การจัดการความรู้ในการวิจัยและพัฒนาการเกษตร2


การจัดการความรู้ในการวิจัยและพัฒนาการเกษตร2

แบ่งตามอายุการเก็บเกี่ยว
แบ่งเป็นข้าวเบา ข้าวกลางและข้าวหนัก ข้าวเบามีอายุการเก็บเกี่ยว 90-100 วัน ข้าวกลางมีอายุการเก็บเกี่ยว 100-120 วัน และข้าวหนักมีอายุการเก็บเกี่ยว 120 วันขึ้นไป อายุการเก็บเกี่ยวนับแต่วันเพาะกล้าหรือหว่านข้าวในนาจนเก็บเกี่ยว
แบ่งตามลักษณะความไวต่อช่วงแสง
ข้าวที่ไวต่อช่วงแสงจะมีอายุการเก็บเกี่ยวที่ไม่แน่นอน คือไม่เป็นไปตามอายุของต้นข้าว เพราะจะออกดอกในช่วงเดือนที่มีความยาวของกลางวันสั้นกว่ากลางคืน ในประเทศไทยช่วงดังกล่าวเริ่มเดือนตุลาคม ฉะนั้นข้าวพวกนี้ต้องปลูกในฤดูนาปี (ฤดูฝน) เท่านั้น ส่วนข้าวที่ไม่ไวต่อช่วงแสงสามารถปลูกได้ทุกฤดูกาล ข้าวขาวมะลิ 105 เป็นข้าวที่ไวต่อช่วงแสง ในขณะที่ข้าวปทุมธานี เป็นข้าวที่ไม่ไวต่อช่วงแสง
แบ่งตามรูปร่างของเมล็ดข้าวสาร
 ข้าวเมล็ดสั้น (Short grain) ความยาวของเมล็ดไม่เกิน 5.50 มิลลิเมตร
 ข้าวเมล็ดยาวปานกลาง (Medium grain) ความยาวของเมล็ดตั้งแต่ 5.51-6.60 มิลลิเมตร
 ข้าวเมล็ดยาว (Long grain) ความยาวของเมล็ดตั้งแต่ 6.61-7.50 มิลลิเมตร
 ข้าวเมล็ดยาวมาก (Extra-long grain) ความยาวของเมล็ดตั้งแต่ 7.51 มิลลิเมตรขึ้นไป 
 เมล็ดข้าว ขนาดและสีต่างๆ กัน
แบ่งตามฤดูปลูก
ข้าวนาปีหรือข้าวนาน้ำฝน คือ ข้าวที่ปลูกในฤดูการทำนาปกติ เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงตุลาคมและเก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นล่าสุดไม่เกินเดือนกุมภาพันธ์
ข้าวนาปรังคือข้าวที่ปลูกนอกฤดูการทำนาปกติเริ่มตั้งแต่เดือนมกราคมในบางท้องที่จะเก็บเกี่ยวอย่างช้าที่สุดไม่เกินเดือนเมษายนนิยมปลูกในท้องที่ที่มีการชลประทานดีเช่นในภาคกลาง

ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ชัยพร
ทำนา6 ปี ที่นาไร่ละ 20000-30000 บาท
ยากันเพลี้ยกระโดดสะเดา 7 kg/น้ำ 25 ลิตร
ผานไถกลบฟาง
ผลที่ได้รับ
• หวานข้าว1 เดือนไม่ต้อง ใช้ปุ๋ย
• นาข้าว 11ไร่ได้ผลผลิต 11 เกียน 35 ถัง
• ปุ๋ยอินทรีย์ 5 กระสอบ
• นา 102 ไร่ ได้ 91 เกียน เมื่อเดือน เมษายน 53
การทำฮอร์โมน นมสดพลาสเจอร์ไรส์ ผสมโยเกิต หมัก 1 เดือน
สมุนไพร 5 ลิตร พสมแป้งข้าวหมาก 1 ลุก บีทาเกน 1 ขวด(10บาท)
การทำเทือกต้องละเอียดหญ้าไม่ขึ้นเพราะดินยังเป็นกะทิเปียก ช่วยลดหญ้าและข้าวดีดในนา
ฉีดยาคลุม 6-7วัน ปล่อยน้ำเข้านา 25วันน้ำแห้ง ข้าวรากลงลึก
ใช้เชื้อราฆ่าหนอน Nomuraea rileyi(Farlow)Samson

