๆ

         ขอบคุณพ่อหน้า “ตำ..เอ๊ย ดอกแค” คันผิว ผื่นลาย (เอ่อ เอ้อ เอ๊ย) ผิวผื่นลาย

(ชาย)     เอ๊ย...คำเปรียบเปรย ที่ฉอเลาะ  ฟังเพราะ  แท้ ๆ  

         ว่าพ่อช่อ  ดอกแค เฮ๊ย “หน้า ตำ...”  คันผิว ผื่นลาย 

         มธุรส  วาจา                    ที่กลั่นมา  แต่ละดอก

         มันทิ่มแทง  ยิ่งกว่าหอก     ชักเข้าออก  แทบไม่ได้

         เขาว่าผู้หญิง  ตัวอย่าง       มีทั้งในทาง  เลวดี

         ไม่ได้มาว่า สุภาพสตรี        ทุก  คนไป

         แม่วันทอง แม่โมรา            และแม่ กากี

         ผมเคารพ  ที่แม่มี              สัจจะ ในหัวใจ

         ยังดีกว่า  ใคร ๆ                อีก หลายคน

         มีเมียหนึ่ง สอง สาม สี่คน   ก็ยังพอ  รับได้

         แต่บางคน  ปลิ้นปล้อน       สำส่อน  ไม่คงที่ (เอิ้ง เงอ เอ๊ย) ไม่คงที่

         จะให้เรียกว่าคน  อัปรีย์       หรือ  จัญไร (เอ่อ เอ้อ เอ๊ย) หรือจัญไร

(ชาย)  จะให้เรียกว่าคน  อัปรีย์      หรือ  จัญไร

         ถ้าใส่ตะกร้า  ล้างน้ำ          ยกขึ้นมา ทำความสะอาด        

         แล้วขัดผิว ที่เฝื่อนฝาด       ด้วย  กระดาษทราย

         ประแป้งหอม  ทาน้ำมัน      แล้วใส่พาน  ไว้กับที่ (เอิง เงอ เอ๊ย) ไว้กับที่

         ก่อนจะชิม  แต่ละที           โรยผงกะหรี่  พริกไทย (เอ่อ เฮ่อ เอ๊ย) ผงพริกไทย

(หญิง)    เอ๊ย...ประแป้งหอม ทาน้ำมัน แล้วใส่พาน  อย่างดี

         ก่อนจะชิม  แต่ละที           โรยผง  พริกไทย         

         หญิงก็ร้าย ชายก็ร้าย          มีมากมาย ไม่เลือกที่

         ทั้งบุรุษ และสตรี               ฟังกัน  เอาไว้

         ถ้าใจคิด  ตรงกัน               มุ่งมั่น  ในความคิด

         คงจะมี  คนทำผิด             เพราะคิดว่า โดนใจ

         ความคิดคน  ต่างกัน          ในใจฉัน  เคารพ

         ดีชั่วคง ได้พบ                  ไม่ว่าจะอยู่  ตำแหน่งไหน

         ชาย  ข้าวเปลือก               หญิงข้าวสาร  โบราณว่า

         น้ำพึ่งเรือ  เสือพึ่งป่า          ตาม  อัธยาศัย

         ชายที่ดี ขอเทิดทูน            ยินดีให้คุณ  นำหน้า (เอิง เงอ เอ๊ย) คุณนำหน้า

         ชายสีข้าง ชายคา              ลิ้นกรา  ดาษทราย (เอ่อ เอ้อ เอ๊ย) กระดาษทราย

(หญิง)    เอ๊ย...ชายสีข้าง ชายคา  ลิ้นกระ  ดาษทราย 

         ขุนแผน  ขุนช้าง               แย่งแม่นาง  วันทอง

         โมนา  ยังต้อง                  มี สองใจ

         ทิ้งพระ จันทโครบ             เมื่อได้พบ  กับโจร

         กากี หน้ามน                    ยังต้องมี  3 ชาย

         พรหมทัต  คนธรรพ์           และ  พระยาครุฑ

