คนออกความคิดเรื่องไปพบและเสนอแนะต่อท่านนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คือ ศ. ดร. สุพจน์ หารหนองบัว คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ และท่านนายกฯ ก็รับนัดในวันจันทร์ที่ ๑๖ ส.ค. ๕๓ โดยที่เอาเข้าจริงท่านให้นัด ๒ คณะมาคุยพร้อมกัน คือคณะของเรามี รศ. ดร. กำจัด มงคลกุล นพ. สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ ศ. ดร. สุพจน์ และผม
อีกคณะหนึ่งมี รศ. ดร. สุธีระ ประเสริฐสรรพ์ และท่านนายกฯ ได้บอกเจ้าหน้าที่ให้เชิญผมด้วย กลายเป็นว่าผมอยู่ ๒ คณะในเวลาเดียวกัน โดยผมไม่ทราบว่าทีม ดร. สุธีระ จะมาเสนอเรื่องอะไร ทราบเลาๆ ว่าน่าจะเป็นเรื่องการวิจัยตอบสนองความต้องการของสังคมไทย
คณะของ ศ. ดร. สุพจน์ นัดคุยกัน ๑ ครั้ง เมื่อวันที่ ๑๑ ส.ค. โดย ดร. สุพจน์ ยกร่างแนวคิดไว้ แล้วหลังจากคุยกันแล้ว ท่านก็ได้รับมอบหมาย (ในฐานะที่อาวุโสน้อยที่สุด) ให้ยกร่างข้อเสนอ ท่านยกร่างเป็น ppt ส่งทาง อี-เมล์ ให้สมาชิกช่วยให้ความเห็นเพิ่มเติม และได้ppt ชุดตัวจริง ที่จะใช้นำเสนอความคิด
เรื่องระบบวิจัยนี้ผมมีจุดยืนที่ชัดเจนมาก เพราะทำมากับมือ แต่ผมก็สะท้อนใจมาก ว่าบ้านเมืองของเราไม่มีกลไกในการพัฒนาระบบเพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองจริงๆ กระบวนการเพื่อพัฒนาระบบหลายครั้งสะดุดตอ ตอนี้คือผลประโยชน์ส่วนย่อยของหน่วยงาน หรือผลประโยชน์ส่วนบุคคลที่มีอำนาจ ผมตีความว่า นี่คือ คอรัปชั่นเชิงระบบหรือเชิงนโยบาย ผมไม่มีความสามารถที่จะเอาชนะตอแบบนี้
ดังนั้น การไปคุยกับท่านนายกฯ จึงเป็นการไปทำหน้าที่ที่ผมไม่ถนัด ผมไม่มีความรู้ความสามารถในการทำความเข้าใจ “ตอ” ที่ร้ายคือ ผมรังเกียจและไม่อยากเข้าไปเกลือกกลั้วกับ “ตอ” เหล่านี้
ผมเป็นคนโง่ ไม่เข้าใจเรื่องผลประโยชน์ เมื่อวันที่ ๑๑ ส.ค. หมอสมศักดิ์เล่าความหลังตอนช่วยกันกับผมทำเรื่องปฏิรูประบบวิจัย โดยรัฐบาลจัดเงินมาให้ทำกระบวนการ ๑๔ ล้าน ในราวๆ ปี ๒๕๔๖ แล้ว รมต. ที่ดูแลเรื่องนี้บอกว่าข้อเสนอไม่ประทับใจ ผมเพิ่งเข้าใจว่าจะให้ประทับใจ ต้องเสนอแบบให้ประโยชน์หรืออำนาจแก่เขา
เรื่องระบบวิจัยนี้มีหลักง่ายๆ คือ มันเป็นการลงทุนสร้างความเข้มแข็งระยะยาวให้แก่ประเทศ ถ้าไม่ลงทุน และจัดการอย่างถูกต้อง ประเทศจะพัฒนายาก เพราะเราจะอยู่ในสภาพทำงานแบบไม่ใช้ความรู้ หรือใช้แบบไม่ฉลาด ไม่ทันยุคสมัย แต่สังคมไทยเป็นสังคมสายตาสั้น มองสิ่งต่างๆ แบบมุ่งผลระยะสั้นเท่านั้น และมองการลงทุนวิจัยว่าเป็นค่าใช้จ่าย เป็นค่าใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยหรือไม่จำเป็น งบวิจัยจึงมักจะโดนตัดก่อนงบอื่นๆ
ปัญหาสำคัญคือ เราไม่แยกแยะระหว่างเงินลงทุนวิจัยที่แสนจะคุ้มค่า กับเงินวิจัยแบบผลาญเงิน ซึ่งตัวสำคัญอยู่ที่การจัดการระบบ และติดตามประเมินผลการใช้เงินวิจัย ในสังคมที่มีการเล่นพวกพ้องสูง งบวิจัยจะถูกเอาไปตอบแทนพวกพ้องได้ง่ายมาก
ผมมีความภูมิใจในชีวิต ที่ได้วางรากฐาน สกว. ไว้ให้เป็นหน่วยงานจัดการทุนวิจัยที่ใช้เงินแบบเกิดประสิทธิผลคุ้มค่าอย่างยิ่ง ประเมินกี่ครั้งๆ ก็จะได้รับคำชมอย่างมาก แต่ก็แปลก ที่ สกว. ได้รับส่วนแบ่งงบประมาณวิจัยแบบที่ไม่แยกแยะเลย ว่า สกว. แตกต่างจากหน่วยงานที่เอางบวิจัยไปจัดการแล้วไม่ชัดเจนว่าเกิดประโยชน์คุ้มค่า นี่คือความเป็นจริงในสังคมไทย ที่ยึดหน้าตาของหน่วยงานโดยไม่คำนึงถึงผลงาน
เอาเข้าจริง ดร. สุธีระมาคนเดียว และเป็นคนเดียวที่มีนัดอย่างเป็นทางการกับท่านนายกฯ ท่านจึงได้เป็นผู้นำเสนอก่อน ใน ๒ เรื่อง คือเรื่องการศึกษากับเรื่องวิจัย ซึ่งก็เป็นเรื่องที่พันกันอยู่ดี ประเด็นคือการศึกษาต้องปลดปล่อยมนุษย์ออกจากพันธนาการ ให้เกิดความมั่นใจตนเอง และสร้างศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ โดยที่ระบบการศึกษาในปัจจุบันก่อผลในทางตรงกันข้าม แต่ สกว. ก็ได้ริเริ่มส่งเสริมการวิจัยในวงการศึกษา และได้ผล ๒ ข้อดังกล่าว คือได้แสดงให้เห็นวิธีจัดการงานวิจัยด้านการศึกษาที่ฉีกแนวไปจากที่วงการศึกษาศาสตร์ใช้ ระหว่างที่นั่งฟัง ดร. สุธีระพูดอยู่นี้ ผมนึกว่า นี่คือหัวใจของการปฏิรูปการศึกษา
ด้านการวิจัย ดร. สุธีระ เสนอให้เน้นการวิจัยที่ตั้งอยู่บนฐานบริบทของสังคม ไม่ใช่ตั้งอยู่บนฐานวิชาความรู้ การวิจัยบนฐานบริบทของสังคมจะทำให้ได้ผล ๒ ประการข้างบน และเข้าใจอัตตลักษณ์ของตนเอง งานวิจัยกลุ่มนี้ได้แก่ ยุววิจัยเศรษฐกิจชุมชน วิจัยประวัติศาสตร์ท้องถิ่น วิจัยยางพารา วิจัยไม้ผล เป็นต้น
ศ. ดร. สุพจน์ เสนอแนวทางปรับระบบวิจัยของประเทศ เพื่อให้ภาค “ผู้ใช้” ผลงานวัจัยเข้ามามีบทบาทมากขึ้น เกิดความเข้มแข็งของระบบวิจัย ทั้งประเทศมีการลงทุนวิจัยเพิ่มขึ้น สนับสนุนทั้งงานวิจัยพื้นฐานและงานวิจัยเพื่อตอบโจทย์ของประเทศ เอาเงินไปสนับสนุนกิจการที่ก่อคุณประโยชน์ต่อประเทศจริงๆ
ดร. สุธีระ บอกว่าจะให้นักวิจัยทำงานสนองบ้านเมืองจริงๆ ต้องเปลี่ยนกติกาเรื่องความก้าวหน้าในวิชาชีพนักวิชาการ/วิจัย ให้มีการยอมรับผลงานวิจัยเพื่อสนองฝ่ายผู้ใช้ด้วย ไม่ใช่ให้การยอมรับเฉพาะผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติ
ท่านนายกฯ ไม่ทราบว่านโยบายสนับสนุนการวิจัยของท่านไม่ไปสู่การปฏิบัติ ท่านไม่ทราบว่างบประมาณวิจัยที่เสนอไว้ในงบประมาณแผ่นดินโดนตัดในขั้นตอนกรรมาธิการเป็นรายการแรก ท่านบอกว่าทางรัฐบาลให้ความยืดหยุ่นคล่องตัวแก่มหาวิทยาลัย สมาชิกของมหาวิทยาลัยก็ไม่เอา เวลานี้มหาวิทยาลัยในกำกับฯ สามารถวางแนวทางความก้าวหน้าทางวิชาการโดยคิดรูปแบบการยอมรับของตนขึ้นมาได้ แต่มหาวิทยาลัยก็ไม่ทำ ข้อตำหนิส่วนหลังนี้ผมเห็นด้วยว่าเป็นความจริง
เราสรุปว่ามีประเด็นใหญ่ ๒ ประเด็น ที่จะช่วยกันสร้างการเปลี่ยนแปลงให้แก่ประเทศไทย ในเรื่องการวิจัย คือ คนกับระบบ
เรื่องคน เราพูดกันว่าจะต้องมีองค์กรให้นักวิจัยอยู่นอกมหาวิทยาลัยหรือไม่ ทำให้ผมนึกถึงเรื่อง Max Planck Insitute ของเยอรมัน ที่ตั้งขึ้นเพื่อแก้ปัญหาความอ่อนแอด้านวิจัยของมหาวิทยาลัยในเยอรมันเมื่อกว่า ๑๐๐ ปีมาแล้ว และมีผลให้มหาวิทยาลัยเยอรมันปรับตัว ยกระดับขีดความสามารถด้านการวิจัยขึ้นมา
เรื่องระบบจะไปเชื่อมโยงกับความเคลื่อนไหวที่ วช. ตั้งงบประมาณ ๒๐ ล้าน ให้ สคช. จัดกระบวนการเพื่อจัดทำแผนยุทธศาสตร์การวิจัยของประเทศ และเชื่อมโยงกับ สกอ. – สศช. ในโครงการ ๑ จังหวัด ๑ มหาวิทยาลัย
มติชนออนไลน์ลงข่าวการไปพบนายกฯ ที่นี่
หลังจากท่านนายกฯ ออกจากห้องประชุมสีทอง ไปห้องอื่นเพื่อคุยกับกลุ่มอื่นต่อไป เรา AAR กันแบบไม่เป็นระบบว่าจะต้องรีบดำเนินการให้เกิดกิจกรรม ๑ จังหวัด ๑ มหาวิทยาลัย และน่าจะทำสัก ๒๐ จังหวัด เพื่อให้ได้ critical mass โดยใช้งบประมาณปรองดอง ผมแนะว่าควรทำงานไปพร้อมกับพัฒนาระบบ ใช้เงินร้อยละ ๘๐ ทำงาน อีกร้อยละ ๒๐ ทำระบบ ระบบในที่นี้คือระบบวิจัย/วิชาการ รับใช้สังคมไทย และระบบการตีพิมพ์เผยแพร่วิชาการรับใช้สังคมไทย จะต้องมีการจัดกระบวนการเพื่อจัดการแบบมีส่วนร่วม ให้เกิดการพัฒนาทักษะในมหาวิทยาลัย ให้มีการ organize หรือจัดระบบงานใหม่เอี่ยมนี้ และมีการพัฒนาคนขึ้นมาทำงานจัดการหรือประสานงานเชิงรุก
ผมกลับมาบ้าน AAR กับตัวเองว่า งานนี้เราไม่ได้ไปขอเงิน ไม่ได้ไปเสนออะไรเพื่อตัวเองหรือเพื่อหน่วยงานที่เราเกี่ยวข้อง เราไปคุยเพื่อช่วยกันทำงานให้ชาติบ้านเมือง
วิจารณ์ พานิช
๑๗ ส.ค. ๕๓
น่าสนใจมากครับอาจารย์
กระบวนของท่าน อาจารย์นับว่าเป็นแนวคิดที่ดีเยี่ยม ครับ องค์ความรู้เกิดจากตัวบุคคล องค์ความรู้ของบุคคลเกิดจากสถาบัน ผมมองว่าสถาบ้นการศึกษาเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ที่ทุกภาคส่วนของสังคมควรให้ก้าวเดินทาไปข้างหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นคือเรื่องของหลักอาศัยกันและกันของคนในสังคม ผมมองว่า สถาบันการศึกษาไม่น้อยเห็นการศึกษาเป็นเรื่องธุรกิจ แต่ทั้งหมดทั้งมวล เกิดจากคนที่กำหนดทิศทางสถาบันมากกว่า ครับ