เมล็ดข้าวแช่ด้วย trichoderma ของ รศ.ดร.จิระเดช แจ่มสว่าง 1 คืน
รศ.ดร.จิระเดช แจ่มสว่าง  
 

เขียนโดย Administrator   
Sunday, 22 February 2009
Assoc.Prof. Chiradej  Chamswarng
Contact
โทรศัพท์: 08-1815-1852
โทรสาร: 0-3428-1047
e-mail:  [email protected]
Education
Ph.D. (Plant Pathology), Washington State University, U.S.A.

 

ปุ๋ยอินทรีย์ 6000 บาท/ตัน
ขี้หมู 1100 บาท/คันรถ ใช้ได้ 10 ไร่
ข้าวที่ใช้คือข้าว พิษณุโลก
ค่าทำเทือก 8000 บาท

สูตรทำสารสกัดชีวภาพ - เกษตรอำเภอดอนเจดีย์

สูตรที่ 1 สมุนไพรกำจัดแมลง ( สูตรรวมมิตร )
1. หางไหลขาว 4 กิโลกรัม 15. กลอย 4 กิโลกรัม
2. หางไหลแดง 4 กิโลกรัม 16. ขมิ้นชัน 4 กิโลกรัม
3. เปลือกสะเดา 4 กิโลกรัม 17. หว่านน้ำ 4 กิโลกรัม
4. หนอนตายยาก 4 กิโลกรัม 18. กระทกรก 4 กิโลกรัม
5. ยาฉุน ครึ่ง กิโลกรัม 19. กล้วยดิบ 4 กิโลกรัม
6. ข่าแก่ 4 กิโลกรัม 20. ใบและต้นรัก 4 กิโลกรัม
7. ขิงแก่ 4 กิโลกรัม 21. เขียวไข่กา 4 กิโลกรัม
8. สาบเสือ 4 กิโลกรัม 22. สะแยก 4 กิโลกรัม
9. บอระเพชร 4 กิโลกรัม 23. ใบน้อยหน่า 4 กิโลกรัม
10. กระเทียม 2 กิโลกรัม 24. เปลือกแค 4 กิโลกรัม
11. เปลือกซาก 4 กิโลกรัม 25. พริกสด 4 กิโลกรัม
12. ตะไคร้แกง 4 กิโลกรัม 26. ใบทับทิม 4 กิโลกรัม
13. คะไคร้หอม 4 กิโลกรัม 27. ใบมะรุม 4 กิโลกรัม
14. เมล็ดขันแก้วบด 4 กิโลกรัม  
วิธีทำ
ย่อยส่วนผสมทั้งหมด ผสมให้เข้ากัน นำลงถังหน้า 200 ลิตร เติมน้ำพอท่วมส่วนผสม เติมเมทธิลแอลกอฮอร์ 5 ลิตร หมักทิ้งไว้นาน 15 วัน ถึง 1 เดือน สรรพคุณ
ใช้ฆ่าและขับไล่แมลง เช่น หนอนต่าง ๆ แมลงต่าง ๆ เพลี้ยกระโดด เพลี้ยอ่อน เพลี้ยแป้ง เพลี้ยไฟ ไรแดง ไรขาว และกำจัดเชื้อรา
วิธีใช้
นำน้ำสกัดที่ได้จากการหมักมากรองเอาตะกอนออกให้หมด และนำมาผสมกับน้ำในอัตรา 50-100 ซีซี / น้ำ 20 ลิตร แล้วฉีดพ่นให้ทั่วทั้งใบและ
ลำต้น 5 – 7 วัน / ครั้ง
สูตรที่ 2 สมุนไพรไล่แมลง
1. ใบ และเปลือกสดสะเดา 3 กิโลกรัม
2. บอระเพชร 4 กิโลกรัม
3. ข่าแก่ 1 กิโลกรัม
4. ตะไคร้หอม 1 กิโลกรัม
5. หางไหลขาว , หางไหลแดง 1 กิโลกรัม
6. ผลไม้สุก 3 ชนิด รวมกัน 6 กิโลกรัม
วิธีทำ
•  ย่อยวัสดุทั้งหมดให้มีขนาดเล็กลงทั้งหมด
•  ใส่น้ำสะเดาพอท่วม
•  ใส่กากน้ำตาล 9 กิโลกรัม
•  คนให้เข้ากัน ใช้ของหนักทับกันลอย
•  เก็บไว้ในที่ร่ม หมักไว้ 15 วัน จะได้หัวเชื้อเข้มข้น
สรรพคุณ
•  ใช้กำจัดเพลี้ยได้ดี
วิธีใช้
•  ใช้น้ำสกัดหัวเชื้อเข้มข้น 1 ลิตร ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นช่วงตอนเย็นจะได้ผลดี
สูตรที่ 2 น้ำสกัดสมุนไพรป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืช
สมุนไพรกลิ่นฉุนหรือรสเผ็ด 3 กิโลกรัม
หางไหลแดง 3 กิโลกรัม
หางไหลขาว 3 กิโลกรัม
หนอนตายยาก 3 กิโลกรัม
เหล้าขาว 750 ซีซี
น้ำส้มสายชู 250 ซีซี
กากน้ำตาล 3 กิโลกรัม
ยาเส้น 0.5 กิโลกรัม
วิธีทำ
ย่อยส่วนผสมทั้งหมดแล้วคลุกเคล้าด้วยกัน ลงหมักในถังพลาสติกหมักไว้นาน 15–30 วัน การใช้ประโยชน์
ใช้กับพืชผัก ไม้ผลและพืชไร่ ฉีดพ่นอัตรา 30-50 ซีซี / น้ำ 20 ลิตร และใช้กับนาข้าวฉีดพ่นหรือปล่อยให้ไหลไปกับน้ำที่ไขเข้านา
โดยผสมกับน้ำ 500 – 1,000 ซีซี / น้ำ 200 ลิตร
สูตรที่ 3 น้ำสกัดสมุนไพรกำจัดแมลง
หางไหลขาว 4 กิโลกรัม ยาเส้น 0.5 กิโลกรัม
หางไหลแดง 4 กิโลกรัม หัวน้ำส้ม 1 ขวดเล็ก
เปลือกสะเดา 4 กิโลกรัม เหล้าขาว 1 ขวด
หนอนตายยาก 4 กิโลกรัม
วิธีทำ
นำสมุนไพรทั้งหมดมาย่อยสลาย แล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน นำลงถังหมักเติมน้ำพอท่วม แล้วเติมหัวน้ำส้ม เหล้าขาว หมักไว้ 7 – 15 วัน
วิธีใช้
นำน้ำสกัดที่ได้จากการหมักมากรอง เอาแต่น้ำ โดยใช้น้ำหมักสกัด 50 – 100 ซีซี / น้ำ 20 ลิตร ใช้ฆ่าหนอนกอ หนอนต่าง ๆ แมลงต่าง ๆ เพลี้ยกระโดด เพลี้ยอ่อน เพลี้ยแป้ง เพลี้ยไฟ โรแดง ไรขาว
สูตรที่ 4 สารสกัดสะเดา ( โดยใช้น้ำเป็นตัวสกัด )
นำเมล็ดสะเดาตากแห้งแล้วมาบดให้ละเอียด ผสมน้ำ 20 ลิตร แช่ทิ้งไว้ 1 คืน แล้วกรองด้วยผ้ากรองด้วยผ้ากรอง จะได้น้ำสะเดาตามต้องการนำไปฉีดพ่นป้องกัน และกำจัดแมลง
- กากสะเดาที่เหลือจากการกรองนำไปโรยใต้ต้นไม้
ต้นทุนการผลิตข้าว
2000 บาท/ไร่
ขายได้ 8200บาท/เกียน
ขายได้ 800000บาทกำไร 600000บาท