         กล่อมเสียจน  ในที่สุด        สู่วิมาน ฉิมพลีได้

         นั่นเป็น  วรรณกรรม           ที่อยู่ใน  ตำนาน (เอิง เงอ เอ๊ย) ในตำนาน

         ความคิดของ  นักประพันธ์  แต่งเอาไว้  สอนใจ (เอ่อ เอ้อ เอ๊ย) ไว้สอนใจ

            บุรุษที่น่า  ยกย่อง          หามอง  ได้หลายที่

         อยู่บน  อนุสาวรีย์              ที่  ยิ่งใหญ่

         ท่านทำดี  จนเรารู้             ท่านต่อสู้  เพื่อแผ่นดิน

         โปรดได้  ถวิล                  หันมา  กราบไหว้

         ที่ไหนมี  คนดี                  บอกบ้างซี   จะเอาอย่าง

         ที่ไหนมี  คนดัง                บอกฉันบ้าง จะตามไป

         ที่ไหนมี  พ่อพระ               ฉันจะ  ถวายมือ

         ที่ไหนมี  คนซื่อ                ฉันจะ  รองรับไว้

         ที่ไหนมี  พ่อคุณ               ฉันจะทูน  เหนือหัว

         วันที่จะต้อง เสียตัว            ขอมอบให้  ทั้งหัวใจ

         เมื่อถึงเวลา สมควร            เนื้อนวล  มิบังอาจ (เอิง เงอ เอ๊ย) มิบังอาจ

         ตามบุบเพ  สันนิวาส          ประกาศ  ชัย (เอิ้ง เหง่อ เอ้อ เอ๊ย) ประกาศชัย

(เป็นบทเพลงที่ใช้คำแรง ๆ แสดงจริงคำจะหนักแน่นกว่านี้ เพราะเป็นเพลงประคารมร้องโต้กัน)

            บทเพลงที่เขียนเรียบ ๆ ฟังแล้วเป็นกลางอาจใช้ไม่ได้บนเวทีแสดงที่อยู่ตามชนบทหรือใช้กับนักดูเพลงพื้นบ้านทั่วไป เพราะการแสดง 3-4 ชั่วโมง หากไม่มีการประคารมต่อว่ากันให้ดุเด็ดเผ็ดร้อนรุนแรง แบ่งเป็นคนละฝ่าย ให้ท่านผู้ชมช่วยเชียร์ การดูเพลงก็จะสนุกไปด้วย แต่การเล่นเพลงแรงหรือเรียบ ๆ ขึ้นอยู่กับสถานที่ สถานการณ์ หรือความต้องการของท่านผู้ชมด้วยมิใช้ว่าผู้แสดงจะนำเสนอบทร้องเดียวกันนี้ได้ทุกเวที ทุกสถานที่ แต่ถึงอย่างไรบทเพลงก็มีอิทธิพลต่อท่านผู้ชมมาก บทเพลงเปรียบเสมือนเรื่องที่นำมาแสดง หากมีความเข้มข้นก็ชวนให้ติดตาม หากบทเพลงหละหลวม ก็ขาดความน่าสนใจไปด้วย ดังนั้นนักแสดงในระดับมืออาชีพจะต้องมีข้อมูลสำหรับนำเอาออกมาใช้ได้ทุกสถานการณ์ (ฝากเอาไว้เป็นข้อคิด อาจมีความเห็นต่างกันก็เป็นได้ ครับ

            ผมเคยกล่าวเอาไว้ในบทความที่ผ่านมาหลายตอนว่า “เพลงอีแซวเป็นความภูมิใจของคนสุพรรณฯ หรือของคนไทย” สมบัติของชาติมิอาจที่จะแหนหวงเอาไว้คนเดียวรังแต่จะสูญไป โปรดได้ช่วยกันเป็นเจ้าของ เพื่อจรรโลงไว้ซึ่งศิลปะการแสดงท้องถิ่นที่สวยงามและมีคุณค่าต่อชีวิตของคนในรุ่นหลัง ๆ ต่อไป

(ติดตาม ตอนที่ 15  ฝึกหัดอย่างไรไปไม่ถึงมืออาชีพ เพราะขาดความมั่นใจ)

หมายเลขบันทึก: 399580เขียนเมื่อ 29 กันยายน 2010 20:46 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 23:34 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท