การเขียนบทความวิจัยเพื่อตีพิมพ์ในวารสาร
1. เลือกวารสารที่จะตีพิมพ์อย่างไร ?... ควรเลือกวารสารที่ได้รับการยอมรับของหน่วยงานต่างๆ เช่น สกว. หรือ สกอ. และเป็นวารสารที่มี impact factor ต่อเนื่อง (“จำนวนครั้งโดยเฉลี่ย ที่บทความของวารสารนั้นได้รับการอ้างอิงในแต่ละปี” อ่านเพิ่มเติมจาก http://stang.sc.mahidol.ac.th/text/pdf/if.pdf) และวารสารนั้นควรออกสม่ำเสมอตามวาระที่กำหนด เราสามารถสืบค้นรายชื่อวารสารทั้งระดับชาติและนานาชาติได้จาก http://www.kmutt.ac.th/jif/public_html/journal%20quality.html
2. เนื้อเรื่องที่จะตีพิมพ์ควรพิจารณาอย่างไร ? ... งานวิจัย 1 เรื่องอาจจะเขียนหลายบทความก็ได้ โดยแบ่งหัวข้อหรือรายละเอียดปลีกย่อยออกไป แต่หนึ่งบทความควรจะลงในวารสารฉบับใดฉบับหนึ่งเท่านั้น และบทความที่ดีจะต้องมาจากงานวิจัยที่มีคุณภาพ เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เป็นองค์ความรู้ใหม่ หรือต่อยอดจากองค์ความรู้เดิม คำว่า “งานวิจัยที่มีคุณภาพ” ความหมายถึงตั้งแต่ ชื่อเรื่อง หลักการ เหตุผล การวางแผนการทดลอง การวิเคราะห์ผลและสรุปผล ตลอดจนอุปกรณ์หรือเครื่องมือวัดต้องมีความแม่นยำและเที่ยงตรง
3. รูปแบบของการเขียน.. เขียนอย่างไร ? ...เมื่อตัดสินใจว่าจะส่งบทความตีพิมพ์ในวารสารใด ให้นำรูปแบบการเขียนของวารสารนั้นๆ มาเป็นต้นแบบ
4. ขั้นตอนการเตรียมต้นฉบับ.. เตรียมอย่างไร ? ...มี 6 ขั้นตอนดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 กำหนดประเด็นหลักที่เป็นหัวเรื่อง โดย
§ กำหนดให้ชัดว่าจะบอกอะไร อะไรคือองค์ความรู้ใหม่ หรือวิทยาการใหม่
§ ลองเขียนสรุปสั้นๆ เพียง 1 ประโยค เหมือนพาดหัวข่าว
§ หรือเล่าเรื่องสั้นๆ ให้เพื่อฟังในเวลา 1 นาที
§ คิดให้ดีว่า “อะไร” ที่ต้องการจะให้ผู้อ่านเข้าใจเกี่ยวกับงานของเรา
ขั้นตอนที่ 2 เขียนโครงร่างของรายงาน นำสาระจากประเด็นหลักในขั้นตอนที่ 1 มาขยายตามรูปแบบของบทความวิจัย ซึ่งประกอบด้วย
§ ชื่อเรื่อง-ผู้เขียน (Title and Authors)
§ บทคัดย่อ (Abstract)
§ บทนำ (Introduction)
§ อุปกรณ์และวิธีการ (Materials and Methods)
§ ผลการทดลอง (Results)
§ สรุปและวิจารณ์ผล (Discussion and Conclusion)
§ กิตติกรรมประกาศ (Acknowledgments)
§ เอกสารอ้างอิง (References)
(ในรายละเอียดแต่ละหัวข้อจะเขียนข้อแนะนำในรายละเอียดครั้งต่อไป)
ขั้นตอนที่ 3 เขียนร่างครั้งแรก ไม่จำเป็นต้องเขียนตามลำดับหัวข้อ ขึ้นอยู่กับแต่ละท่าน อาจคิดว่าส่วนใดง่ายเขียนก่อน บางท่านแนะนำว่าเขียนหัวข้ออุปกรณ์และวิธีการ ซึ่งถือว่าง่ายเพราะเป็นส่วนที่เราทำและกำหนดเอง แล้วจึงเขียนผลการทดลอง สรุปผล บทนำ เอกสารอ้างอิง ส่วนบทคัดย่อไว้สุดท้าย ท่านวิทยากรแนะนำว่า “เขียนให้เร็ว อะไรติดขัดเว้นไว้ ภาษา สำนวน ไว้แก้ไขที่หลัง”
ขั้นตอนที่ 4 แก้ไขฉบับร่าง เมื่อเขียนเรียบร้อย วางทิ้งไว้สัก 2-3 วัน แต่อย่าทิ้งไว้นาน อ่านอีกสักครั้งแก้ไข เพิ่มเติม ลำดับ ขัดเกลาสำนวนภาษา ความต่อเนื่อง
ขั้นตอนที่ 5 แก้ไขฉบับร่างครั้งที่ 2 ครั้งนี้ให้คิดว่าเราเป็นผู้ตรวจบทความก่อนตีพิมพ์ (Reviewer) พิจารณาถึงความสมบูรณ์ของเนื้อหา ครบถ้วนหรือไม่ในแต่ละหัวข้อว่าดีแล้วหรือต้องแก้ไข เพิ่มเติม แล้วนำมาปรับแก้
ขั้นตอนที่ 6 ถ้าเป็นภาษาอังกฤษ ควรส่งให้ผู้ทรงคุณวุฒิช่วยอ่านให้ หรือหากเป็นชาวต่างชาติเจ้าของภาษายิ่งดี แล้วนำมาปรับแก้อีกครั้ง เมื่อคิดว่าสมบูรณ์ส่งตีพิมพ์
ไม่มีความเห็น