วิจารณ์

การทำเกษตรอินทรีย์คนส่วนใหญ่ยังให้ความสำคัญน้อยเนื่องจากกระบวนทัศน์ในการมองผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นเรื่องสำคัญที่สุด อะไรที่ได้เงินเร็วๆและครั้งละมากๆคือสิ่งที่คนส่วนใหญ่ปรารถนาโดยไม่คำนึงถึงว่าจะได้มาอย่างสม่ำเสมอหรือไม่ จะมองแค่ระยะใกล้เพื่อเอาตัวเองรอด โดยไม่คำนึงถึงความยั่งยืนของอาชีพและไม่คำนึงถึงผลเสียต่อ ประเทศ สังคมที่ตัวเองอาศัยอยู่ ผู้อื่น ญาติมิตร พี่น้อง หรือแม้แต่ตัวเอง เพราะรู้ว่าการใช้สารเคมีมีผลต่อรางกาย ก่อเกิดมะเร็งโรคร้ายต่างๆ  แต่ก็ยังใช้เป็นหลักในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม
เกษตรกรไม่มีความเชื่อถือในเรื่องของเกษตรอินทรีย์และคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้เขาเหล่านั้นร่ำรวยได้ เขาคิดว่าการใช้สารเคมีก็คือคำตอบสุดท้ายของการทำเกษตรกรรมและยึดถือปฏิบัติ กันมาหลายสิบปีแล้วตั้งแต่ครั้งพ่อ แม่ ก็ทำมาแบบใช้สารเคมี ตนเองเห็นมาตั้งแต่เกิดจึงเชื่อมั่นและ ศรัทธา ในสารเคมีว่าคือพระเจ้าช่วยแก้ปัญหาได้ทุกเรื่องที่ตนเองประสพปัญหา
การขยายผลของเกษตรอินทรีย์จะเป็นไปได้ช้ากว่าการใช้ปุ๋ยและสารเคมีเนื่องจากการตลาดของกลุ่มเคมีเหล่านั้นมีทั้ง ลด แลก แจก แถม เพราะเป็นธุรกิจที่ทำโดยกลุ่มนายทุนที่ร่ำรวยติดอันดับโลกทั้งคนไทย และคนต่างประเทศ รวมถึงใช้สื่อต่างๆเช่น ฟรีทีวีรายการดังๆและรายการมวย เคเบิลทีวีต่างๆช่วยกันโหมโฆษณาบ้าเลือดและมอมเมาเกษตรกรจนเกิดความเคยชินและอยู่จิตใต้สำนึกไปเรียบร้อยแล้ว จึงยากที่จะดึงความคิดเขาเหล่านั้นให้หันมาสนใจในเกษตรอินทรีย์
การจะขยายผลขอเกษตรอินทรีย์ให้ได้รวดเร็วและกว้างขวางออกไปให้มากที่สุดจะต้องเกิดจากภาครัฐให้ความสนใจจริงๆและพร้อมที่จะส่งเสริมอย่างจริงใจ และทำโครงการรณรงค์กันอย่างต่อเนื่องและพร้อมใจกันทุกภาคส่วนจึงจะ สัมฤทธิ์ผล

ที่มาของข้อมูล:
http://gotoknow.org/profile/vicharnpanich
http://www.sathai.org/story_thai/007-KKF%20Story.htm
http://www.novabizz.com/NovaAce/Paradigm.htm
http://kaewpanya.rmutl.ac.th/2552/index.php?option=com_content&view=article&id=1680:2009-12-01-02-24-45&catid=50:2009-08-24-03-03-28
http://www.thairice.org/html/aboutrice/about_rice2.htm
http://agri.kps.ku.ac.th/ppath/newweb/index.php?option=com_content&task=view&id=37&Itemid=36
http://donchedi.suphanburi.doae.go.th/ss.htm

 

หมายเลขบันทึก: 395837เขียนเมื่อ 19 กันยายน 2010 17:35 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 16:26 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท